ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 415 กลับไป
ตอนที่ 415 กลับไป [รีไรท์]
มู่ชิงเห่อรู้สึกเพียงว่าเขากำลังตกอยู่ในความฝันอันลึกล้ำ ราวเตร็ดเตร่เร่ร่อนไปยังดินแดนอันไกลโพ้น และไม่สามารถตื่นขึ้นได้
เสี้ยววินาทีหนึ่งสมองของเขาคิดว่า ถ้าหลับไหลไปตลอดการมันคงจะดีกว่าการที่เขาต้องตื่นมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงทั้งหมด
มันก็เป็นเพียงความคิดชั่ววูบเท่านั้น เขาพยายามเรียกสติตัวเองอยู่หลายครั้ง และในที่สุดก็ลืมตาขึ้นได้
แสงสว่างจ้าสาดส่องลงมา สะท้อนกับแววตาจนเกิดเป็นแสงวิบวับ ทำให้เขาต้องหลับตาลงอีกครั้ง และต้องใช้เวลาสักพักกว่าสายตาของเขาจะชินกับมัน
พลันฉากที่พร่ามัวตรงหน้าก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
นี่มัน…ต้นไม้?
มู่ชิงเห่อเริ่มขยับตัวพลันความเจ็บปวดก็แผ่กระจายไปทั่วอนุร่างกาย จนทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น
เขาก้มศีรษะลงก่อนจะเห็นว่าร่างกายของตนนั้นเต็มไปด้วยเลือด และรอยแผลมากมาย ซึ่งเรียกได้ว่าแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม
แต่โชคดีที่แผลเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบาดแผลภายนอก ซึ่งสามารถฟื้นตัวได้หลังจากพักฟื้นสักระยะหนึ่ง
มู่ชิงเห่อรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่แล้วเขากลับนึกอันใดขึ้นมาได้ สีหน้าท่าทางของเขาเปลี่ยนไปทันที
นี่มันไม่ใช่แล้ว!
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาหลุดเข้าไปในสุสานของจักรพรรดิแท้ๆ แต่เหตุใดตอนนี้เขาถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ได้เล่า?
เขารีบหันมองรอบด้าน
ยอดเขาสูงชัน และสง่างามราวใบมีดอันแข็งแกร่งอย่างยอดเขาซีจิน ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
เช่นนี้ก็หมายความว่า…เขาออกมาจากเขตยอดเขาซีจินแล้ว
มู่ชิงเห่อเกิดความสงสัยขึ้นในใจ แต่ไม่ว่าเขาจะขบคิดเพียงใด เขาก็จำไม่ได้เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้เลย
ดูเหมือนว่าตอนนั้นเขาจะทะลวงปราการออกมาได้แล้ว แต่ทว่า…
เขากลับนึกไม่ออกว่าหลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์อันใดต่ออีก
ทันใดนั้นหางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนนอนอยู่บนพื้นไม่ไกลนัก
นั่นคือฉู่หลิวเยว่
เขาหรี่ตาลงพลางอดทนกับความเจ็บปวดในร่างกาย และค่อยๆ ก้าวเท้าออกไปช้าๆ
ดูเหมือนว่าฉู่หลิวเยว่จะหมดสติโดยสมบูรณ์ ดวงตาของนางปิดสนิท และริมฝีปากของนางก็ซีดเผือด
ทว่าสภาพของฉู่หลิวเยว่นั้นดูดีกว่าเขามาก บนร่างกายของนางแทบไม่มีรอยคราบเลือด หรือแม้แต่รอยยาดแผลก็แทบไม่มีเช่นกัน
มู่ชิงเห่อจ้องมองฉู่หลิวเยว่อยู่ครู่หนึ่ง พร้อมใช้สายตากวาดมอง และตรวจสอบอย่างละเอียด ความจริงแล้วเสียงนั่น เป็นเพียงภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นมาเองหรือว่า…และราวกับสัมผัสได้ว่ากำลังถูกจ้องมอง ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ตื่นขึ้นมา
นางเผลอยกมือขึ้นบังแสงอาทิตย์ที่ส่องประกายโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะลืมตาขึ้นมองเต็มสองตา และนางก็เห็นมู่ชิงเห่อที่กำลังยืนจ้องหน้านางอยู่
“…รองแม่ทัพมู่?”
หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็ลุกพรวดขึ้น และมองไปรอบๆ
“นี่มัน…พวกเราอยู่ที่ใดกัน?”
มู่ชิงเห่อมองดูดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ และสับสนของนาง พลางเอ่ยเสียงเรียบ
“นอกอาณาเขตยอดเขาซีจิน”
ฉู่หลิวเยว่หันควับมองเขาระคนตกใจ
“ท่านจะบอกว่า…เราออกมาจากสุสานแล้วหรือ”
มู่ชิงเห่อเพ่งสายตามองนางอย่างลึกซึ้ง ราวกับว่าเขาต้องการอ่านความคิดของนางอย่างใดอย่างนั้น
“เจ้าไม่รู้หรือว่าเกิดเหตุใดขึ้นกับเรา?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่ว่าเจ้าทะลวงผ่านปราการ และเข้าไปถึงใจกลางของสุสานแล้วหรอกหรือ เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้”
จู่ๆ มู่ชิงเห่อก็โน้มตัวลง พลางจ้องเข้าไปในดวงตาของฉู่หลิวเยว่ และถามด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ
ฉู่หลิวเยว่ตกใจกับการกระทำของเขา พลันก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว คิ้วของนางขมวดมุ่นพร้อมสีหน้ามึนงง
“รองแม่ทัพมู่…ท่านต้องการพูดจะอันใดกันแน่ ข้า…ข้าจำได้แค่ว่า ตอนนั้นข้าติดอยู่ในพื้นที่ประหลาดที่เต็มไปด้วยทรายสีทอง…ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้น ข้าจำไม่ได้แล้ว…”
ทันใดนั้นนางก็เบนเหลือบมองเขาพลันอ้าปากค้าง
“เหตุใดท่านถึงบาดเจ็บเพียงนี้?”
มู่ชิงเห่อเม้มริมฝีปากแน่น
ท่าท่างของฉู่หลิวเยว่นั้นดูจริงจังราวกับว่านางไม่ได้แสดงละครตบตาแต่อย่างใด…ทว่าลึกๆ แล้วมู่ชิงเห่อกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เจ้าจำไม่ได้จริงๆ หรือ?”
ฉู่หลิวเยว่แน่นิ่งราวหมดหนทาง พลันลุกพรวดขึ้น
ขณะที่ยืนขึ้นนางก็ยกมือขึ้นกุมศีรษะ พลางพ่นล่มหายใจดัง ‘ฟู่’ ออกมาเบาๆ
“ข้าปวดหัวเหลือเกิน”
มู่ชิงเห่อมองตามการกระทำนั่น
ความจริงแล้วเขาเองก็เจ็บบริเวณหลังศีรษะเหมือนกัน…เป็นไปได้หรือไม่ว่า ฉู่หลิวเยว่อาจไม่ได้โกหก และพวกเราก็ถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกัน?
เมื่อมองดูฉู่หลิวเยว่ที่กำลังเกาหัวพร้อมยิ้มเหย มู่ชิงเห่อก็เกิดเชื่อขึ้นมาอย่างสนิทใจ และรัศมีอันตรายบนร่างกายของเขาสลายไปทันที
เขาหันกลับไปมองยอดเขาซีจินอีกครั้ง
หากฉู่หลิวเยว่ได้ของสิ่งนั้นมาจริงๆ ป่านนี้นางคงไม่มานอนกองอยู่ด้านนอกกับเขาเช่นนี้
นอกจากนี้…บนตัวของนางนั้น ก็ไม่มีไอพลังปราณของเจ้าสิ่งนั้นติดตามตัวเลย
ถ้าดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน คงจะมีบุคคลที่สามนำมันไปแล้ว
“ตอนอยู่ในสุสาน เจ้าเห็นคนอื่นนอกจากเราสองคนหรือไม่?” จู่ๆ มู่ชิงเห่อก็โพล่งถามออกมา
ฉู่หลิวเยว่รีบปฏิเสธทันควัน ยกเว้นเถ้าแก่ใหญ่ผู้ลึกลับคนนั้น นางสามารถมองเห็นภาพของทุกคนที่เข้าไปได้อย่างชัดเจน
แต่นางบอกความจริงข้อนี้ให้มู่ชิงเห่อรู้ไม่ได้
ส่วนมู่ชิงเห่อเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับเบาะแสที่เป็นประโยชน์จากฉู่หลิวเยว่ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยกเท้าขึ้น และเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตระหนก
“รองแม่ทัพมู่ นั่นท่านคิดจะทำสิ่งใดหรือท่านคิดจะกลับเข้าไปอย่างนั้นหรือ?”
มู่ชิงเห่อกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าจะรออยู่ที่นี่ หรือจะกลับไปก่อนก็ย่อมได้”
“ร่างกายของท่านได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ข้าเกรงว่าท่านไม่ควรจะกลับไปตอนนี้นะ? และดูเหมือนว่าเรื่องที่เราแอบเข้าไป จะโดนคนที่คอยคุ้มกันยอดเขาซีจินจับทางได้แล้ว ฉะนั้นถ้าเราจะกลับไปตอนนี้…”
แม้แต่คนสมองดียังคิดได้เลย สภาพยับเยินขนาดนี้ยังคิดจะกลับเข้าไปอีกหรือ
นี่สมองของมู่ชิงเห่อยังปกติดีอยู่ใช่หรือไม่
ทว่ามู่ชิงเห่อกลับไม่สนใจคำพูดของนางและยังคงเดินไปข้างหน้า
“สาวน้อยนั่นพูดถูกแล้ว เจ้าจะรีบรนหาที่ตายไปเพื่ออันใด?”
พลันมีเสียงเยาะเย้ยดังเอื่อยมาอย่างเกียจคร้าน
มู่ชิงเห่อหยุดฝีเท้าทันที
ฉู่หลิวเยว่สะดุ้งตกใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมอง
ร่างสูงเด่นของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากชายป่าด้านข้างอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นก็เอนกายบนลำต้นของต้นไม้ พลางกอดอกและมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มบาง
นั่นมันเจี่ยนเฟิงฉือนี่!
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่เป็นประกาย ก่อนจะรีบทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างสุภาพ และถามออกไปอย่างลืมตัว
“ไม่ทราบว่านายน้อยเจี่ยนมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดหรือ ข้ากับรองแม่ทัพมู่ไม่ได้สังเกตเห็นท่านเลย”
ทว่าเจี่ยนเฟิงฉือก็พลันนึกถึงเรื่องที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ขึ้นมาได้ ใบหน้าสง่างามแสดงออกถึงความเย็นชาทันที
“ข้าวางแผนจะมาที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่ดันคิดไม่ถึงว่าเจอปัญญาหาระหว่างทางเข้า…หลังจากวนดูรอบๆ ยอดเขาซีจินอยู่พักหนึ่ง ข้าก็สัมผัสได้ถึงลมปราณของมู่ชิงเห่อ ข้าจึงมุ่งหน้ามาทางนี้เมื่อข้ามาถึงเขาก็ได้สติพอดี”
ขณะพูดเขาก็เหลือบมองมู่ชิงเห่อด้วยสายตารังเกียจ
“ดูสภาพของเจ้าสิ นี่เจ้ากลายเป็นคนโง่ที่ยอมให้คนอื่นเล่นงานได้ง่ายๆ แล้วหรือ? ข้ามาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่เจ้ากลับไม่สังเกตเห็นข้า? นานแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นเจ้าในสภาพอดสูเช่นนี้?”
ฉู่หลิวเยว่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนเจี่ยนเฟิงฉือจะไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
แต่ทว่ามู่ชิงเห่อก็ไม่ได้สนใจคำพูดของเจี่ยนเฟิงฉือ ขายาวสองข้างยังคงต่อก้าวไปข้างหน้า
เจี่ยนเฟิงฉือขมวดคิ้วมุ่น พลันตวัดสายตามองฉู่หลิวเยว่
“ในเมื่อเขาไม่พูด เช่นนั้นเจ้าต้องเป็นคนพูดตกลงพวกเจ้าบุกเข้าไปทำสิ่งใดกัน?”
“เจี่ยนเฟิงฉือ!”
มู่ชิงเห่อตวาดลั่นพร้อมจ้องหน้าเขาเขม็ง
เจี่ยนเฟิงฉือยักไหล่ พลางยกมือทำท่ารูดซิบปาก บ่งบอกว่าเจ้าตัวจะไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอีก
แต่แล้วเขาก็เดินไปหาฉู่หลิวเยว่ และพูดด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางฉู่ ดูเหมือนเจ้าเองก็ได้รับบาดเจ็บด้วย เช่นนั้นให้นายน้อยผู้นี้พาเจ้ากลับไปดีหรือไม่? เจ้าวางใจได้ แม้ว่าเขาจะตายแต่นายน้อยผู้นี้จะช่วยพาเจ้ากลับสู่ราชวงศ์เทียนลิ่งเอง”
ชิ้ง!
พลันกระบี่เล่มยาวก็พุ่งทะลุอากาศผ่านหน้าเขาไป
เจี่ยนเฟิงฉือหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
มู่ชิงเห่อหรี่ตาและในที่สุดก็หมุนตัวกลับมา
“ครั้งหน้าเจ้าห้ามมายุ่งเรื่องของข้าอีก!”
เจี่ยนเฟิงฉือเลิกคิ้วขึ้นทำทีเบนสายตามองฉู่หลิวเยว่อย่างถือดี
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นางไม่รู้มาก่อนเลยว่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนจะดูดีขึ้นขนาดนี้