ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 450 ช้าไปหนึ่งก้าว
ตอนที่ 450 ช้าไปหนึ่งก้าว [รีไรท์]
เมฆดำทะมึนก่อตัวพลุ่งพล่าน จนเกิดม่านอากาศสีดำทมิฬขึ้นระหว่างผืนฟ้ากับแผ่นดิน!
ลำแสงนั้นพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า และจมหายเข้าไปในกลีบเมฆ หากมองจากระยะไกลแล้วราวกับว่ามันกำลังเชื่อมเอาสวรรค์กับโลกเข้าด้วยกัน!
และด้านบนนั้น แสงสีน้ำเงินและสีแดงผสานเข้าด้วยกัน และทำให้เกิดรูปแบบแปลกๆ ที่น่าหวาดหวั่น
หรงจิ่วหันไปมองพลันหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที
“เว่ยหลิน! เจ้าส่งคนไปตรวจสอบ! แล้วหาสาเหตุของเรื่องนี้มาให้จงได้!”
“ขอรับ!”
ทุกคนในห้องโถงใหญ่ล้วนหันมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าที่หลากหลาย
จากนั้นจักรพรรดิจยาเหวินก็ใช้ประโยชน์จากช่วงชุลมุนนี้ หมุนตัวหลบไปด้านหลังทันที!
ข้าต้องรีบแล้ว!
ทว่าหรงจิ่วกลับจับสังเกตได้อย่างไว พลันหันไปมองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือก
“ยังคิดจะทำการใดอีกหรือ?”
ทหารเลวที่ยืนอยู่ข้างๆ โต้ตอบทันที พวกเขารีบพุ่งเข้าไปหยุดจักรพรรดิจยาเหวินอีกครั้ง!
และคราวนี้จักรพรรดิจยาเหวินก็ถูกจับมัดมือไว้อย่างหนาแน่น จนไม่สามารถขยับได้
“หรงจิ่ว! หรงจิ่ว!”
จักรพรรดิจยาเหวินถลึงตาจนแทบจะออกจากเบ้า ใบหน้าของเขาแดงเถือก
หรงจิ่วโบกมือไปมา
“ยังไม่พาท่านพ่อไปพักผ่อนอีกหรือ?”
ได้ยินเช่นนั้นทหารหลายนายจึงเข้าไปทันทีและคุมตัวจักรพรรดิจยาเหวินไปยังที่พัก
ขันทีหมินและคนอื่นๆ อีกหลายคนที่รับใช้เขา ก็ถูกพาตัวไปเช่นกัน
ในตอนแรก จักรพรรดิจยาเหวินยังคงตะโกนด่าหรงจิ่วไม่ขาดสาย แต่เมื่อร่างของเขาหายไปจากประตู เสียงก่นด่าสาปแช่งเหล่านั้นก็หายไปเช่นกัน และมีเพียงเสียงเบาๆ ของการต่อสู้ดังขึ้น ราวกับว่าเจ้าของเสียงนั้นถูกทหารด้านนอกบังคับให้สงบปากสงบคำ
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
มาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้แพ้ผู้ชนะจักเป็นผู้ใด ย่อมเห็นๆ กันอยู่
แม้แต่จักรพรรดิจยาเหวินผู้สูงศักดิ์ยังถูกจับขังในชั่วพริบตา
และถึงหรงจิ่วจะยังไม่ฆ่าจักรพรรดิจยาเหวินตอนนี้ แต่เมื่อใดที่พระวรกายของท่านทรุด วันแห่งการพิพากษานั้นคงมาถึงแน่นอน
ทั่วทั้งห้องโถงเงียบกริบจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจ
หรงจิ่วกวาดตามองฝูงชนทั้งหมด ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่ซือเย่จือ
ซือเย่จือเกร็งไปทั้งตัว!
แม้ว่าตระกูลซือจะเป็นหัวเรือของสี่ตระกูลหลัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พวกเขาโง่เกินกว่าจะหาวิธีรับมือกับคนอย่างหรงจิ่วได้!
“หัวหน้าตระกูลซือ ช่วงนี้ข้าขอฝากเจ้าคอยดูแลท่านพ่อด้วย”
ซือเย่จือตกอกตกใจ
นี่หรงจิ่ววางแผนจะกุมขังเขาอีกคนอย่างนั้นหรือ?!
“องค์ชายสาม…”
ทว่าก่อนที่ซือเย่จือจะพูดจบ หรงจิ่วก็ขัดจังหวะเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย และพูดช้าๆ ว่า
“อย่าได้กังวลไป ตราบใดที่เจ้าดูแลท่านพ่อเป็นอย่างดี ข้ารับปากว่าจะเมตตาคนตระกูลซือทั้งหมด”
นี่มัน ข่มขู่กันแบบโจ่งแจ้งชัดๆ!
ความโกรธเกรี้ยวผุดขึ้นในหัวใจของซือเย่จือ แต่ในที่สุดเขาก็ระงับมัน และพูดเน้นย้ำที่ละคำ
“เช่นนั้น กราบขอบพระทัยองค์ชายสามอย่างสุดซึ้งขอรับ!”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็หันหลังกลับ และเดินไปตามทางที่จักรพรรดิจยาเหวินจากไปเมื่อครู่นี้
พร้อมกับทหารหลายนายที่ติดตามออกไป
ส่วนคนที่เหลือก็แอบสบตากันลับๆ
ดูเหมือนว่าหรงจิ่วจะฝังใจและยังแค้นจักรพรรดินีอยู่มาก… อีกทั้งก่อนหน้านี้ ซือเย่จือเองก็เป็นคนส่งหรงจิ่วไปยังลานประหาร…
แน่นอนว่าหลังจากนี้กระกูลซือคงได้พังพินาศเป็นแน่
เมื่อเห็นว่าทั้งจักรพรรดิจยาเหวินและซือเย่จือถูกกำจัด ในใจฉู่เซียวก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาคงไม่ออกเลียแข้งเลียขาฝ่าบาทหรอก!
แต่โชคดีที่ตอนนี้หรงจิ่วยังพอเห็นคุณงามความดีของเขาอยู่บ้าง!
แต่ทว่าจู่ๆ ดวงตาเรียวคมคู่นั้นก็หันมามองเขา
“ผู้อาวุโสฉู่”
ฉู่เซียวสั่นไปทั้งตัว พลางมองไปที่หรงจิ่วด้วยดวงตาอันสั่นเครือ
“อะ องค์ชายสาม…”
“เจ้าซื่อสัตย์ต่อท่านพ่อมาก เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ไปอยู่กับเขาหรือไร?”
ขาของฉู่เซียวอ่อนแรง และเขาก็พูดขึ้นทันที
“องค์ชายเข้าใจผิดแล้วขอรับ ความจริงแล้วเมื่อครู่นี้ ข้าแค่…”
แววตาของหรงจิ่วเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและเยาะเย้ยคนตรงหน้าอย่างเปิดเผย
ฉู่เซียวจึงทำได้เพียง “คร่ำครวญ” อยู่ในใจ ราวกับว่ามีบางอย่างติดอยู่ในลำคอ จนเอ่ยวาจาออกมาไม่ได้
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง แต่ทว่าภายใต้การดูถูกและประชดประชันของอีกฝ่าย มันกลับกลายเป็นเรื่องตลกให้อีกคนสมน้ำหน้าเขา
“ผู้อาวุโสฉู่ เชิญขอรับ?”
นายทหารคนแรกที่อยู่ด้านข้างเป็นเอ่ยเรียก
เมื่อตระหนักถึงเจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวของกบฏเหล่านี้ ฉู่เซียวก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่นและคลายออก และในที่สุดก็จำต้องเดินออกไป
หลังจากนั้น พวกขุนนางอีกหลายคนที่เคยยืนอยู่เคียงข้างจักรพรรดิจยาเหวินก็ถูกโค่นลง
ขณะที่ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็มีใครบางคนเอ่ยโพล่งออกมาอย่างกล้าหาญ
“ทรงพระเจริญ…”
ตู้ม!
แต่ก่อนจะได้พูดจบ ก็มีเสียงระเบิดดังลั่นมาจากบนฟากฟ้า!
หรงจิ่วสูดหายใจเข้าลึกๆ พลันหันหลังกลับและเดินออกไปไม่กี่ก้าว ก่อนจะหันกลับมาจ้องมองพวกเขาอีกครั้ง
เว่ยหลินที่ออกไปตั้งแต่ครู่ก่อน กลับเข้ามาแล้ว
หรงจิ่วเอ่ยถามทันควัน
“ลำแสงนั่นมาจากที่ใด?”
พลันท่าทางของเว่ยหลินก็ดูเคร่งเครียดกว่าเมื่อครู่หลายเท่า
“ดูเหมือนว่ามาจากตำหนักไท่หยวนขอรับ องค์ชาย!”
หรงจิ่วขมวดคิ้ว
“ไม่มีใครเข้าไปใช้ตำหนักนานแล้วมิใช่หรือ? แล้วเจ้ารู้ไม่ว่าตอนนี้ใครอยู่ข้างในนั้น และกำลังทำการอันใดอยู่?”
เว่ยหลินชะงัก พลางเอ่ย
“องค์ชาย ข้ารับใช้ผู้นี้ช่างไร้ความสามารถนัก! แต่รอบๆ ตำหนักไท่หยวนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยชั้นค่ายกล บุคคลภายนอกจึงไม่สามารถเข้าใกล้ได้ อีกทั้งยังมองไม่เห็นว่ามีอันใดอยู่ข้างในด้วย! กระหม่อมพยายามจะทะลวงเข้าไปถึงสามครั้ง แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า”
หรงจิ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เว่ยหลินเป็นนักรบระดับห้า พร้อมความแข็งแกร่งที่ยากเกินต้านทาน แต่ถ้าขนาดคนระดับเขายังไม่สามารถทำลายค่ายกลนั่นได้ล่ะก็…
“พาข้าไปที่นั่นโดยด่วน!”
…
ในยามที่ลำแสงนั่นพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะเดียวกันบุคคลที่อยู่บริเวณคุกใต้ดินที่ซ่อนอยู่อีกแห่งหนึ่งในวัง อย่างเยี่ยเหล่าและผู้อาวุโสจงเยี่ย ก็รู้สึกถึงความผันผวนอันทรงพลังนี้เช่นกัน
เมื่อได้ยินเสียงคำรามอันดังก้อง ทั้งสองก็ถึงกับตะลึงงัน!
สามารถสร้างความโกลาหลได้ถึงเพียงนี้…ในแคว้นเย่าเฉิน คนที่สามารถทำเช่นนั้นได้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!
และพอตั้งใจฟังดีๆ แล้ว ต้นเสียงเองก็อยู่ไม่ไกลจากวังหลวงเสียเท่าไหร่!
คนทั้งสองกลั้นหายใจ พลางสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่เย็นยะเยือกและมืดมน
และจู่ๆ เยี่ยเหล่าก็ทำหน้าตกใจสุดขีด
ความผันผวนนั่น… ราวกับว่ามันระเบิดออกมาจากสถานที่ที่ซือถูซิงเฉินถูกคุมขัง!
อีกทั้งพลังปราณนี้…
พลันการคาดเดาที่เลวร้ายและฟังดูไร้สาระ ก็ได้เกิดขึ้นในใจของเยี่ยเหล่า!
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว!
ผู้อาวุโสจงเยี่ยยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เหตุใด จู่ๆ เยี่ยจือถิงจึงหุนหันออกไปเช่นนั้น!?
ตกลงสถานการณ์มันเลวร้ายขนาดที่ทำให้อีกฝ่ายทิ้งเขาได้ลงคอเชียวหรือ?
เมื่อคิดเช่นนั้น ผู้อาวุโสจงเยี่ยจึงรีบทะลวงออกจากกรงเหล็กและตามเขาไปทันที!
…
ทันทีที่เยี่ยเหล่าออกมา เขาก็ต้องตกใจกับลำแสงขนาดใหญ่ที่เชื่อมระหว่างสวรรค์และโลก
เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ราวกับสติหลุดอยู่พักใหญ่
นี่มัน…นี่มัน!
มีคนควบคุมหม้อไฟสัมฤทธิ์สีชาดอยู่อย่างนั้นหรือ!
ส่วนผู้อาวุโสจงเยี่ยที่รีบตามออกมา ก็แปลกใจเมื่อเห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน
ทว่าความสงสัยนั้นมีมากกว่าความตกใจ
เยี่ยจือถิงถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ได้เห็นฉากเหตุการณ์ใหญ่ๆ มานักต่อนัก แต่ครั้งนี้มันคงเลวร้ายมากจนทำให้เขาแสดงท่าทางเช่นนี้ได้?
และเขาไม่คิดจะปล่อยให้ความสงสัยนี้ค้างอยู่ในใจต่อไป
เพราะสำหรับเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการตามหาซือถูซิงเฉินและพานางออกไปจากที่นี่!
แม้ว่าสร้อยข้อมือจะถูกทำลาย แต่โชคดีที่เขาคุ้นเคยกับพลังปราณของซือถูซิงเฉินมาก ตราบใดที่นางยังอยู่ในวังแห่งนี้ เขาก็ยังสามารถหานางเจอได้อย่างรวดเร็ว!
พอคิดเช่นนี้ ผู้อาวุโสจงเยี่ยก็เริ่มหลับตาและค้นหาอย่างระมัดระวัง
เพียงครู่เดียวเขาก็ลืมตาขึ้น พร้อมประกายความตื่นตระหนกที่แวบเข้ามาในดวงตาของเขา!
ดูเหมือนว่าซือถูซิงเฉิน…จะอยู่ที่ฐานของลำแสงนั่น!
…
อีกด้านหนึ่ง ฉู่หลิวเยว่และเจี่ยนเฟิงฉือใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายขณะที่หรงจิ่วนำกองกำลังเข้าไปในวัง แอบซ่อนตัวย่องเบาเข้าตามเข้าไปด้านใน
และโชคดีที่ตอนนี้ความสนใจของทุกคนอยู่ที่หรงจิ่วและพวกขุนนางเกือบทั้งหมด พวกเขาสองคนจึงสามารถหลบเข้ามาได้อย่างราบรื่น
กระทั่งเห็นลำแสงอันน่าสะพรึงกลัวนั่น!
เจี่ยนเฟิงฉือขมวดคิ้ว “นั่นอันใดน่ะ? ช่างมืดดำชวนสยองเสียจริง?”
ทว่าสีหน้าของฉู่หลิวเยว่กลับดูนิ่งเฉย
“มาช้าไปก้าวหนึ่งสินะ…”
“เจ้าว่าอย่างใดนะ?”
เจี่ยนเฟิงฉือเอ่ยถามอีกครั้ง แต่จู่ๆ ก็มีร่างร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากลำแสงนั่น!