ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 510 อันเชิญ
ตอนที่ 510 อันเชิญ [รีไรท์]
การเคลื่อนไหวของฉู่หลิวเยว่ที่ต้องเคลื่อนตัวไปพร้อมกันค่อนข้างยาก ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นก็เก็บมันลงไป
มือขวาของนางหยิบมีดสั้นขึ้นมา มือซ้ายยังคงกำลูกแก้วพรมแดนไวฑูรยะอยู่ในมือ ในใจถึงได้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น
ต้องบอกว่าของที่หรงซิวมอบให้นั้นล้วนแต่เป็นของดีทั้งนั้น
หลังจากเดินเข้าไปสักระยะหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไกลๆ
นางเงยหน้าขึ้นไปมอง มีคนสามคนวิ่งมาจากอีกฝั่งกำลังจะมาทางนี้
ผู้ชายสองคนอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหก ส่วนผู้หญิงอีกคนเหมือนว่าคนเด็กกว่าเล็กน้อย อายุน่าจะยังไม่เกินยี่สิบปี
ฉู่หลิวเยว่จำได้ลางๆ ว่าคนทั้งสามคนนี้เข้ามาก่อนหน้านาง
แต่เหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ปรากฏอยู่ในตำแหน่งเดียวกับนาง
“โชคดีที่อาจารย์ลุงได้มอบกู่ประสานเสียงเอาไว้ให้ก่อนหน้านี้แล้ว พวกเราถึงสามารถรวมตัวกันได้อย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ด้วยความกว้างใหญ่ของอาณาจักรเทพเทียนลิ่ง เกรงว่ากว่าพวกเราจะได้เจอกัน ก็คงต้องออกจากที่นี่ไปก่อนแล้ว”
ชายรูปร่างสูงผอมสวมชุดสีม่วงก็พร้อมขึ้นด้วยใบหน้ายินดี
“ใช่แล้ว! ข้าไม่เคยคิดว่ามาก่อนเลยว่าอาณาเทพเทียนลิ่งจะเป็นที่ที่พิเศษเช่นนี้” ชายอีกคนที่รูปร่างท้วมกว่ามาก และไว้เคราเล็กน้อยก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ส่วนแม่นางที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองก็มีใบหน้าคล้ายเมล็ดแตงโม ผิวขาวสะอาด น่าดึงดูด และยังดูเด่นสะดุดตาอีกด้วย
“เมื่อครู่ข้าต้องขอบคุณศิษย์พี่ที่สองมากจริงๆ ไม่เช่นนั้นชิ่นเอ๋อร์คงจะตกรอบไปตั้งนานแล้ว”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นางก็ปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นอยู่ตรงหน้าผากของนางไปด้วย ใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย จนทำให้รู้สึกงดงามยิ่งขึ้น
สายตาของผู้ชายทั้งสองคนชื่นชมอย่างปิดไม่มิด
“ชิ่นเอ๋อร์พูดอันใดแบบนั้นเล่า? หลังจากงานหมื่นทูรครั้งนี้ เจ้าก็จะเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่เมฆาม่วงแล้ว พวกเราก็ถือว่าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า ช่วยเจ้านั้นก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”
“นั่นสิ! อาจารย์ลุงก็ตั้งความหวังกับเจ้าเอาไว้มาก!”
ผู้หญิงคนนั้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เขินอายขึ้นมา
“สำนักกระบี่เมฆาม่วงล้วนเป็นสำนักอันดับต้นๆ ของเมืองซีหลิง จะสามารถเข้าได้ง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างใดเล่าเจ้าคะ? หากครั้งนี้อันดับของชิ่นไม่ดีพอ เกรงว่าก็คงไม่มีหน้าเข้าไปแล้ว”
“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าพูดเช่นนี้ก็ถ่อมตัวเกินไปแล้วนะ ปีนี้เจ้าเพิ่งอายุสิบเก้า แต่อยู่ขั้นห้าตอนปลายแล้ว ในลำดับของการประลองครั้งนี้ เจ้าต้องอยู่อันดับต้นๆ อย่างแน่นอน! ไม่ว่าอย่างใดชีพจรตี้จิงของเจ้า…”
ชายร่างผอมยังไม่ทันได้พูดจบ แต่ใบหน้าก็ปรากฏความอิจฉาออกมาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าระดับของชีพจรตี้จิงนั้นต้องโดดเด่นกว่าเขาอย่างแน่นอน!
ส่วนชายที่มีเคราก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ในสำนักกระบี่เมฆาม่วงแล้ว และเริ่มการฝึกอย่างเป็นทางการ ไม่แน่ว่าอีกสองสามปีก็จะแซงพวกข้าไปแล้ว”
“ศิษย์พี่ทั้งสองคนอย่ามาล้อข้าเล่นเลย”
ผู้หญิงคนนั้นรีบโบกมือทันที ท่าทางเหมือนกำลังเขินอายเล็กน้อย แต่รอยยิ้มของนางนั้นกลับสว่างสดใสอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่สังเกตได้ว่า แม้พวกเขาทั้งสามคนจะหน้าแดงเล็กน้อย แต่ปราณรอบตัวของพวกเขากลับปกติอย่างมาก
เมื่อมองดูดีๆ แล้วก็พบว่าที่เอวของพวกเขาห้อยถุงหอมถุงหนึ่งเอาไว้อยู่
คาดไม่ถึงว่าปราณฟ้าดินที่อยู่รอบข้างก็ถูกมันกลืนกินไปเสียหมด
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตามอง
ถุงหอมซื่อหยวน
ของชิ้นนี้ดูธรรมดาไม่ได้ต่างอันใดไปจากถุงหอมทั่วไป แต่ความจริงแล้วมันทอมาจากไหมสวรรค์ซื่อหยวนที่มีความพิเศษอย่างมาก มีความสามารถดูดซับปราณฟ้าดินได้ด้วยตนเอง และสามารถเก็บไว้ได้ในปริมาณมาก
ขอเพียงแค่เจ้าของเปิดมันออกมา พลังที่อยู่ด้านในก็จะพวยพุ่งออกมาในทันที
ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนหนึ่งจึงชอบพกถุงนี้เอาไว้ข้างกายตลอด ด้วยวิธีนี้ก็สามารถดูดซับปราณฟ้าดินได้ตลอดเวลา และยังสามารถเร่งความเร็วในการบำเพ็ญเพียรได้อีกด้วย
แต่ว่าเพราะของชิ้นนี้มีราคาแพงมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถซื้อมันได้
และในตอนนั้น ของวิเศษชิ้นนี้ถือเป็นของวิเศษชิ้นสำคัญที่ทำให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ร้ายแรงนี้ได้
มิน่าล่ะพวกเขาถึงเดินทางมาถึงที่นี่ได้โดยไม่เป็นอันใดเลย
ฉู่หลิวเยว่ถอนสายตาออก จากนั้นก็ตั้งใจจะก้าวเดินไปด้านหน้าต่อ แต่คนพวกนั้นกลับเห็นนางเข้าแล้ว
“นั่นมันฉู่หลิวเยว่ไม่ใช่หรือ? คาดไม่ถึงว่านางจะเดินทางมาถึงตรงนี้ได้?”
“สามารถเอาชนะนักรบระดับห้ามาได้ ก็คงจะมีความสามารถจริงๆ นั่นแหละที่จะยืนหยัดมาถึงตอนนี้…”
ชายทั้งสองคนพูดกระซิบกันเสียงเบา
ผู้หญิงคนนั้นกลอกตามอง
“ศิษย์พี่ทั้งสอง เช่นนั้นพวกเราเชิญนางให้เดินทางมาพร้อมกับพวกเราดีหรือไม่?”
ชายทั้งสองคนก็ชะงักไปทันที อีกทั้งสีหน้าของเขาก็ดูลำบากอยู่มาก
“ชิ่นเอ๋อร์ พวกเราไม่รู้จักกับนาง แบบนั้น…คงไม่ดีล่ะมั้ง?”
งานประลองหมื่นทูรยังอยู่ในระหว่างแข่งขันอยู่นะ
ตอนนี้พวกเขาถือว่าเป็นคู่แข่งกันอยู่ จะมาบอกว่าให้เดินทางด้วยกันได้อย่างใด?
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะไม่ได้คิดว่าศิษย์พี่ทั้งสองจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ นางจึงบ่นออกมาเสียงเบาว่า
“ชิ่นเอ๋อร์เห็นว่านางอยู่คนเดียว น่าสงสารมาก…แต่ถ้าศิษย์พี่ทั้งสองคิดว่ามันไม่เหมาะสม ก็ช่างมันเถอะเจ้าค่ะ!”
ผู้ชายทั้งสองคนสบสายตากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นชายร่างผอมสูงก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วกล่าวว่า
“ชิ่นเอ๋อร์เจ้านี่เป็นคนดีจริงๆ เลยนะ ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นศิษย์พี่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ขอเพียงแค่อย่าให้นางก่อเรื่องวุ่นวายก็พอ”
แววตาของหญิงคนนั้นเปล่งประกาย ใบหน้ามีร่องรอยของความซาบซึ้งใจปรากฏอยู่
“ขอบคุณศิษย์พี่มากเจ้าค่ะ!”
ส่วนชายที่มีเคราก็ตะโกนขึ้นมาว่า
“คุณหนูฉู่ช้าก่อน! คุณหนูฉู่ ที่นี่อันตรายยิ่งนัก หากเดินคนเดียวยิ่งอันตราย เช่นนั้นพวกเราเดินทางด้วยกันดีหรือไม่ จะได้ช่วยดูแลซึ่งกันและกัน เป็นอย่างใด?”
ความจริงแล้วแม้ว่าเขาจะพูดเสียงปกติ ฉู่หลิวเยว่ก็ได้ยินมันทั้งหมดแล้ว
เมื่อเทียบกับผู้ชายทั้งสองคนแล้ว ผู้หญิงคนนั้นกลับดูน่าสงสัยมากที่สุด
นางจำผู้หญิงคนนั้นได้เล็กน้อย เหมือนจะชื่อว่าหยางชิ่นเอ๋อร์ รอบคัดเลือกก็สามารถชนะคู่ต่อสู้ด้วยสามกระบวนท่า ทำให้สามารถเข้ารอบด้วยอันดับที่ห้า จึงทำให้ทุกคนสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อเทียบกับอายุแล้ว นางถือว่ามีพรสวรรค์และฝีมืออย่างมาก และด้วยความงามของนางด้วยแล้วถือว่าเป็นที่สะดุดตาอย่างมาก
แต่เขากับนางไม่ได้รู้จักกัน ไม่รู้ว่านางคิดจะทำอันใดกันแน่?
มีเรื่องน้อยก็ทุกข์น้อย แล้วอีกอย่างนางต้องไปเอากระดูกอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในกระบี่หลงหยวน ดังนั้นจึงไม่สะดวกเดินทางไปกับพวกเขา
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าแล้วกล่าวอย่างเกรงใจว่า
“ขอบคุณในความหวังดีของทุกท่านมาก แต่ข้ามีนัดหมายกับสหายเอาไว้แล้ว จึงไม่ขอรบกวนพวกเจ้าดีกว่า”
พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีสีหน้าตกใจ คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะปฏิเสธข้อเสนอของพวกเขา
นี่สมองนางมีปัญหาหรือไม่เนี่ย?
เห็นได้ชัดว่าถ้าหากรวมกลุ่มกันจะปลอดภัยมากกว่าอยู่ตัวคนเดียวแท้ๆ
ที่พวกเขายินดีช่วย ก็เพราะใบหน้าที่บริสุทธิ์ของชิ่นเอ๋อร์ แต่ใครจะคิดเล่าว่านางจะไม่ตอบรับน้ำใจกันเช่นนี้?
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะปฏิเสธอย่างสุภาพมากแล้ว แต่ในสายตาคนอื่น กลับดูโง่เขลาอยู่บางส่วน
ชายร่างผอมสูงขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็หันไปพูดกับชิ่นเอ๋อร์ว่า
“ชิ่นเอ๋อร์ เจ้าก็เห็นแล้ว ว่านางไม่ยินดีที่จะร่วมเดินทางกับพวกเรา อย่าทำให้ความใจดีของเจ้าสูญเปล่าเลย”
หยางชิ่นเอ๋อร์กัดริมฝีปาก
ชายหนุ่มมีเคราก็แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมลูบเครา แล้วพูดอย่างมีนัยยะว่า
“ในเมื่อนางทำเช่นนี้ก็แปลว่านางไม่ไว้ใจพวกเรา เหตุใดพวกเราต้องไปยึดติดกับนางด้วยเล่า? นางมีความมั่นใจขนาดนี้ ก็ให้นางลุยเดี่ยวไปคนเดียวเลยนั่นแหละ! ดูสิว่านางจะอยู่ที่นี่ได้อีกนานเท่าไร!”
ลำดับของสำนักกระบี่เมฆาม่วงนั้นสูงมากในเมืองซีหลิง เขามักจะโอ้อวดว่าตนเองเป็นสำนักกระบี่สำดับหนึ่ง ดังนั้นศิษย์ที่อยู่ในสำนักนี้ก็ค่อนข้างที่จะเย่อหยิ่งถือตัว
หยางชิ่นเอ๋อร์เงียบไปสักครู่หนึ่งแต่จากนั้นก็ยังคงเดินไปด้านหน้า และพูดกับฉู่หลิวเยว่ด้วยความอ่อนโยนว่า
“คุณหนูฉู่ เจ้าอย่าเข้าใจผิด พวกเราล้วนเป็นคนดี เมื่อครู่พวกเราเห็นกระดาษมนุษย์จำนวนมากที่นี่ จึงรู้สึกว่าที่นี่อันตรายอย่างมาก หากพวกเราเดินทางด้วยกันมันจะปลอดภัยกว่าหน่อย ไม่ใช่หรือ?”