ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 653 นายท่านของข้ามีเทียบเชิญ
ตอนที่ 653 นายท่านของข้ามีเทียบเชิญ
เจียงอวี่เฉิงค่อยๆ นั่งยืดตัวตรง ใบหน้าของเขาเครียดเกร็ง นั่นทำให้สีหน้าของเขาดูแล้วแปลกประหลาดยิ่ง
“เหตุใดเจ้าสำนักอวี้ฉือซงจึงกล่าวเช่นนั้น? ในตอนที่เกิดเรื่ององค์หญิงใหญ่ เกิดการเคลื่อนไหวเสียงดังสนั่น ผู้คนจำนวนไม่น้อยในวังต่างก็เป็นพยานได้ ท่านพูดเช่นนี้…หรือว่าจะสืบพบเจออันใด?”
อวี้ฉือซงชะงักไปเล็กน้อย
“มิใช่ว่าข้าสืบพบเจออันใด เพียงแต่ระยะนี้จู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องราวมากมายที่รู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่บ้าง อย่างเช่น…องค์หญิงใหญ่มักฝึกตนอยู่ในห้องพิเศษของนาง เหตุใดจึงต้องวิ่งเข้าไปขยายขอบเขตพลังปราณในโถงบรรพชนราชวงศ์ อีกทั้งสุดท้ายก็ธาตุไฟเข้าแทรก เผาตัวเองจนถึงแก่ความตายเล่า? ภายในนั้นมีการบูชาแผ่นจารึกวิญญาณของบรรพบุรุษต้นตระกูลราชวงศ์เทียนลิ่งเท่านั้น อยู่ดีๆ เหตุใดองค์หญิงใหญ่จึงต้องเข้าไปข้างในนั้นด้วย?”
เจียงอวี่เฉิงหลุบตาลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
“เรื่องนี้…ข้าไม่ขอปิดบังท่าน ใจข้าเองก็สงสัยอยู่บ้าง ทว่า…ฟังจากที่องค์หญิงสามบอก ก่อนที่องค์หญิงใหญ่จะไปยังโถงบรรพชนราชวงศ์ เคยเอ่ยเรื่องนี้กับนางว่าเรื่องนี้ล้วนถูกตระเตรียมไว้หมดแล้ว ในตอนนั้นองค์หญิงสามก็เคยถามเช่นกัน ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับมิได้ตอบอันใด ไม่คิดว่าภายหลัง…จนถึงบัดนี้ เหตุผลของเรื่องนี้ เกรงว่าจะมีเพียงองค์หญิงใหญ่เท่านั้นที่รู้”
อวี้ฉือซงเอ่ยถามต่อ
“ท่านกำลังจะบอกว่า คราแรกองค์หญิงใหญ่เตรียมตัวจะไปยังโถงบรรพชนราชวงศ์อยู่ก่อนแล้ว?”
เจียงอวี่เฉิงผงกศีรษะ ใบหน้าปรากฏความเศร้าโศก
“ถ้าหากรู้แต่แรกว่าภายหลังจะเกิดเรื่องเช่นนี้…ในตอนนั้นข้าควรไปห้ามนางไว้”
นัยน์ตาของอวี้ฉือซงเรืองขึ้นมาวาบหนึ่ง
“…เมื่อเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะคิดมากไป”
เจียงอวี่เฉิงมองเขาแวบหนึ่ง
“เจ้าสำนักอวี้ฉือซง ข้ารู้ว่าท่านกับองค์หญิงใหญ่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน การจากไปของนางย่อมเป็นการสูญเสียอันใหญ่หลวงของท่าน ทว่าคนก็จากไปแล้ว ท่านปล่อยวางเสียเถิด หากว่าท่านยังคงจมปลักและทุกข์ใจกับเรื่องนี้ทุกวัน ถ้าวิญญาณขององค์หญิงใหญ่รับรู้แล้วล่ะก็ เกรงว่านางคงเจ็บปวดมากเป็นแน่”
อวี้ฉือซงนวดหัวคิ้วด้วยใบหน้าอันเหนื่อยล้า
“น่าแปลกยิ่งนัก…ถ้าหากองค์หญิงใหญ่มีเรื่องสำคัญต้องทำจริงๆ ปกติก็ไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่บอกใคร…ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่า นางถูกบังคับให้บุกเข้าไปในโถงบรรพชนราชวงศ์เสียอีก!”
หัวใจของเจียงอวี่เฉิง “พลัน” กระตุกสองครั้ง เขาฉีกยิ้มอย่างยากลำบาก
“เจ้าสำนักอวี้ฉือ ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว องค์หญิงใหญ่สถานะสูงส่ง มิมีใครไม่เชื่อฟัง จะมีใครกล้าหาญถึงขนาดนั้นกัน?”
“ถูกต้อง! นางจิตใจงดงาม จะไปมีได้อย่างใด ผู้ที่กล้าหาญและอำมหิตถึงเพียงนั้น…”
อวี้ฉือซงเอ่ยเสียงต่ำ เอ่ยพึมพำทีละคำ
ราวกับว่ากำลังพูดอยู่กับตนเอง และเหมือนกับว่ากำลังตั้งคำถามแก่ใครสักคน
ในใจเจียงอวี่เฉิงเต้นระรัว เลือดทั่วทั้งกายราวกับถูกแช่แข็ง แขนขาต่างก็รู้สึกชาวาบ
เขาหลุบตาลง
“ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผิดไปเองจริงๆ”
อวี้ฉือซงยืดกายลุกขึ้น ถอนหายใจยาวออกมาคราหนึ่ง
“ในเมื่อเรื่องราวชัดเจนแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนเวลาขององค์ชายเจียงแล้ว ต้องขอตัวก่อน”
เจียงอวี่เฉิงเงยศีรษะขึ้น “ท่านจะไปแล้วหรือ?”
“ใช่แล้ว งานประชุมสำนักเพิ่งจะสิ้นสุด ภายในสำนักซงชูเก๋อยังมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ อีกอย่าง เรื่องของทรายรวมศูนย์ ต้องรบกวนองค์ชายเจียงแล้ว”
เจียงอวี่เฉิงบังคับให้ตนเอ่ยอย่างหนักแน่น
“ท่านโปรดวางใจ ข้าจะกลับไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด และข้าจะสอบสวนคนทุกผู้ที่ไปชายแดนใต้กับข้า ข้าย่อมให้คำตอบที่น่าพึงพอใจแก่ท่าน”
อวี้ฉือซงผงกศีรษะอย่างวางใจ จากนั้นก็ขอตัวลาจากไป
เจียงอวี่เฉิงเอ่ยรั้งไว้สองประโยคพอเป็นพิธี จากนั้นก็ไปส่งเขาที่ประตูด้วยตนเอง
หลังจากรอให้ร่างเงาของอวี้ฉือซงหายลับไปจากประตูจวนตระกูลเจียง เจียงอวี่เฉิงก็เลื่อนสายตากลับมา หมุนกายก้าวอย่างฉับไวกลับไปยังห้องหนังสือด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ซุนฉีมองสีหน้าของเขาดูไม่ชอบมาพากล มีความหัวเสียอยู่บ้าง
“องค์ชายใหญ่…”
น้ำเสียงของเจียงอวี่เฉิงเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
“รีบไปเรียกผู้ที่เคยไปชายแดนใต้เหล่านั้นให้มารวมตัวกันบัดเดี๋ยวนี้ ตัวข้าจะทำการ…สอบสวน!”
นัยน์ตาของซุนฉีปรากฏร่องรอยความประหลาดใจ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของเจียงอวี่เฉิงแล้ว เขาก็รีบตอบทันที
“ขอรับ! ข้าน้อยจะรีบไปจัดการ!”
พูดจบ ซุนฉีพลันถอยออกไปจากห้องหนังสือ ไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องหนังสืออย่างระมัดระวัง
เมื่อภายในห้องเหลือเพียงแค่เขาคนเดียว เจียงอวี่เฉิงก็ไม่สามารถกักเก็บโทสะที่สุมไว้ในใจได้อีกต่อไป เขากวาดสิ่งของทุกอย่างบนโต๊ะลงกับพื้น!
ผู้คนด้านนอกดูเหมือนจะได้รับคำเตือนจากซุนฉีแล้วจึงพากันเงียบ มิมีใครกล้าส่งเสียง
หน้าอกของเจียงอวี่เฉิงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ เส้นเลือดดำบนหน้าผากปูดโปน ริมฝีปากของเขาซีดเผือด ดูแล้วประหลาดนัก
วันนี้อวี้ฉือซงมาที่นี่ เบื้องหน้ามาเพื่อตรวจสอบเรื่องของทรายรวมศูนย์ ทว่าความจริงกลับเป็นคนละเรื่อง!
เขาตั้งใจเอ่ยถึงซังกวนเยว่ และยังเอ่ยคำพูดพวกนั้นอีก เขาคิดจะทำอันใดกันแน่?
ถ้าหากว่าอวี้ฉือซงเพียงแค่สงสัยปกติ ย่อมไม่มีทางแจ้นมาถึงจวนตระกูลเจียงเพื่อมาพูดเรื่องพวกนี้กับเขาโดยตรง
เขารู้อันใดมากันแน่?
การที่เขามาครั้งนี้ มาเพื่อหยั่งเชิง หรือมาเพื่อข่มขู่?
ภายในใจของเจียงอวี่เฉิงต่างก็ปั่นป่วน ภายในความคิดก็ยุ่งเหยิง
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด
เขายืนอยู่ที่นั่น ยืนไตร่ตรองด้วยสีหน้าขุ่นมัว แล้วถกแขนเสื้อของตนขึ้น
รอยแผลเป็นน่าเกลียดน่ากลัวสีแดงที่ตกสะเก็ดแล้วรอยหนึ่ง ปรากฏภายใต้แขนเสื้อนั้น
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบเอากล่องสมุนไพรพอกแผลออกมาจากตู้ลิ้นชักด้านข้าง ก่อนจะพอกมันลงไป
ยิ่งอวี้ฉือซงสงสัยเขามากขึ้นเท่าไร เขายิ่งต้องสงบนิ่งเท่านั้น ยิ่งต้องไม่ให้เขาจับผิดได้!
เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด มือที่พอกสมุนไพรอยู่กลับสั่นระริกอย่างแผ่วเบา
…
หลังจากมู่ชิงเห่อออกมาจากจวนตระกูลเจียง เดิมคิดกลับไปยังจวนตระกูลมู่เสียก่อน
แต่เมื่อคิดถึงคำพูดเหล่านั้นก่อนแยกกันของเจียงอวี่เฉิงก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนความตั้งใจ หมุนตัวมุ่งเดินไปยังทิศทางของถนนลิ่วอวิ๋นแทน
ถนนสายหลักของซีหลิงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเดินไปเดินมา แน่นขนัดเป็นอย่างยิ่ง
เขาผ่านกลุ่มคนหนาแน่น เดินเข้าไปยังเขตถนนที่แสนคึกคักและวุ่นวาย
หลังจากลัดเลาะไปตามหัวโค้งของถนน ผู้คนโดยรอบก็ค่อยๆ ลดน้อยลง และกลายเป็นเงียบลงโดยพลัน
สภาพอากาศไม่รู้ว่าเริ่มหิมะตกตั้งแต่เมื่อใด
เกล็ดหิมะที่ดูราวกับขนห่านตกลงบนศีรษะและเสื้อผ้าของเขา ค่อยๆ จับตัวกันเป็นชั้นน้ำแข็ง ส่งผ่านความหนาวเย็นเยียบถึงกระดูก
เขาเดินอย่างเงียบเชียบตลอดทาง ในที่สุดก็หยุดลงตรงหน้าประตูจวนหลังหนึ่ง
ทางเดินพื้นหินอ่อนที่มักจะสะอาดและเรียบร้อยอยู่เสมอ บัดนี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะ
ด้านหลังร่างของเขาปรากฏรอยเท้าอันชัดเจนรอยหนึ่ง
เขาเงยศีรษะขึ้น มองไปยังประตูใหญ่ด้านหน้าที่แสนคุ้นตา
เขาเคยมาสถานที่แห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง
ทว่าหนึ่งปีมานี้ กลับไม่ได้มาเลย
เขาคิดว่าตนเองจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก คาดไม่ถึงว่า…
ด้านบนประตูหน้า มีจารึกแผ่นหนึ่งแขวนเอาไว้
…จวนตระกูลฉู่
ลายมืออ่อนโยนดั่งมังกร เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นลายมือของอวี้ฉือซง
คิ้วของมู่ชิงเห่ออดไม่ได้ที่จะย่นลง
ดูเหมือนว่าระดับความรักใคร่เอ็นดูฉู่หลิวเยว่ของอวี้ฉือซงจะลึกซึ้งกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้…
เขายังคิดว่าอวี้ฉือซงจะไม่ยอมยกที่นี่ให้ผู้ใดเสียอีก…
ทว่าผ่านไปหนึ่งปี สิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนตามไปด้วย
มู่ชิงเห่อจ้องมองประตูใหญ่อยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายตัดสินใจที่จะเดินจากไป
ทว่าเมื่อก้าวเดินไปได้ก้าวหนึ่ง กลับแว่วได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านใน
เขาพลันตื่นตระหนก
ตอนนี้ทั้งฉู่หลิวเยว่และเซียงหว่านโจวต่างก็ไม่อยู่ที่นี่ ข้างในมีคนได้อย่างใด?
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั่นเอง เสียงครืดก็ดังขึ้น ประตูใหญ่ถูกเปิดออกจากข้างใน
ด้านหน้าสายตาพลันปรากฏใบหน้าอันคุ้นเคย
“รองแม่ทัพมู่ นายท่านของข้ามีเทียบเชิญ…”