ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 771 นังหนูเยว่เออร์
ตอนที่ 771 นังหนูเยว่เออร์
อีกด้านหนึ่งของป่าหมอกมายา มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งลอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
“ตั้งแต่ตอนนั้นมันก็นานมาแล้ว แต่เหตุใดป่าหมอกมายาถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?”
“มีคนมาที่นี่ก่อนเรา…หืม เหมือนจะเป็นมู่ชิงเห่อกับเจ้าเด็กนั่น และก็กองทัพทหารม้าทมิฬ นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายสิบชีวิตที่ไม่เคยเห็นหน้าคราตามาก่อน”
“เห้อ โชคร้ายจริงๆ ที่คนพวกนั้นมาที่นี่ แถมยังบังเอิญมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีก…เอ๊ะ เดี๋ยวนะ! เหตุใดไก่ฟ้าตัวนั้นหายไปล่ะ?”
“เหมือนข้าจะสัมผัสได้ถึงลมปราณของกษายะหางวายุ…ไก่ฟ้าตัวนั้นทะลวงได้สำเร็จแล้วหรือ?”
“จะเป็นไปได้อย่างใด? เจ้าไก่นั่นสูญเสียจิตวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งไปแล้ว…ช้าก่อน ข้างหน้ามีคนอยู่กี่คน?”
“เจ้าเด็กโง่สองคนนั้นยังอยู่อีกหรือ? แล้วไฉนถึงมีลูกกระจ๊อกมาเพิ่มได้เล่า?”
“…ดูเหมือนว่าไก่ฟ้านั่นจะทะลวงผ่านแล้วจริงๆ …แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่านังหนูอยู่ใต้ดินกันนะ? หรือเพราะข้าแก่แล้ว หูตาเลยไม่ค่อยดีเท่าไร?”
“…เจ้าคิดถูกแล้ว นางอยู่ข้างล่าง แต่ก็…อยู่กับเจ้าสิ่งนั้นด้วย…”
ชายชราเป็นคนพูดประโยคนี้ออกมา
ทันทีที่พูดจบ อีกสองคนก็เงียบลงทันตา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงเล็กเสมือนเด็กแรกเกิดก็ดังขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
“ข้าบอกแล้วว่าให้ขุดเจ้าสิ่งนั้นขึ้นมาให้นาง! เอามันให้นางไปเลย! แต่พวกเจ้ากลับบอกยังไม่ถึงเวลา! แล้วตอนนี้เป็นไงเล่า นางถึงกับลงไปเองแล้ว! ถ้านังหนูนั่นเป็นอันใดไป รอดูข้าเด็ดหัวพวกเจ้าได้เลย!”
“การที่เด็กคนหนึ่งต้องการสิ่งของนั้นๆ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันไม่ใช่วัตถุธรรมดา ถ้าให้นางไปตอนนั้น แน่นอนว่าจักต้องเกิดเรื่องวุ่นวายตามมา” น้ำเสียงที่ฟังดูไพเราะไร้ซึ่งน้ำโห เอ่ยพูดช้าๆ “แล้วใครกันที่บอกว่าจะสอนบทเรียนให้นังหนูนั่นเมื่อครู่ก่อน เพียงพริบตาก็ห่วงนางจนหันมาแยกเขี้ยวใส่พวกเราแล้ว…เหอะ พี่เป่า เจ้านี่ร้ายใช่เล่น”
“ไหนลองเรียกพี่เป่าอีกทีสิ!?”
“เช่นนั้น น้องเป่า?”
“ไอ้คนไร้สำนึก ตายเสียเถอะ!”
“พวกเจ้าช่วยไปทะเลาะกันไกลๆ ไม่ได้หรือ? มันรบกวนการเฝ้าดูนังหนูของข้า!”
“ไสหัวไป!”
“เจ้าสิไสหัวไป!”
…
ความวุ่นวายนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของฉินอีและคนอื่นๆ
มวลอากาศเย็นยามราตรีปกคลุมลงมา
ตอนกลางวันและตอนกลางคืนของที่นี่ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร
เย่หรานหร่านกับมู่หงอวี่หลับไปแล้ว ส่วนเชียงหว่านโจวก็นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ พวกเขาโดยมีกระบี่เทพเมฆาสำริดวางพาดไว้บนเข่า
พี่เหลยสี่และฉินอีนั้นมีขั้นพลังปราณที่แกร่งกล้า จึงไม่จำเป็นต้องนอนหลับ เพียงแค่ปรับลมปราณสักนิด ก็สามารถฟื้นฟูจิตวิญญาณของพวกเขาได้แล้ว
ในขณะที่คอยคุ้มกันพวกของมู่หงอวี่ทั้งสามคน พวกเขาก็คอยมองไปยังต้นสนฉัตรที่เหี่ยวเฉาเป็นระยะ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงลมดังออกมาจากในป่า
พลันกิ่งก้านของต้นแม่ก็หักแล้วหล่นลงพื้นจนเกิดเสียงดังไปทั่ว
พี่เหลยสี่กระเด้งตัวขึ้นมาทันที
“ใครกัน!?”
เขามองไปรอบๆ อย่างตื่นตระหนก แต่ก็ไม่เห็นใครปรากฏตัวออกมาเลย
ฉินอีถูหว่างคิ้วราวใช้ความคิด
“ก็แค่กิ่งไม้หัก มิใช่เรื่องใหญ่อันใด พี่สี่ เจ้าตื่นตระหนกเกินไปแล้ว”
พี่เหลยสี่หันมองตาม และเกาหัวด้วยความลำบากใจ
“เช่นนี้นี่เอง…ข้าก็คิดไปว่า…”
เขาถอนหายใจด้วยสีหน้าผิดหวัง
เมื่อครู่เขานึกว่าองค์หญิงใหญ่ออกมาได้แล้วเสียอีก
ฉินอีเองก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงองค์หญิงใหญ่เพียงใด พลันเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“เจ้าพักผ่อนเสียหน่อยเถิด”
แต่พี่เหลยสี่กลับส่ายหัวอย่างไม่ยินยอม
เมื่อเห็นท่าทางแน่วแน่ของเขา ฉินอีก็ไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมเขาต่ออีก
ไม่นานทั่วทั้งผืนป่าก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครา
…
“ตาเฒ่า นี่เจ้ามิได้ขยับมือเท้านานจนสนิมขึ้นหมดแล้วหรือ? และที่เจ้าเคลื่อนไหวเมื่อครู่ เจ้าอยากให้คนทั่วทั้งแดนภังคะรู้ว่าเจ้ามาแล้วหรือไร?”
ต้าเป่าเอ่ยกระแซะ
ชายชราแค่นหัวเราะเบาๆ
“ข้ามิได้สะเพร่า! แล้วใครบอกให้พวกเจ้าเถียงกันไม่หยุด! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ รีบหานังหนูให้เจอ!”
ที่ว่ามามันก็ใช่
พวกเขาสามารถออกมาสู่โลกภายนอกในคืนพระจันทร์สีเลือดได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น และพวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าช่วงเวลาอื่นนั้น เกิดเหตุการณ์สลักสำคัญอันใดขึ้นบ้าง
และพวกมันสามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระในโลกภายนอกได้มากสุดแค่สองชั่วยามเท่านั้น
โอกาสนั้นหายาก จึงต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด
คนสองสามคนหยุดส่งเสียงดังและรีบกระโดดลงไปพร้อมกัน
“ดูเหมือนว่าเจ้าสิ่งนั้นจะทำลายผนึกด้วยตัวเอง ดูสภาพที่นี่สิ ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะมันสินะ?”
“นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว และผนึกนั่นก็น่าจะพุพังไปแล้ว ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนักที่มันคงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ที่ข้าสงสัยก็คือ นังหนูนั่นคำนวณเวลาไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้วหรือ นางจึงได้กลับมาที่นี่ตอนนี้?”
“แทบเป็นไปไม่ได้…แต่นางบ้ามากที่กล้าบุกเข้าไปในสถานที่นั้นโดยไม่ได้รับอนุญาต! ข้าเดาว่าตอนนี้นางต้องทะลวงขั้นพลังปราณอยู่เป็นแน่?”
“ยังต้องพูดอีกหรือ? ตั้งแต่แรกนางก็…หือ? เหมือนว่าเจ้าสิ่งนั้นจะปิดกั้นพื้นที่ด้านล่างไว้เลย?”
“นังหนูเล่า! นังหนูอยู่ที่ใดแล้ว! ข้าจะลงไปให้ลึกกว่านี้…”
“เจ้าน่ะไสหัวออกไปเสีย!”
“เหตุใดถึงเถียงกัน พวกเจ้าหรือจะสู้ผู้ที่มีรูปโฉมงดงามอย่างข้าได้? แต่ไหนแต่ไร นังหนูชอบข้ามากที่สุด เช่นนั้นก็เงียบปากเสีย ข้าจะไปเอง”
“ไอ้จิตวิปริตไร้ยางอาย!”
…
ฉู่หลิวเยว่กำลังจดจ่ออยู่กับการฝึกปราณ
หลังจากทะลวงไปถึงระดับห้าขั้นกลางแล้ว นางก็จงใจลดความเร็วของการดูดกลืนพลังปราณลง
เนื่องจากระหว่างขั้นกลางและขั้นสูงสุดนั้น มีช่องว่างที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก เพื่อให้แน่ใจว่าความแข็งแกร่งที่ถูกเติมเต็มนั้นมั่นคงดี
แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งของตน ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่นางจะไม่กระทำการรุนแรงสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด
แต่จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงอันใดบางอย่าง
ราวกับเสียงคนกำลังพูดกันอย่างนั้นแหละ…
นางลืมตาและเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว
รัศมีสีเขียวเข้มบังสายตาเกือบหมด และพื้นที่ด้านบนก็มืดสนิท จนมองไม่เห็นสิ่งใด
ดูเหมือนจะไม่มีอันใดผิดปกติ
“หลิวเยว่ มีอันใดหรือ?”
องค์ไท่จู่สังเกตท่าทางของนาง แล้วถามด้วยความสงสัย
ฉู่หลิวเยว่ชี้ไปด้านบน
“องค์ไท่จู่ ท่านได้ยินเสียงคนพูดหรือไม่?”
“ไม่หนิ”
องค์ไทจู่เงยหน้ามองอย่างงุนงง
จะมีคนอื่นอยู่ที่นี่ได้อย่างใด?
“เจ้าหูฝาดหรือเปล่า?”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น
ในเวลานี้ มันไม่น่าจะมีใครมาอยู่ที่นี่
บางทีนางอาจจะหูฝาดไปจริงๆ
นางดึงสายตากลับมาและกำลังจะฝึกฝนต่อ แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกอีกครั้ง
“นังหนูเยว่เออร์…”