ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 783 กลับไปอีกครั้ง
ตอนที่ 783 กลับไปอีกครั้ง
ทุกคนต่างตกตะลึง
เจี่ยนชูเย่ถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อว่า
“บัวระบำหรือ? หมายถึงบัวระบำในตำนานที่สามารถชุบชีวิตคนได้น่ะหรือ?”
เจียงอวี่เฉิงพยักหน้า
“ถูกต้อง และเพราะมัน ซั่งกวนหว่านถึงยอมเสี่ยงอันตรายถึงการนั้น”
ซ่งหลวนเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“องค์หญิงสามทรงกตัญญูต่อฝ่าบาทยิ่ง! ในเมื่อนำบัวระบำดอกนั้นมาแล้ว พระพลานามัยของฝ่าบาทจักต้องดีขึ้นแน่นอน!”
คิ้วเรียวของเจียงอวี่เฉิงพลันขมวดมุ่น แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าสำนักซ่งพูดถูกแล้ว แต่น่าเสียดาย เพราะเรายังไม่สามารถนำบัวระบำดอกนั้นกลับมาได้”
ใบหน้าของซ่งหลวนซีดลงในทันใด
จนหลายๆ คนที่อยู่รอบข้างหลุดหัวเราะออกมาอดไม่ได้
ก่อนจะประจบใครก็เล็งให้ดีเสียก่อนมิได้หรือไร เชื่อเขาเลย!
ซ่งหลวนมีสีหน้าอึมครึมทันตา พลางเอ่ยเสียงเรียบ
“…เช่นนี้นี่เอง… พอคิดๆ ดูแล้ว บัวระบำดอกนั้นเองก็เป็นสมบัติล้ำค่าหายาก และการจะนำมันกลับมาได้ด้วยดีนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง… แต่ข้ากลับเผลอคิดไปว่ามันง่ายเสียอย่างนั้น…”
เจียงอวี่เฉิงคร้านเกินกว่าจะโต้เถียงเขาไปมากกว่านี้ จึงทำเพียงผงกศีรษะและตอบไป
“ที่ท่านพูดมาก็ถูก เราไม่สามารถเข้าใกล้บัวระบำดอกนั้นได้ง่ายๆ แม้แต่ผู้อาวุโสชิวซีเอง…ก็สิ้นชีพเพราะหมายมาดเข้าไปเด็ดบัวระบำดอกนั้น”
เมื่อสิ้นประโยคนี้ ทั้งตำหนักหมิงฮวาก็เงียบเสียงลงทันที
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป เพราะคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวมันจะยุ่งยากถึงเพียงนี้
ผู้อาวุโสชิวซีเป็นถึงผู้อาวุโสประจำราชวงศ์ ไม่ต้องบอกว่าก็รู้ว่าเขามีอำนาจบาตรใหญ่แค่ไหน
แต่ถ้าแม้แต่คนอย่างเขายังทำไม่ได้ และเสียชีวิตล่ะก็…
แสดงว่าบัวระบำนั่นต้องอันตรายมากแน่ๆ!
“บัวระบำดอกนั้นเติบโตอยู่ในทะเลสาบกระจกใจกลางแดนภังคะ ย้อนกลับไปตอนนั้น พวกเราก็คิดอยากจะถอนมันขึ้นมา แล้วนำกลับมาให้ฝ่าบาท แต่ก็เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นที่ทะเลสาบกระจก แม้แต่ผู้อาวุโสชิวซีเองก็ยังเอาชีวิตไม่รอด ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของเหล่าทหารม้าและศิษย์จากสำนักต่างๆ พวกเราจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด และพาคนทั้งขบวนกลับมาตั้งหลักเสียก่อน”
คำพูดของเจียงอวี่เฉิงนั้นไม่เพียงแต่อธิบายสาเหตุที่ซั่งกวนหว่านได้รับบาดเจ็บ แต่ยังอธิบายเหตุผลที่ทุกคนกลับมาอย่างกะทันหันด้วย
การที่พวกเขากลับมาอย่างฉุกละหุกในครานี้ สร้างความเอิกเกริกครั้งใหญ่กับทั่วทั้งเมืองซีหลิง
ดังคำที่ว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ไม่รู้เลยว่ามีข่าวลือมายมายแพร่งพรายออกไปมากเท่าใดแล้ว
และเจียงอวี่เฉิงไม่ต้องการถูกคนอื่นตราหน้าเสียๆ หายๆ เพราะข่าวโคมลอยนั่น
“เช่นนี้เองหรือ…”
“มิน่าล่ะ องค์หญิงสามถึงพาคนกลับมาเร็วเพียงนี้ ที่แท้ก็เพื่อความปลอดภัยของทุกๆ คนนี่เอง…”
“แล้วมันเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่ทะเลสาบกระจกกันแน่ ถึงได้ฟังดูเสี่ยงอันตรายเช่นนั้น?”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ทั่วทั้งที่ประชุมก็ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
เห็นได้ชัดว่าข้อกังขาที่พวกเขามีต่อซั่งกวนหว่านเมื่อครู่ก่อนนั้น ได้มลายหายไปเป็นที่เรียบร้อย
…พอเป็นเช่นนี้แล้ว ใครจะไปกล้าตำหนิพวกเขากันล่ะ?
เจียงอวี่เฉิงมองไปรอบๆ และรอจนกว่าทุกคนจะพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน แล้วค่อยพูดว่า
“สรุปแล้ว ที่พวกเรากลับมาในครานี้ นัยหนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสีย ส่วนอีกนัยหนึ่งก็เพื่อตามหาผู้แข็งแกร่งสองสามคน และกลับไปยังแดนภังคะ แล้วนำบัวระบำดอกนั้นกลับมา”
ทั่วทั้งท้องพระโรงพลันตกอยู่ในความเงียบ
“มิทราบว่า พวกท่านคิดเห็นเช่นไร?”
เมื่อเจียงอวี่เฉิงถามออกไปอย่างนั้น พวกเขากลับเงียบไปพักหนึ่ง
ทุกคนต่างมองหน้ากันราวใช้ความคิดไตร่ตรอง
บัวระบำนั้นถือเป็นสมบัติล้ำค่าหายากที่สวรรค์ประทานให้ และมันสามารถดึงดูดผู้คนให้ลุ่มหลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องคำนึกถึงความปลอดภัยด้วย
แม้แต่ผู้อาวุโสชิวซีก็ยังจบชีวิตลงที่นั่น แล้วจะมีสักกี่คนเชียว ที่สามารถรับประกันได้ว่าตัวเองจะกลับมาอย่างปลอดภัย?
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ถึงจะเสี่ยงชีวิตแล้วนำบัวระบำกลับมาได้จริงๆ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องมอบมันให้กับฝ่าบาทอยู่ดี
แล้วพวกเขาจะได้อันใดตอบแทน?
ทุกคนที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต สถานภาพสูงส่งกันทั้งสิ้น อีกทั้งยังเฉลียวฉลาดมากอีกด้วย
พวกเขาเป็นทั้งเจ้าสำนักและตัวแทนผู้นำจากพรรคต่างๆ
และหากเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขา ย่อมส่งผลถึงผู้เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น แม้พวกเขาจะจงรักภักดีต่อฝ่าบาทมากมายเพียงใด แต่ก็ต้องคิดถึงชีวิตและความปลอดภัยของตัวเองไว้ก่อน
บรรยากาศรอบด้านเย็นยะเยือกไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ
เจียงอวี่เฉิงขมวดคิ้วมุ่นไม่เข้าใจ
ก่อนหน้านี้เขาคิดไว้แล้วว่าคนส่วนใหญ่คงไม่ยินยอมพร้อมเสี่ยงไปกับเขา แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะขนาดนี้
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย
“ข้ารู้ว่าการเดินทางครั้งนี้อันตราย และพวกท่านล้วนกังวล แต่บัวระบำนั่นสำคัญต่อฝ่าบาทยิ่งนัก นอกจากรางวัลอื่นๆ ที่พวกท่านต้องได้รับ และนอกจากบัวระบำดอกนั้นแล้ว หากพบวัตถุดิบยาชนิดอื่น แน่นอนว่าพวกท่านสามารถครอบครองมันได้ตามอัธยาศัย”
พลันนัยน์ตาของผู้ฟังหลายๆ คน ก็ทอประกายแวววับขึ้นมาทันที
ถ้าเป็นอย่างที่พูด ก็ค่อยน่าพิจารณาขึ้นมาหน่อย
“สาเหตุที่ผู้อาวุโสชิวซีพลาดท่านั้น เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของเขา และประการที่สองก็คือ เป็นเพราะเขาพุ่งเข้าไปคนเดียวโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ แต่พวกท่านคือขุมพลังแห่งความแข็งแกร่งของราชวงศ์เทียนลิ่ง หากทุกคนรวมพลังกัน แน่นอนว่าการนำบัวระบำกลับมา ย่อมไม่ใช่ปัญหา?”
คำพูดของเจียงอวี่เฉิงทำให้หัวใจของพวกเขาไขว้เขวอีกครา
การที่บัวระบำปรากฏขึ้นในทะเลสาบกระจก ไม่แน่ว่าอาจมีสมบัติล้ำค่าอย่างอื่นซ่อนอยู่อีกก็ได้
ตราบใดที่เตรียมพร้อมเป็นอย่างดี แม้จะเอามันกลับมาไม่ได้ แต่ก็ยังหาทางหนีทีไล่ได้ ฉะนั้นพวกเขาจะไม่เดินตามรอยผู้อาวุโสชิวซีแน่นอน
ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ข้าเต็มใจจะไป”
ครั้นสิ้นเสียง ทุกสายตาล้วนหันขวับไปมองทันที ก่อนจะเห็นว่าเป็นอวี้ฉือซง!
ทุกคนรวมถึงเจียงอวี่เฉิงต่างตกตะลึง
ในบรรดาคนเหล่านี้ ทุกคนสามารถไปได้ ยกเว้นก็แต่อวี้ฉือซง บุคคลที่พวกเขาแทบไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเสนอตัวเช่นนี้
เนื่องจากปัจจุบันชงซูเก๋อเหลือศิษย์อยู่ไม่มาก และเด็กเหล่านั้นยังต้องพึ่งพาเขาในฐานะเจ้าสำนักอยู่
หากเกิดเรื่องขึ้นกับเขา ไม่ใช่ชงซูเก๋อจะถึงคราวอวสานเลยหรือ?
นอกจากนี้ ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ก็เสียชีวิตที่แดนภังคะ ซึ่งการที่เขาคิดจะไปสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องน่าหดหู่เช่นนั้น… เขากำลังคิดอันใดอยู่กันแน่?
แต่ถึงจะเผชิญกับสายตาสงสัยของทุกคน อวี้ฉือซงก็ยังนิ่งสงบไม่แยแส ราวไม่ใส่ใจ
แสดงว่าเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว!
เจี่ยนชูเย่ลูบสันกรามไปมา
“เป็นแค่เซียนหมอ แต่กลับรั้นจะไปเด็ดบัวระบำนั่น เป็นตายขึ้นมาจักทำเช่นไร! ข้าจะไปด้วย!”
…
ในเพลาเดียวกัน ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ห่างไกลจากซีหลิงถึงหมื่นลี้ กลับไม่รู้เลยว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังวางแผนกลับเข้ามาที่แดนภังคะอีกครั้ง
นางติดแหง็กอยู่ที่นี่ และสิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือฝึกตน
องค์ไท่จู่เหลือบมองนาฬิกาทรายข้างตัว
เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว เวลาข้างนอกนั่นน่าจะยังไม่ถึงสิบวัน
แต่ข้างในนี้กลับรู้สึกนานราวผ่านไปแล้วครึ่งปี
ฉู่หลิวเยว่ฝึกตนอยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืน จนร่างกายของนางสงบนิ่งราวนิพพาน
เดิมทีองค์ไท่จู่กลัวว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่คุ้นชินกับการติดอยู่ที่นี่เป็นเวลานานๆ
แต่คิดไม่ถึงว่านางจะแน่วแน่ได้ขนาดนี้
เมื่อพูดว่าจะฝึกตน นางก็ทุ่มเททั้งกายและใจให้กับการฝึกทั้งหมด
หากเป็นคนอื่นคงเบื่อและล้มเลิกไปนานแล้ว
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่ใช่
แม้แต่องค์ไทจู่เองก็ยังประหลาดใจกับความอดทนนี้
จนอดสงสัยไม่ได้ว่า
ถ้าฉู่หลิวเยว่หลุดออกไปได้แล้ว ความแข็งแกร่งของนางจะเพิ่มพูนมากขึ้นเพียงใด?
…
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ฉินอีและคนอื่นๆ รออยู่ในป่าหมอกมายาร่วมครึ่งเดือนเห็นจะได้แล้ว
ตอนแรกพวกเขาต่างพูดคุยและคาดเดาว่าเมื่อไหร่ฉู่หลิวเยว่จะออกมา แต่ตอนนี้พวกเขาเลิกพูดไปแล้ว
สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีแค่ฝึกฝน และรอคอยอย่างเงียบๆ
แต่ทว่า ความสงบเช่นนี้กำลังจะหมดลงในไม่ช้า