ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 814 ถอดหน้ากาก
ตอนที่ 814 ถอดหน้ากาก
เสียงร้องอันแจ่มชัดนี้ดังทะลุชั้นเมฆและหมอกหนาออกมา ถึงขนาดว่าได้ยินแม้แต่เสียงคำรามของมังกรที่แผ่วเบา!
รูปร่างแข็งแรงกำยำ มีขนอีกาเป็นชั้นๆ ปีกทั้งสองข้างสยายออกจนเกือบบดบังไปทั่วท้องฟ้า!
ฉู่หลิวเยว่เห็นแม้กระทั่งขนที่มันเรียบเนียนทุกเส้นอย่างชัดเจน!
นัยน์ตาสองข้างเป็นสีดำขลับ มีเพียงดวงตาที่สามที่เป็นสีม่วงทองงดงาม!
ช่างน่ายำเกรงยิ่งนัก!
นี่มันอินทรีสามตาของจริง!
ลมปราณของมันแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่านัก!
แม้แต่ถวนจื่อเองก็ยังกดหัวลงเบาๆ!
ฉู่หลิวเยว่แอบประหลาดใจ
ในความเป็นจริง แม้ว่าอินทรีสามตาเองก็เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่ระดับของมันไม่ได้สูงที่สุด
หงส์ทองคำและไท่ซวีเฟิ่งหลงต่างก็เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์โบราณทั้งคู่ อีกทั้งยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วย
นอกจากนี้ระดับล่างลงไปจากมันก็ยังมีการแบ่งออกเป็นเผ่าพันธุ์บางส่วน โดยจะแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ตามพลังของสายเลือดที่สืบทอดมาในร่างกาย
ตัวอย่างเช่น กษายะหางวายุอย่างถวนจื่อ นับว่าใกล้เคียงกับเผ่าพันธุ์ของกษายะหางวายุมากที่สุด
ฉะนั้นหากกล่าวกันตามความจริง ระดับของถวนจื่อจะสูงกว่าอินทรีสามตา
อย่างใดก็ตาม เนื่องจากอินทรีสามตาได้หลอมรวมพลังสายเลือดเข้ากับไท่ซวีเฟิ่งหลง อีกทั้งยังสืบทอดโครงกระดูกสองชิ้นต่อ ฉะนั้นเมื่อเปรียบกับถวนจื่อที่เพิ่งจะทะลวงมาได้ไม่นาน จึงนับว่ามีชัยไปกว่าครี่ง!
อินทรีสามตาเองก็ผงะไป เมื่อรู้สึกถึงร่างกายที่มีเนื้อหนัง พลังที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างในของตน และบริเวณหน้าอกและช่องท้องที่ดูเหมือนจะมีแม่น้ำไหลเชี่ยว!
สำเร็จแล้ว!
ทำได้จริงๆ!
หลังจากที่ถูกสะกดไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันมานานนับพันปี แม้แต่ตัวมันเองก็ยังรู้สึกสิ้นหวัง
แต่ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!
และทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนคนเดียวนั่นก็คือ ฉู่หลิวเยว่!
หากไม่ใช่นางที่เป็นคนพามันออกไป หากไม่ใช่นางที่เป็นคนทำพันธะสัญญากับมัน และหากไม่ใช่นางที่ช่วยมันหาใบโพธิ์สีทองม่วง…
มันคงต้องติดอยู่ที่นั่นตลอดกาล และสุดท้ายก็ตายไปอย่างเงียบๆ!
อินทรีสามตาหุบปีกลง ก้มหัวลงเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่ฉู่หลิวเยว่
“ข้า เผ่าอินทรีสามตา หัวหน้าอินทรีรุ่นที่สองร้อยแปดสิบเจ็ด นามว่าจื่อเฉิน ข้าปรารถนาที่จะติดตามเจ้านายของข้า เป็นตายอย่างใดก็ขอไปด้วย!”
เสียงที่ชัดเจนและทรงพลังดังขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
แต่ละถ้อยคำนั้นช่างซื่อสัตย์และจริงใจ
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เบิกต้ากว้าง
“อินทรี…หัวหน้าอินทรี!”
นั่นไม่ใช่ตำแหน่งสูงสุดของเผ่าอินทรีสามตาหรอกหรือ!
ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเขา
“เพราะตัวตนของข้านั้นพิเศษ ก่อนหน้านี้ ข้าจึงต้องปิดบังบางอย่างจากเจ้านาย และก็ยังหวังว่าเจ้านายจะยกโทษให้”
อินทรีสามตากล่าวต่อ
ณ ขณะนี้ เสียงของมันค่อนข้างแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก ฟังแล้วดูเหมือนชายหนุ่มที่อายุราวยี่สิบกว่าๆ
ฉู่หลิวเยว่ล่องลอยไปชั่วขณะ
นี่นาง นางไม่เพียงแต่ทำพันธะสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนี้ยังบังเอิญเป็นหัวหน้าเผ่าอีกด้วยน่ะหรือ
“… จื่อเฉินอย่างนั้นหรือ นี่คือชื่อจริงๆ ของเจ้ากระนั้นหรือ”
อินทรีสามตาพยักหน้าเบาๆ
ในฐานะอสูรศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่น้อยนักที่จะทำพันธะสัญญากับมนุษย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันที่เคยเป็นหัวหน้าอินทรี ก็จะสนใจเรื่องเหล่านี้มากเป็นธรรมดา
ต่อให้มันจะไม่ได้คำนึงถึงตนเอง แต่มันก็ยังต้องคำนึงถึงเผ่าอินทรีสามตาทั้งหมด
ดังนั้นแม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะเคยทำพันธะสัญญากับฉู่หลิวเยว่มา แต่อย่างใดเสียก็ยังมีธรณีประตูด่านสุดท้ายที่ยังไม่ได้ข้ามผ่านไป
จนกระทั่งบัดนี้ฉู่หลิวเยว่ช่วยให้มันสร้างร่างใหม่ขึ้นมา ซึ่งนั่นก็เทียบเท่ากับการให้ชีวิตใหม่แก่มัน
ในกรณีเช่นนี้ มันจึงยอมมอบทั้งร่างกายและจิตใจให้ และในอนาคตหากเมื่อใดกลับไปยังเผ่าของตนก็จะสามารถอธิบายให้พวกเขาฟังได้
และจะไม่เกิดความละอายใจต่อตัวเขาเอง ต่อฉู่หลิวเยว่ และต่อกลุ่มชนเผ่าเขาเอง!
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ ใช้เวลาสักพักกว่าจะกลับมาตอบสนอง
“เจ้าก็มีความคิดของเจ้า ข้าจะไปตำหนิเจ้าได้อย่างใด”
ฉู่หลิวเยว่เผยรอยยิ้ม ทำให้ดวงตาและคิ้วของนางโค้งเป็นรูป
“ข้าดีใจยิ่งนัก!”
หัวหน้าอินทรี!
แม้ว่านางจะไม่รู้อันใดมากมายเกี่ยวกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็รู้ว่ามันยากและโชคดีเพียงใดที่ผู้นำของชนเผ่าดังกล่าวตกลงทำพันธะสัญญากับนาง!
ช่างโชคดีอันใดอย่างนี้!
“จื่อเฉิน คราหลังข้าจะขอเรียกเจ้าเช่นนี้ได้หรือไม่?”
“ตามแต่เจ้านายข้า”
อินทรีสามตากล่าวด้วยความเคารพ
รอยยิ้มที่ปรากฏบนริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ยิ่งลึกล้ำขึ้น ดวงตาสดใสราวกับดวงดาวที่เปล่งแสง
นางทราบดีว่าอินทรีสามตาและตัวนางไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันถึงเพียงนั้น
เดิมทีตอนแรกทั้งสองต่างก็เป็นปรปักษ์กัน จากนั้นก็ขัดขวางซึ่งกัน จนสุดท้ายก็มาร่วมมือกัน…
ในระหว่างทางนั้นก็ผ่านอันใดมามากมาย
อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสะกดมานานนับพันปีเช่นนี้ เป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้มันยอมจำนนแต่โดยดี
แม้ว่าในภายหลังทั้งสองฝ่ายจะทำพันธะสัญญา ความเป็นความตายถูกผูกโยงเข้าด้วยกัน แต่ฉู่หลิวเยว่ก็รู้ว่ายังมีบางอย่างระหว่างพวกเขาเสมอ
จนวันนี้ ม่านที่มองไม่เห็นนั้นก็พังทะลายลงในที่สุด!
นับแต่นี้อินทรีสามตาถือได้ว่าเป็นผู้ภักดีและเต็มใจที่จะติดตามนางไปทุกที่!
สำหรับฉู่หลิวเยว่แล้ว ในหัวใจนางมีเพียงแต่ความอิ่มเอิบใจ
นางรู้ว่าการที่อินทรีสามตาเต็มใจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงนั้น นับเป็นความจริงใจอันยิ่งใหญ่มหาศาล!
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่มีความคับข้องใจใดกับสิ่งเหล่านี้จริงๆ ร่องรอยสุดท้ายของความกังวลในใจของจื่อเฉินก็หายไปโดยสิ้นเชิง
ร่างของมันประกายแสงวับ ก่อนจะกลับมาในร่างฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ คิดถึงเรื่องที่ตนทำพันธะสัญญากับหัวหน้าเผ่าอินทรีสามตาไปอย่างงงๆ ใจก็รู้สึกอ่อนไหวขึ้นมา
เดิมทีนางยังอยากจะถามจื่อเฉินอีกว่า ในตอนนั้นมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดเขาจึงถูกสะกดไว้ในเจดีย์เก้าชั้น
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้อ้าปากเอ่ยวาจา ก็รู้สึกว่ารอบข้างมีสายตาสองสามคู่มองมาที่นางด้วยแววตาเป็นประกาย
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นระรัว และก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีใครอีกหลายคนที่อยู่ข้างนาง
นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ
ทางด้านซ้ายเป็นชายชุดดำ
ส่วนทางด้านขวาคือสามคนที่เรียกนางว่า นังหนูเยว่เออร์
ขณะนี้ คนเหล่านี้ต่างก็กำลังมองมาที่นาง
“ชุดเกราะของเจ้าซ่อมเสร็จแล้ว”
หรงซิวที่กำลังยืนพิงกำแพงหิน พลางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
ฉู่หลิวเยว่ดีใจ ก่อนจะรีบเดินไปหาในทันที
“นังหนูเยว่เออร์”
ตู๋กูโม่เป่าที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ก็เริ่มเอ่ยวาจาเช่นกัน
“เจ้ายังไม่ตอบคำถามเมื่อสักครู่ของข้าเลย”
ฉู่หลิวเยว่หยุดฝีเท้าลง
นางมองไปยังชายในชุดดำ และหันมามองทั้งสามคน ก่อนที่อยู่ๆ ก็รู้สึกกระดากอายขึ้นมาชั่วขณะ
ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ๆ นางก็รู้สึกราวกับว่ามีแรงอาฆาตกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ…
ข้าควรจะไปเอาเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงของข้ากลับคืนมาก่อน หรือข้าควรจะไปถามคนพวกนั้นว่าสรุปแล้วพวกเขามีความสัมพันธ์แบบใดกับข้ากัน
ฉู่หลิวเยว่ในใจเกิดรู้สึกสับสันขึ้นมาเล็กน้อย
นางมีลางสังหรณ์บางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่ในใจ
คนเหล่านี้ดูเหมือนจะมีความสำคัญต่อนางเป็นอย่างมาก…
แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าความคิดนี้มาจากที่ใด แต่หลังจากที่มันปรากฏขึ้น นางก็ไม่สามารถเอามันออกไปได้อีก
ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังยกเท้าขึ้นก้าวต่อ โดยตั้งใจจะเอาเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงของตนออกมาก่อน
เถ้าแก่ใหญ่อาจเรียกได้ว่าเคย “พบเจอ” กันบ้างอยู่สองครา เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วดูเหมือนว่าจะน่าเชื่อถือกว่า
ริมฝีปากของหรงซิวโค้งขึ้นเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองสองสามคนที่อยู่ตรงหน้าตน
ใบหน้าของตู๋กูโม่เป่าหมองหม่นลง
หลานเซียวอดไม่ได้ที่จะลูบใบหน้าของตน
แปลกเสียจริง ครานี้หรงซิวสวมหน้ากากไว้ และเขาก็ไม่เปิดเผยใบหน้า เหตุใดถึงยังชนะหรือ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขามีใบหน้าที่น่าเกลียด
หรือตอนนี้นังหนูนั่นไม่ตัดสินอันใดจากรูปลักษณ์แล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ อยู่ๆ ในใจของหลานเซียวก็มีลางสังหรณ์บางอย่าง หรือตอนนี้นังหนูนั่นได้เปลี่ยนร่างแล้ว และความทรงจำของนางก็กระจัดกระจาย บางทีนางอาจจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ!
ขณะนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็เดินไปถึงเบื้องหน้าหรงซิวแล้ว
เขาส่งเกราะศักดิ์สิทธิ์ทองแดงมาให้นาง
ฉู่หลิวเยว่รับมันอย่างระมัดระวัง ก่อนมองไปรอบๆ อย่างสนใจ และพบว่าส่วนที่หักด้านบนนั้นได้รับการซ่อมแซมแล้วจริงๆ !
นางเงยหน้าขึ้นมองชายในชุดดำตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ
“ขอบใจท่านมาก เถ้าแก่ใหญ่!”
ทันทีที่เอ่ยจบก็ได้ยินเสียงจากข้างหลังดังลอยมา
“ในโลกใบนี้ มีคนน้อยมากที่จะสามารถซ่อมแซมอาวุธโบราณระดับนี้ได้สมบูรณ์แบบ ไหนๆ ตอนนี้เราก็ได้พบกันแล้ว เหตุใดท่านไม่ถอดหน้ากากออกและเผยใบหน้าที่แท้จริงของท่านสักหน่อยเล่า?”