ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ……………….. หลังจากปล่อยพลังขั้นสุดท้ายออกมา มั่วอวิ๋นไร้ความปราณีใดๆ เขากลืนกินพลังรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง เพื่อเพิ่มพลังให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น! สำนักกระบี่ทมิฬดูไม่น่าเชื่อถืออีกแล้ว เขาทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น! แม้ก่อนหน้าทางสำนักคอยกำชับอยู่หลายครั้งว่า ให้ดำเนินการอย่างระมัดระวัง เมื่อเวลาไม่จำเป็นอย่าเปิดเผยตัวตน แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว! เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปคงมีเพียงหนทางตายเท่านั้นที่รอเขาอยู่! วันนี้แม้ว่าเขาต้องตายก็จะเอาคนเหล่านี้ไปด้วย! … แต่ก่อนที่มั่วอวิ๋นจะพุ่งไปหาฉู่หลิวเยว่ก็ถูกใครบางคนหยุดเอาไว้ ร่างเรียวบางและสูงสง่าได้พุ่งมาแทบจะชั่วพริบตาเดียวที่เขาเข้ามาขวางมั่วอวิ๋นเอาไว้ได้ นั่นคือหรงซิว! เมื่อเห็นใบหน้าสูงส่งอันชั่วร้ายนั่นมั่วอวิ๋นก็รู้สึกเคียดแค้นอยู่ในใจ เมื่อเวลานี้มาถึงสีหน้าของบุรุษผู้นี้ยังคงสงบนิ่งได้เช่นนี้! ดูเหมือนในใต้หล้านี้คงไม่มีเรื่องอันใดที่ทำให้เขาประหม่าหรือหวาดกลัวได้เลย! ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้อารมณ์ภายในของมั่วอวิ๋นก็ยิ่งระเบิดความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ! มีสิทธิ์อันใด! เหตุใดการต่อสู้ในครั้งนี้สำนักกระบี่ทมิฬของพวกเราถึงมีแต่คนตายและคนบาดเจ็บ แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้แทบจะไม่ได้รับผลกระทบอันใดเลย “หรงซิว! เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!” มั่วอวิ๋นตะโกนขึ้นด้วยเสียงรุนแรง เรื่องที่เกิดขึ้นเช่นนี้มั่วอวิ๋นก็มองออกว่าท่าเรือดอกท้อต้องถูกทำลายให้สิ้น ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาได้ใช้กำลังคนและกำลังทรัพยากรทั้งหมดไปมากมายนับไม่ถ้วน สุดท้ายกลายเป็นไม่เหลืออันใดเลยทั้งสิ้น! แม้แต่ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนที่อยู่ที่นี่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต! แน่นอนว่ามั่วอวิ๋นไม่ได้สนใจความเป็นความตายของคนพวกนั้นเขาสนใจแต่ตนเอง! ขณะนี้เขาได้ใช้วิชาลับไปแล้ว เพื่อฟื้นความแข็งแกร่งและเสริมพลังของตนเอง แต่เมื่อเผชิญกับมิติที่พังทลายรอบ ๆ นั่น เขายังรู้อ่อนกำลังเล็กน้อย แต่เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของฉู่หลิวเยว่! ถ้าหากนางไม่เรียกเปลวไฟมากมายเช่นนี้ออกมา ถ้าหากนางไม่บังคับควบคุมทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้น ถ้าหากไม่ใช่นาง… มั่วอวิ๋นในเวลานี้กลับลืมไปว่าคนแรกที่ลงมือ แท้จริงแล้วคือตระกูลหนานและสำนักกระบี่ทมิฬของพวกเขา ถ้าหากพวกเขาไม่ยืนกรานที่จะตามฆ่าพวกฉู่หลิวเยว่ และยอมแลกอะไรไปมากมายเพื่อมัน เรื่องราวต่างๆ คงไม่ดำเนินมาถึงตอนนี้ เพียงแต่เขาเป็นคนเช่นนี้ จะไม่มีวันทรยศตนเอง ดังนั้นในตอนนี้เขายังคงเอาความแค้นทั้งหมดไปกล่าวโทษที่ตัวฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ! หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น “โอ้ว ดูแล้วบทเรียนจากถ้ำปีศาจทมิฬเมื่อก่อนนี้คงยังเรียนรู้ไม่พออย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลและแผ่วเบา และปรากฏรอยยิ้มเบาๆ ที่มุมปากของเขา คนที่เหลือต่างมองดูความบริสุทธิ์และอ่อนโยนของผู้สูงส่งและสง่างามผู้นั้น เมื่อมั่วอวิ๋นมองดวงตาที่ลึกลับเหมือนบึงน้ำลึกคู่นั้น จู่ๆ เขากลับสะดุ้งขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงข่าวลือเมื่อหลายปีก่อน หากพูดว่าเป็นข่าวลือก็ไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เพียงแต่เขาไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง ล้วนแต่ได้ยินมาจากคนข้างๆ ตัวเท่านั้น ข่าวลือเมื่อหลายปีก่อนหรงซิวเคยไปที่ถ้ำปีศาจทมิฬเพียงลำพัง เพื่อจัดการที่หลบซ่อนของพวกเขา! ศึกครั้งนั้นถ้ำปีศาจทมิฬเพ่ายแพ้อย่างหนัก แม้หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่นาน พวกเขาจึงเลือกเร้นกายจากโลกภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ในเวลานั้นที่หรงซิวได้ฆ่าคนของถ้ำปีศาจทมิฬไปไม่น้อย ในนั้นมีทั้งผู้มีอำนาจระดับสูงมากมาย! โชคดีที่มั่วอวิ๋นออกไปข้างนอกในเวลานั้น จึงเลี่ยงการต่อสู้ที่รุนแรงนี้ได้พอดี ดังนั้นสถานการณ์และรายละเอียดมากมายในศึกนั้น ล้วนเป็นเขาที่ได้ยินมาจากคนในสำนักเดียวกัน เรื่องนี้เมื่ออยู่ในถ้ำปีศาจทมิฬแทบจะเป็นเรื่องต้องห้าม หลายคนต่างพูดถึงเหตุกาณ์ที่บุรุษผู้นั้นเข้าไปฆ่าคนในถ้ำปีศาจทมิฬเพียงลำพังยังรู้สึกหวาดกลัวมาโดยตลอด มั่วอวิ๋นยังไม่เคยเห็นหรงซิวมาก่อนจึงไม่รู้ตัวตนของเขา แต่หลังจากที่คนตระกูลหนามาเยี่ยมเขาและได้เค้นถาม เขาถึงได้รู้สถานะของหรงซิวและฉู่หลิวเยว่ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยตนเองมาก่อน ดังนั้นเขาจึงสงสัยในคำพูดเหล่านี้มาโดยตลอด แม้หลังจากที่ได้รู้สถานะของหรงซิว ความคิดแรกของเขาคือการสังหาร! จนกระทั่งในตอนนี้… เมื่อเขากับหรงซิวมาเผชิญหน้ากันและเห็นสายตาที่เมินเฉยเย็นชาของบุรุษผู้นั้น จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เคยได้ยินมา หรงซิวเขา… มีพลังที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง! เขารู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อย เขาไม่ได้โง่ ในทางกลับกันในสถานการณ์ส่วนใหญ่เขาล้วนฉลาดหลักแหลมอย่างมาก มิเช่นนั้นด้านบนคงไม่อาจส่งเขามาถึงที่นี่ เมื่อสำนักกระบี่ทมิฬก่อตั้งขึ้นจึงรับผิดชอบจัดการหลายอย่างที่นี่ เขารู้สึกมาโดยตลอดถึงสัญญาณอันตรายแก่ชีวิต! และอันตรายนี้มาจาก…หรงซิว! ฟู่! หรงซิวยกข้อมือขึ้นเล็กน้อย กลุ่มเปลวไฟสีทองก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา! ลุกโชนสว่างวาบ! ในเวลาเดียวกันแต่เดิมที่พลังรอบๆ เหิมเกริมรุนแรงเหล่านั้น ก็เริ่มเชื่อฟังและเปลวไฟนั่นก็พุ่งตรงไปทางเขา! รวมทั้งพลังเหล่านั้นที่พุ่งตรงไปทางมั่วอวิ๋น ก็ถูกสกัดออกไปตั้งแต่ครึ่งทาง! มั่วอวิ๋นหน้าซีดลง ในใจกลับยิ่งกระสับกระส่ายขึ้นเล็กน้อย การเคลื่อนไหวปกติธรรมดานี้จึงมองออกได้ว่าพลังของหรงซิว ไม่เพียงแต่เทียบกับเขาไม่ได้แล้ว พลังยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก! …จึงมิอาจเผชิญหน้าต่อกรกับหรงซิวได้! เมื่อมั่วอวิ๋นตัดสินใจอย่างรวดเร็วแต่ก้าวพลาด จึงคิดวางแผนอ้อมหรงซิวและลงมือกับชูหลิวเยว่ก่อน! แต่หรงซิวจะให้โอกาสเขาได้อย่างใด พรึบ! นิ้วเรียวยาวเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา เปลวไฟสีทองที่ส่องสว่างงดงามได้กลายเป็นแส้ยาวและมุ่งไปหามั่วอวิ๋น! มั่วอวิ๋นยังไม่ทันได้หลบหนีก็รู้สึกเห็นแสงสีทองวาบขึ้นมา ต่อจากนั้นก็ถูกเผาด้วยความเจ็บปวดจากข้อเท้าขึ้นมา! เขาตกใจจนหันไปมอง จึงเห็นขาเล็กๆ ของตนเองได้ถูกเปลวไฟนั่นควบคุมเอาไว้อย่างแน่นหนา! เปลวไฟลุกโชนเผาไหม้อย่างรุนแรง ในชั่วพริบตาชายชุดของเขาก็กลายเป็นขึ้เถ้าปลิวลอยไป ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว! สีหน้าของมั่วอวิ๋นขาวซีด! เขาคือผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ เปลวไฟธรรมดามิอาจเข้าใกล้เขาได้ แต่ว่าไฟนี้ของหรงซิวช่างรุนแรงยิ่งนัก! แม้มันจะรัดข้อเท้าเขาเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาตกใจเท่าใดนัก สิ่งที่ทำให้มั่วอวิ๋นหวาดกลัวที่สุด คือหลังจากที่เปลวไฟนี้บีบรัดเขา จนพลังปราณเดิมในร่างของเขาเหมือนถูกพลังอันใดบางอย่างกดทับเอาไว้! และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก! เมื่อไม่สามารถใช้พลังได้ ไม่ว่าผู้ฝึกตนจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถแสดงพลังของตนเองออกมาได้เช่นกัน มั่วอวิ๋นทั้งตกใจและโกรธ หรงซิวก็เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันกับเขาไม่ใช่หรือ แต่พลังของสองคน เหตุใดถึงแตกต่างกันมากเช่นนี้ หากเทียบกันแล้วนั้นหรงซิวแทบสามารถบดขยี้เขาได้อย่างง่ายดาย! ในขณะที่มั่วอวิ๋นกำลังครุ่นคิดกับปัญหานี้ หรงซิวจึงเหวี่ยงเข้าออกไป! ตุบ! ร่างกายของมั่วอวิ๋นพุ่งออกไปอย่างควบคุมไม่ได้! และหล่นกระแทกบนยอดเขาสูงอย่างแรง! ปัง! ตูม! เมื่อเสียงทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน ยอดเขานั่นก็พังทลายลงในทันทีหลังจากได้รับแรงกระแทกอันทรงพลังเช่นนี้! ก้อนหินนับไม่ถ้วนกลิ้งตกลงมา! ร่างของมั่วอวิ๋นจมลงไปอย่างรวดเร็ว! หรงซิวสีหน้าเรียบเฉยพลางเอ่ยขึ้น “อย่าเสียเวลาเลย เยว่เออร์ของข้า ผู้ฝ่าฝืน…ต้องมีจุดจบเช่นนี้!”
- Home
- ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
- ……………….. หลังจากปล่อยพลังขั้นสุดท้ายออกมา มั่วอวิ๋นไร้ความปราณีใดๆ เขากลืนกินพลังรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง เพื่อเพิ่มพลังให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น! สำนักกระบี่ทมิฬดูไม่น่าเชื่อถืออีกแล้ว เขาทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น! แม้ก่อนหน้าทางสำนักคอยกำชับอยู่หลายครั้งว่า ให้ดำเนินการอย่างระมัดระวัง เมื่อเวลาไม่จำเป็นอย่าเปิดเผยตัวตน แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว! เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปคงมีเพียงหนทางตายเท่านั้นที่รอเขาอยู่! วันนี้แม้ว่าเขาต้องตายก็จะเอาคนเหล่านี้ไปด้วย! … แต่ก่อนที่มั่วอวิ๋นจะพุ่งไปหาฉู่หลิวเยว่ก็ถูกใครบางคนหยุดเอาไว้ ร่างเรียวบางและสูงสง่าได้พุ่งมาแทบจะชั่วพริบตาเดียวที่เขาเข้ามาขวางมั่วอวิ๋นเอาไว้ได้ นั่นคือหรงซิว! เมื่อเห็นใบหน้าสูงส่งอันชั่วร้ายนั่นมั่วอวิ๋นก็รู้สึกเคียดแค้นอยู่ในใจ เมื่อเวลานี้มาถึงสีหน้าของบุรุษผู้นี้ยังคงสงบนิ่งได้เช่นนี้! ดูเหมือนในใต้หล้านี้คงไม่มีเรื่องอันใดที่ทำให้เขาประหม่าหรือหวาดกลัวได้เลย! ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้อารมณ์ภายในของมั่วอวิ๋นก็ยิ่งระเบิดความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ! มีสิทธิ์อันใด! เหตุใดการต่อสู้ในครั้งนี้สำนักกระบี่ทมิฬของพวกเราถึงมีแต่คนตายและคนบาดเจ็บ แต่คนที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้แทบจะไม่ได้รับผลกระทบอันใดเลย “หรงซิว! เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!” มั่วอวิ๋นตะโกนขึ้นด้วยเสียงรุนแรง เรื่องที่เกิดขึ้นเช่นนี้มั่วอวิ๋นก็มองออกว่าท่าเรือดอกท้อต้องถูกทำลายให้สิ้น ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาได้ใช้กำลังคนและกำลังทรัพยากรทั้งหมดไปมากมายนับไม่ถ้วน สุดท้ายกลายเป็นไม่เหลืออันใดเลยทั้งสิ้น! แม้แต่ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนที่อยู่ที่นี่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต! แน่นอนว่ามั่วอวิ๋นไม่ได้สนใจความเป็นความตายของคนพวกนั้นเขาสนใจแต่ตนเอง! ขณะนี้เขาได้ใช้วิชาลับไปแล้ว เพื่อฟื้นความแข็งแกร่งและเสริมพลังของตนเอง แต่เมื่อเผชิญกับมิติที่พังทลายรอบ ๆ นั่น เขายังรู้อ่อนกำลังเล็กน้อย แต่เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของฉู่หลิวเยว่! ถ้าหากนางไม่เรียกเปลวไฟมากมายเช่นนี้ออกมา ถ้าหากนางไม่บังคับควบคุมทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้น ถ้าหากไม่ใช่นาง… มั่วอวิ๋นในเวลานี้กลับลืมไปว่าคนแรกที่ลงมือ แท้จริงแล้วคือตระกูลหนานและสำนักกระบี่ทมิฬของพวกเขา ถ้าหากพวกเขาไม่ยืนกรานที่จะตามฆ่าพวกฉู่หลิวเยว่ และยอมแลกอะไรไปมากมายเพื่อมัน เรื่องราวต่างๆ คงไม่ดำเนินมาถึงตอนนี้ เพียงแต่เขาเป็นคนเช่นนี้ จะไม่มีวันทรยศตนเอง ดังนั้นในตอนนี้เขายังคงเอาความแค้นทั้งหมดไปกล่าวโทษที่ตัวฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ! หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น “โอ้ว ดูแล้วบทเรียนจากถ้ำปีศาจทมิฬเมื่อก่อนนี้คงยังเรียนรู้ไม่พออย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลและแผ่วเบา และปรากฏรอยยิ้มเบาๆ ที่มุมปากของเขา คนที่เหลือต่างมองดูความบริสุทธิ์และอ่อนโยนของผู้สูงส่งและสง่างามผู้นั้น เมื่อมั่วอวิ๋นมองดวงตาที่ลึกลับเหมือนบึงน้ำลึกคู่นั้น จู่ๆ เขากลับสะดุ้งขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงข่าวลือเมื่อหลายปีก่อน หากพูดว่าเป็นข่าวลือก็ไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เพียงแต่เขาไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง ล้วนแต่ได้ยินมาจากคนข้างๆ ตัวเท่านั้น ข่าวลือเมื่อหลายปีก่อนหรงซิวเคยไปที่ถ้ำปีศาจทมิฬเพียงลำพัง เพื่อจัดการที่หลบซ่อนของพวกเขา! ศึกครั้งนั้นถ้ำปีศาจทมิฬเพ่ายแพ้อย่างหนัก แม้หลังจากเหตุการณ์นี้ไม่นาน พวกเขาจึงเลือกเร้นกายจากโลกภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ในเวลานั้นที่หรงซิวได้ฆ่าคนของถ้ำปีศาจทมิฬไปไม่น้อย ในนั้นมีทั้งผู้มีอำนาจระดับสูงมากมาย! โชคดีที่มั่วอวิ๋นออกไปข้างนอกในเวลานั้น จึงเลี่ยงการต่อสู้ที่รุนแรงนี้ได้พอดี ดังนั้นสถานการณ์และรายละเอียดมากมายในศึกนั้น ล้วนเป็นเขาที่ได้ยินมาจากคนในสำนักเดียวกัน เรื่องนี้เมื่ออยู่ในถ้ำปีศาจทมิฬแทบจะเป็นเรื่องต้องห้าม หลายคนต่างพูดถึงเหตุกาณ์ที่บุรุษผู้นั้นเข้าไปฆ่าคนในถ้ำปีศาจทมิฬเพียงลำพังยังรู้สึกหวาดกลัวมาโดยตลอด มั่วอวิ๋นยังไม่เคยเห็นหรงซิวมาก่อนจึงไม่รู้ตัวตนของเขา แต่หลังจากที่คนตระกูลหนามาเยี่ยมเขาและได้เค้นถาม เขาถึงได้รู้สถานะของหรงซิวและฉู่หลิวเยว่ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ด้วยตนเองมาก่อน ดังนั้นเขาจึงสงสัยในคำพูดเหล่านี้มาโดยตลอด แม้หลังจากที่ได้รู้สถานะของหรงซิว ความคิดแรกของเขาคือการสังหาร! จนกระทั่งในตอนนี้… เมื่อเขากับหรงซิวมาเผชิญหน้ากันและเห็นสายตาที่เมินเฉยเย็นชาของบุรุษผู้นั้น จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เคยได้ยินมา หรงซิวเขา… มีพลังที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริง! เขารู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อย เขาไม่ได้โง่ ในทางกลับกันในสถานการณ์ส่วนใหญ่เขาล้วนฉลาดหลักแหลมอย่างมาก มิเช่นนั้นด้านบนคงไม่อาจส่งเขามาถึงที่นี่ เมื่อสำนักกระบี่ทมิฬก่อตั้งขึ้นจึงรับผิดชอบจัดการหลายอย่างที่นี่ เขารู้สึกมาโดยตลอดถึงสัญญาณอันตรายแก่ชีวิต! และอันตรายนี้มาจาก…หรงซิว! ฟู่! หรงซิวยกข้อมือขึ้นเล็กน้อย กลุ่มเปลวไฟสีทองก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา! ลุกโชนสว่างวาบ! ในเวลาเดียวกันแต่เดิมที่พลังรอบๆ เหิมเกริมรุนแรงเหล่านั้น ก็เริ่มเชื่อฟังและเปลวไฟนั่นก็พุ่งตรงไปทางเขา! รวมทั้งพลังเหล่านั้นที่พุ่งตรงไปทางมั่วอวิ๋น ก็ถูกสกัดออกไปตั้งแต่ครึ่งทาง! มั่วอวิ๋นหน้าซีดลง ในใจกลับยิ่งกระสับกระส่ายขึ้นเล็กน้อย การเคลื่อนไหวปกติธรรมดานี้จึงมองออกได้ว่าพลังของหรงซิว ไม่เพียงแต่เทียบกับเขาไม่ได้แล้ว พลังยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก! …จึงมิอาจเผชิญหน้าต่อกรกับหรงซิวได้! เมื่อมั่วอวิ๋นตัดสินใจอย่างรวดเร็วแต่ก้าวพลาด จึงคิดวางแผนอ้อมหรงซิวและลงมือกับชูหลิวเยว่ก่อน! แต่หรงซิวจะให้โอกาสเขาได้อย่างใด พรึบ! นิ้วเรียวยาวเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา เปลวไฟสีทองที่ส่องสว่างงดงามได้กลายเป็นแส้ยาวและมุ่งไปหามั่วอวิ๋น! มั่วอวิ๋นยังไม่ทันได้หลบหนีก็รู้สึกเห็นแสงสีทองวาบขึ้นมา ต่อจากนั้นก็ถูกเผาด้วยความเจ็บปวดจากข้อเท้าขึ้นมา! เขาตกใจจนหันไปมอง จึงเห็นขาเล็กๆ ของตนเองได้ถูกเปลวไฟนั่นควบคุมเอาไว้อย่างแน่นหนา! เปลวไฟลุกโชนเผาไหม้อย่างรุนแรง ในชั่วพริบตาชายชุดของเขาก็กลายเป็นขึ้เถ้าปลิวลอยไป ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว! สีหน้าของมั่วอวิ๋นขาวซีด! เขาคือผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ เปลวไฟธรรมดามิอาจเข้าใกล้เขาได้ แต่ว่าไฟนี้ของหรงซิวช่างรุนแรงยิ่งนัก! แม้มันจะรัดข้อเท้าเขาเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาตกใจเท่าใดนัก สิ่งที่ทำให้มั่วอวิ๋นหวาดกลัวที่สุด คือหลังจากที่เปลวไฟนี้บีบรัดเขา จนพลังปราณเดิมในร่างของเขาเหมือนถูกพลังอันใดบางอย่างกดทับเอาไว้! และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก! เมื่อไม่สามารถใช้พลังได้ ไม่ว่าผู้ฝึกตนจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถแสดงพลังของตนเองออกมาได้เช่นกัน มั่วอวิ๋นทั้งตกใจและโกรธ หรงซิวก็เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันกับเขาไม่ใช่หรือ แต่พลังของสองคน เหตุใดถึงแตกต่างกันมากเช่นนี้ หากเทียบกันแล้วนั้นหรงซิวแทบสามารถบดขยี้เขาได้อย่างง่ายดาย! ในขณะที่มั่วอวิ๋นกำลังครุ่นคิดกับปัญหานี้ หรงซิวจึงเหวี่ยงเข้าออกไป! ตุบ! ร่างกายของมั่วอวิ๋นพุ่งออกไปอย่างควบคุมไม่ได้! และหล่นกระแทกบนยอดเขาสูงอย่างแรง! ปัง! ตูม! เมื่อเสียงทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน ยอดเขานั่นก็พังทลายลงในทันทีหลังจากได้รับแรงกระแทกอันทรงพลังเช่นนี้! ก้อนหินนับไม่ถ้วนกลิ้งตกลงมา! ร่างของมั่วอวิ๋นจมลงไปอย่างรวดเร็ว! หรงซิวสีหน้าเรียบเฉยพลางเอ่ยขึ้น “อย่าเสียเวลาเลย เยว่เออร์ของข้า ผู้ฝ่าฝืน…ต้องมีจุดจบเช่นนี้!”
ตอนที่ 1909 ทัณฑ์ทลายเทพ
………………..
เสียงเย็นชาและทุ้มต่ำดังทั่วระหว่างสวรรค์และโลกแห่งนี้ เสียงที่คมชัดกระทบเข้าในหูของทุกคน!
เดิมทีคนของสำนักกระบี่ทมิฬได้ตายทั้งหมด แต่บางคนของตระกูลหนานหลังจากได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกฟังไม่เข้าหูยิ่งนัก!
คำพูดเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าพูดให้พวกเขาฟัง!
หรงซิวไม่ลงมือแต่อย่างใด หากลงมือเขาคงใช้วิธีสังหารโดยตรงเท่านั้น!
เขากำลังเชือดไก่ให้ลิงดู[1]!
ลั่วเหยี่นนเต็มไปด้วยความโกรธ และมองภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยที่กำลังลุกไหม้อยู่ตรงหน้า
ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อจึงไม่เสียหายอย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาถึงไม่ได้กังวลเปลวไฟของฉู่หลิวเย่วที่ตั้งใจทำลายมัน
ทว่าเขาเป็นคนชัดเจนอย่างมาก เมื่อถูกฉู่หลิวเยว่ก่อกวนเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางใช้ภาพเมฆาเคลื่อนคล้อยหลบหนีออกไปได้อีก!
ความว่างเปล่าทุกทิศทุกทางล้วนถูกบีบเข้าตรงกลางอย่างบ้าคลั่ง
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานท่าเรือดอกท้อทั้งหมดนี้คงพังทลายลงทั้งหมด!
“พวกเราแค่กลัวว่าจะออกไม่ได้แล้ว…”
สีหน้าของผู้อาวุโสหลายท่านล้วนไม่น่ามองยิ่งนัก
ก่อนพวกเขาจะมา ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้!
หนาอวี่สิงตายแล้วมิอาจพูดอันใดได้ แม้แต่พวกเขาทั้งหมดเกรงว่าจะต้องถูกฝังที่นี่เช่นเดียวกัน!
“ต่อให้มั่วอวิ๋นไม่ใช่คู่ต่อสู้กับหรงซิว แต่พวกเขานั่น…”
คำพูดนี้หมายความว่าพลังของพวกเขาสู้มั่วอวิ๋นไม่ได้
เพียงแค่มั่วอวิ๋นลงมือเมื่อครู่นี้ พลังที่ปรากฏออกมาแข็งแกร่งอย่างมาก
อีกทั้งในเวลานี้เขาตัดสินใจอย่างมุ่งมั่น แทบจะทุบหม้อข้าวตนเองก็ไม่ปราณ!
หากเป็นเช่นนี้เขาก็เป็นได้แค่ลูกน้องของหรงซิวต่อไป!
สถานการณ์ของพวกเขาที่เหลือเหล่านี้สามารถดีกว่านี้ได้อย่างนั้นหรือ
“ข้าเห็นพลังของหรงซิว จึงเห็นได้ชัดอยู่ก่อนแล้วว่าพลังของเขาเหนือกว่าเทพศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาทั่วไปเสียอีก!
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกัดฟันพูดขึ้นว่า
“…แต่ลมปราณของเขาคือเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน…”
ผู้อาวุโสอีกท่านรีบพูดขึ้นในทันที
“บางที…เขาอาจยืมพลังอันใดบางอย่างมาใช้จากข้างนอก”
ผู้อาวุโสหลายท่านมีความเห็นต่างกัน
แต่พวกเขารู้ว่า ในเวลานี้หากรู้เรื่องนี้แล้วล้วนไม่มีประโยชน์อันใด
จู่ๆ ลั่วเหยี่ยนแหงนหน้ามอบนท้องฟ้าอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อมันพังทลายลงทีละน้อยๆ จนหลุมดำได้แผ่กระจายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เหมือนสัตว์อสูรที่อ้างปากกว้างเต็มไปด้วยเลือด เพื่อจะกลืนกินทุกสิ่ง!
เมฆดำที่ผันผวนนับไม่ถ้วนได้ถูกลืนกินไปในเวลานี้
ทัณฑ์สวรรค์จำนวนที่เหลือทั้งหมด ยังคงกวัดแกว่งไปมาทุกทิศทาง
นั่นคือทัณฑ์สวรรค์ที่ถูกพิธีสังเวยเลือดเรียกมาก่อนหน้านี้
เมื่อยังไม่ร่วงลงมาทั้งหมด แต่การสังเวยเลือดได้พังทลายลงแล้วเหลือเพียงทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้เท่านั้นที่ยังฟาดฟันไปทั่วทุกทิศทาง
ในเวลานี้ดูเหมือนได้รับผลกระทบจากแรงกดดันแห่งความว่างเปล่า ทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้จึงเริ่มมาบรรจบกันตรงกลาง
สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อพวกมันเหมือนกำลังหลอมหลวมเข้าด้วยกัน
ประเด็นสำคัญที่สุดคือตำแหน่งที่พวกมันรวมตัว…กำลังอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะของฉู่หลิวเยว่!
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ลั่วเหยี่ยวพูดกระซิบกระซาบขึ้นมาในทันที
“…ผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างใด เขาสามารถขัดต่อสวรรค์ได้อย่างนั้นหรือ”
สวรรค์หรือ
คำพูดนี้เจ้าหมายความว่าอันใด
หลายคนสบตากันและมองตามสายตาของลั่วเหยี่ยนโดยไม่รู้ตัว
เสียงลมกระโชกรุนแรง โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
ทุกสิ่งดูไม่มีอันใดต่างกันเลย
แต่…ทัณฑ์สวรรค์บนฟ้าที่กำลังรวมตัวอยู่นั้น
แสงเจิดจ้างดงามได้พุ่งออกมาจากตรงกลางในทันที!
ผู้อาวุโสหลายท่านอ้างปากค้างด้วยความตกใจ
นั่นคือ…
“ทัณฑ์ทลายเทพอย่างนั้นหรือ”
…
ตามที่เรียกกันว่า ทัณฑ์ทลายเทพ เป็นชื่อที่บอกความหมายได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นพลังที่ทำลายล้างผู้แข็งแกร่งระดับเทพ
ในข่าวลือกล่าวว่า ทัณฑ์ทลายเทพมีสีสันสดใส ก่อกำเนิดจากสวรรค์และมีพลังอำนาจไม่สิ้นสุด!
แต่เมื่อมันมาถึงโลกก็จะยิ่งเป็นภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ของสวรรค์และโลก!
ทว่าทัณฑ์ทลายเทพยากนักที่จะได้พบเห็น ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ตลอดพันปีที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดเรียกมันออกมาได้เลย
ดังนั้นคนส่วนใหญ่เพียงแค่ได้ยินเมาไม่กี่คำเท่านั้นจากข่าวลือ แต่ไม่ได้รู้เรื่องอย่างลึกซึ้ง
ในความเห็นของพวกเขาสิ่งนี้คือนิมิตสวรรค์โลกาที่มีอยู่ในหนังสือโบราณเท่านั้น
ดังนั้นหลังจากทัณฑ์ทลายเทพปรากฏขึ้น แม้แต่ลั่วเหยี่ยนยังใช้เวลามองอยู่นาน ถึงจะกล้ายืนยันได้จริงๆ
สิ่งนี้คือทัณฑ์ทลายเทพในตำนาน!
อีกทั้ง… คนที่ฆ่าเห็นได้ชัดว่าคือฉู่หลิวเยว่!
“นึกไม่ถึงว่าเป็นทัณฑ์ทลายเทพจริงๆ!”
ผู้อาวุโสหลายท่านถูกล่อลวง ใบหน้าปรากฏความประหลาดใจขึ้น
“แต่ว่า…ไม่ถูกนะ! ทัณฑ์ทลายเทพมีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นถึงเรียกมาได้ไม่ใช่หรอกหรือ ซั่งกวนเยว่เป็นแค่เทพขั้นสูง ทำไมถึง…”
“หรงซิวเรียกสิ่งนี้มาอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ แต่เป็นซั่งกวนเยว่! พวกเจ้าไม่เห็นทัณฑ์ทลายเทพนั่นกำลังรวบตัวอยู่เหนือศีรษะนางในตอนนี้หรือ!”
“สวรรค์…ทัณฑ์ทลายเทพพุ่งไปหานางจริงๆ หรือ เทพขั้นสูงต่ำต้อยนั่น เหตุใด…”
“เป็นเพราะภูเขาไฟที่ระเบิดเหล่านั้นหรือไม่”
…
ไม่เพียงคนของตระกูลหนานเท่านั้นที่งุนงงสงสัย
ขณะนี้ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนในท่าเรือดอกท้อกำลังให้ความสนใจสถานการณ์ทางนี้ ซึ่งพวกเขาทั้งหมดล้วนถูกหลอกเสียแล้ว!
ในกลุ่มพวกเขามีผู้ที่สายตาแหลมคมเฉียบขาด มองครู่เดียวก็รู้ว่าสิ่งนั้นก็คือทัณฑ์ทลายเทพ!
ข่าวได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้คน
ทุกคนต่างตกตะลึงอยู่ที่เดิม
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ฉู่หลิวเยว่ยังทำให้เกิดทัณฑ์ทลายเทพได้อีก!
ช่างเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ!
“แย่แล้ว…ครั้งนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ…
ผู้คนนับไม่ถ้วนเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและยอมแพ้อย่างเงียบๆ
…
มั่วอวิ๋นพยายามดิ้นรนออกมาจากหินกองใหญ่นั่น บนตัวของเขามีรอยแผลเต็มไปหมด
เขาไม่มีเวลาแสดงความไม่พอใจอันใด จึงแหงนหน้ามองบนท้องฟ้าที่ทัณฑ์ทลายเทพกำลังรวมตัวและวนเวียนไปมาอยู่บนนั้น!
ทันใดนั้นเขาเบิกตาโพลงและสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ชั่วครู่ที่ทัณฑ์ทลายเทพร่วงหล่นลงมา เกรงว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนร่างแหลกวิญญาณแตกสลาย!
เขากัดฟันแน่น แววตาเด็ดขาดปรากฏในดวงตาของเขา
หลังจากนั้นหมอกหนาทึบกลุ่มหนึ่งจู่ๆ แผ่กระจายออกมาจากบนตัวเขา!
เสาเทพยดาที่อยู่ตรงหน้ายิ่งมีสีสดใดและแปลกตามาขึ้นเรื่อยๆ!
…
แรงกดดันมากมายมหาศาลได้ตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างกระทันหัน!
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง
ทัณฑ์สวรรค์ที่งดงามนั่นพลังยังคงรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง และสามารถฟาดลงมา เพื่อลงทัณฑ์นางได้ทุกเวลา!
นางจับโล่สีดำในมือไว้แน่น
นี่มันอันใดกัน เรียกทัณฑ์ทลายเทพมาอย่างนั้นหรือ!
เปรี้ยง!
ความคิดนี้ได้แวบเข้ามาในหัวของนางเมื่อครู่ ทัณฑ์ทลายเทพนั่นระเบิดลงมา!
ลมปราณเหน็บหนาวได้ตัดปากเลือดจำนวนนับไปทั่วทั้งร่างของฉู่หลิวเยว่ในทันที!
แต่ขณะนั้นบทเพลงฉินได้ดังขึ้นจากภายในร่างของนาง!
[1] เชือดไก่ให้ลิงดู คือ สำนวนหมายถึง ทำโทษคนหนึ่ง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง