ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 14 พลิกฟื้น
ร่างกายของฉู่หลิวเยว่เสมือนฟองน้ำทะเลที่ดูดซับพลังของยาอย่างบ้าคลั่ง
สองพลังสุดขั้วทั้งความร้อนเร่าและความเย็นยะเยือกกำลังไหลเวียนในร่างกายของนางเพื่อหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อ โลหิต และกระดูกทุกตารางนิ้ว
ความเจ็บหนึบแล่นผ่านเข้ามา ฉู่หลิวเยว่กัดฟันแน่นจนเลือดไหลซึมออกจากมุมปาก
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่กรีดร้องเพราะความเจ็บปวดออกมาเลยสักเสียง และอดทนอย่างถึงที่สุด และฝืนกลืนความทรมานทั้งหมดลงไป
ชีพจรเดิมภายในร่างกายของนางที่ไม่สมบูรณ์เหมือนกับลำน้ำแห้งขอดบนผืนดินแตกระแหง
เมื่อพลังเหล่านั้นพลุ่งพล่านเข้ามา ก็เป็นดั่งสายฝนที่โปรยปรายลงมา
ที่ผ่านมาร่างกายของฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถเก็บกักพลังเหล่านี้ได้เลย จึงทำได้เพียงกะพริบตามองพวกมันไหลผ่านไป
ทว่าคราวนี้ คลื่นพลังพุ่งเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดก็สามารถทำให้ชีพจรดั้งเดิมของนางเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย!
ชีพจรเดิมที่แห้งเหือดแตกระแหงค่อยๆ ชุ่มชื้นและเริ่มขยายยืด
เมื่อเวลาผ่านไป สีของยาที่แช่ในถังอาบน้ำก็ค่อยๆ เจือจางลง
ฉู่หลิวเยว่แทบจะดูดซับพลังที่แฝงอยู่ภายในนั้นทั้งหมด
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจเมื่อพบว่าพลังส่วนหนึ่งของยาได้หลอมรวมเข้าสู่ร่างกายของนางไปหล่อเลี้ยงชีพจรเดิม ทำให้เส้นชีพจรส่วนที่ไม่สมบูรณ์เริ่มขยายตัวออกไป และบางส่วนที่เหลือกลับไหลเข้ามาในทะเลสาบเล็กๆ ตรงตำแหน่งตันเถียนของนาง
ทะเลสาบนั้นมีขนาดเล็กมากและมีสีอ่อนเจือจาง พลังนั้นไหลเข้าไปข้างในแต่กลับหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างกลืนกินไปหมดแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ใช้เวลาสังเกตอยู่เนิ่นนานก็พบว่าทะเลสาบนั้นเหมือนหลุมลึกไร้จุดสิ้นสุด นอกจากระลอกคลื่นแล้ว ก็ไม่เห็นร่องรอยของพลังเหล่านั้นเหลืออยู่เลย
นางยิ่งเกิดความสงสัย
ทะเลสาบนี้เปลี่ยนมาจากหน้ากระดาษหนังสือขาดแหว่งที่โปร่งใสนั้น ตอนแรกเริ่มก็มีคาถาโลหิตอันน่าลึกลับปรากฏอยู่บนนั้น ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เคยปรากฏขึ้นมาอีกเลย
ตกลงมันคือสิ่งใดกันแน่ แล้วมันมีที่มาอย่างไร
หลังจากค้นหาความทรงจำของร่างเดิมอย่างละเอียดแล้ว นางก็ไม่พบความทรงจำใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับมันอีก ราวกับว่ามันปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าก็มิปาน
ที่สำคัญคือ นางไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน แต่นางก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูก
ราวกับว่า…มันมาพร้อมกับการกลับชาติมาเกิดใหม่ของนาง!
ตอนนี้ยังไม่สามารถตรวจสอบได้ชัดเจนว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ฉู่หลิวเยว่จึงไม่เก็บมาคิดอีก แล้วตั้งใจฟื้นฟูชีพจรเดิมต่อไป
ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อรุ่งอรุณมาถึง เมื่อประสิทธิภาพของยาถูกดูดซับไปจนเกือบหมดแล้ว ฉู่หลิวเยว่จึงลุกขึ้น
หลังจากเก็บกวาดพอเป็นพิธีแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็หาไม้หลายๆ ท่อนมาทำแท่นไม้สำหรับฝึกกายกรรมแบบเรียบง่าย จากนั้นแกะสลักไม้เป็นรูปคนตั้งเอาไว้ข้างๆ สุดท้ายนำกระสอบทรายมาผูกติดกับแขนและขาทั้งสองข้างเพื่อเริ่มต้นฝึกฝน
เงื่อนไขช่างแสนง่ายดาย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ นี่เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่นางสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งทางร่างกายได้อย่างรวดเร็วที่สุด
ตระกูลฉู่มีลานฝึกต่อสู้โดยเฉพาะ แต่นางถูกกีดกันมาโดยตลอด หากนางไปอาจสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น
แม้นางจะไม่เกรงกลัวความเดือดร้อน แต่ยามนี้นางไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องเหล่านั้น
ก่อนหน้านี้นางได้เชือดไก่ให้ลิงดู ทั้งยังเอาเรื่องสัญญาแต่งงานกับองค์ชายรัชทายาทมาข่มขู่ให้ผู้อาวุโสและฉู่เซียนหมิ่นเกิดความตื่นกลัว จึงหายเงียบไปสักพัก
นางต้องฉวยเอาช่วงเวลานี้ปรับสภาพร่างกายนี้ให้ดีที่สุด!
เมื่อวิ่งอยู่ภายในลานบ้านไม่นาน นางก็เริ่มมีเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก แล้วก็รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งร่างราวกับถ่วงด้วยตะกั่ว
นางรู้สึกจนปัญญา ร่างกายนี้อ่อนแอมากจริงๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง แม้กระทั่งยาก็อาจจะไม่มีทางดูดซับเข้าไปได้หมด นับประสาอะไรกับอย่างอื่น
เสื้อผ้าของนางค่อยๆ เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
ยามนี้คือเดือนเจ็ด เป็นช่วงที่อากาศร้อนจัด การออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงภายใต้แสงแดดเจิดจ้าเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็นึกภาพออกว่ามันยากเพียงใด
ริมฝีปากของนางขาวซีด เหงื่อไคลไหลย้อยไปตามเรียวหน้า เส้นผมสีดำขลับแนบติดใบหน้า ดูแล้วช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
หลังจากกำลังในร่างกายทะลุถึงขีดสุด ขาทั้งสองข้างของนางก็อ่อนล้าจนแทบล้มไปกองกับพื้น
ทว่าแทนที่จะหยุด นางกลับเดินไปอยู่ข้างหน้าหุ่นแกะสลัก จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มฝึกกลยุทธ์โจมตี
ในอดีตชาติ หลังจากที่นางสามารถบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามได้ในตอนอายุแค่เจ็ดขวบ นางก็ไม่ได้เข้าสู่การฝึกฝนด้านนี้อีก แต่หันไปเชี่ยวชาญในการฝึกวรยุทธ์ขั้นสูงและยันต์คาถา
ตอนนี้หยิบขึ้นมาใช้ใหม่ก็เป็นประโยชน์กับนางมากเช่นกัน
ปึก!
ปึก!
ปึก!
ในลานที่เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงของร่างกายกระทบกับท่อนไม้เท่านั้น ซึ่งน่าเบื่อมาก
ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และฝึกฝนด้วยตนเองอย่างบ้าคลั่ง
…
ร้านหลงหู่เป็นร้านขายอาวุธของตระกูลฉู่ที่มีชื่อเสียง ทั่วไปแล้วจะขายพวกดาบ ปืน และกระบี่ ส่วนฉู่หนิงเป็นรองเถ้าแก่
เพราะเขามีความรู้เกี่ยวกับอาวุธต่างๆ มาก่อน เขาจึงถูกส่งมาที่นี่หลังจากได้รับบาดเจ็บ
แม้จะเรียกกันว่ารองเถ้าแก่ แต่อันที่จริงเขากลับไร้บารมี เขามักโดนฉู่เยี่ยนผู้เป็นน้องชายคนรอง หรือก็คือบิดาของฉู่เซียนหมิ่นกดขี่มาโดยตลอด อีกด้านหนึ่งก็มักจะถูกลูกจ้างในร้านบีบให้ออกอีกด้วย
แต่วันนี้ ฉู่หนิงพบว่าคนเหล่านี้ดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่เขามากยิ่งขึ้น
หลังจากที่เขากลับไปที่ร้าน เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าดาบบางเล่มไม่ได้ถูกวางไว้ในตำแหน่งเดิม
“เสี่ยวซง ทำไมข้าวของถึงได้กระจัดกระจายเช่นนี้ ทำไมเจ้าไม่เก็บให้เรียบร้อย”
อู๋ซงนั่งนิ่งกินลูกบ๊วยและพูดอย่างเกียจคร้าน
“ท่านก็เก็บเองสิ มิเห็นหรือว่าข้ากำลังยุ่งอยู่”
เมื่อพูดออกไปเช่นนั้น หลายคนในร้านจึงหันมามอง
ฉู่หนิงชักเริ่มโมโห เมื่อเห็นอู๋ซงกลอกตาและหัวเราะเยาะ
“ยังคิดว่าตัวเองเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลฉู่อยู่หรือไร ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างเลย”
ทุกคนต่างแอบหัวเราะ เพื่อรอดูเรื่องตลกของฉู่หนิง
มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าฉู่หลิวเยว่ลูกสาวของเขาได้จาบจ้วงคุณหนูสามฉู่เซียนหมิ่น
เกรงว่าอนาคตสองพ่อลูกคู่นี้คงต้องลำบากเสียแล้ว!
ไม่แน่ อีกไม่นานคงถูกขับไล่ออกจากตระกูลฉู่
ฉู่หนิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเพิ่มน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าพูดแบบนี้ หมายความว่าจะไม่ยอมเก็บใช่หรือไม่”
อู๋ซงไม่สนใจ กินบ๊วยเม็ดสุดท้ายจนหมดเกลี้ยง เขาปัดมือแล้วลุกขึ้นเดินไปอีกด้าน จากนั้นเอื้อมมือไปปัดสิ่งของที่วางเป็นระเบียบจนล้มระเนระนาด
มีดและดาบร่วงลงกับพื้นเสียงดังโช้งเช้ง
“เจ้าดูสิตอนนี้มันยิ่งกระจัดกระจายแล้วมิใช่หรือ ข้าว่าเจ้าเก็บเองเถอะ ฮ่าๆ!”
อู๋ซงพูดพลางหัวเราะสะใจเสียงดังลั่น
หากฉู่หนิงออกไปได้ ตำแหน่งรองเถ้าแก่ตามเถ้าแก่ใหญ่อย่างฉู่เยี่ยนของเขาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ฉู่หนิงกำหมัดแน่น
อู๋ซงถอนหายใจอย่างดูถูกเหยียดหยาม
“โอ้ นี่อยากมีเรื่องหรือ หลายปีมานี้ฝีมือของรองเถ้าแก่คงไม่ได้พัฒนากระมัง เช่นนั้นเรามาแลกกันสักหมัดดีหรือไม่”
เขาพูดพลางจงใจมองไปที่ของฉู่หนิง
สายตาเช่นนี้ทำให้ความโกรธของฉู่หนิงปะทุขึ้นถึงขีดสุด! และเขาก็ปล่อยหมัดออกไปทันที!
อู๋ซงถอยหลังหลบหมัดนี้ของเขา
“ฮ่าๆ ก็แค่…”
ก่อนที่อู๋ซงจะพูดจาเยาะเย้ย ก็เห็นว่าฉู่หนิงก้าวมาข้างหน้าแล้วชกหมัดที่สองด้วยความรวดเร็ว
ปึก!
อู๋ซงไม่ทันได้เตรียมตัว จึงถูกต่อยพอดีแล้วล้มลงไปกองกับพื้นทันที พร้อมทั้งมีเลือดกำเดาไหลออกจากจมูก!
ทว่าฉู่หนิงกลับไม่ปล่อยไว้แค่นี้ เขาตามไปติดๆ จากนั้นจึงกระชากคอเสื้อของอู๋ซงเอาไว้แน่นก่อนจะต่อยอีกหนึ่งหมัดอย่างแรง
อู๋ซงโดนต่อยอีกหลายหมัด ในไม่ช้าเขาก็หมดสติไป
ทุกคนต่างมองด้วยความตกตะลึงเบิกตาอ้าปากค้าง
อู๋ซงไม่ได้อ่อนแอ หากพูดด้วยหลักการแล้ว ฉู่หนิงคือคนขาพิการข้างหนึ่ง แล้วจะเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าอู๋ซงได้อย่างไร
ตึง!
ฉู่หนิงปล่อยให้ศีรษะของเขาตกกระทบลงพื้น เมื่อหลังมือมีแต่คราบเลือด เขาจึงหยุดไปในที่สุด จากนั้นจึงปราดตามองไปรอบๆ ด้วยสายตาคมกริบดั่งมีด
“ยังมีใครอยากแลกอีกสักหมัดหรือไม่”
ทุกคนต่างถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
ฉู่หนิงคนอ่อนแอที่น่ารังแก…ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแล้ว!
ฉู่หนิงเช็ดเลือดที่มือ เมื่อเขาหันหลังกลับไป เขาก็หยุดชะงักทันที
ไม่ถูกต้อง!
เมื่อครู่นี้ตอนที่เขาพุ่งเข้าไป ดูเหมือน…การเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าแต่ก่อนมากขึ้นใช่หรือไม่ อีกอย่าง พลังในร่างกายดูเหมือนจะไหลเวียนสูบฉีดมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
เขาค่อยๆ ก้มหน้ามองขาข้างขวาของตนเอง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในหัวของเขาจึงนึกถึงยาถ้วยนั้นที่เยว่เอ๋อร์ยื่นให้เขาดื่ม
นางบอกว่า ท่านพ่อต้องดีขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ!