ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 15 ลูกพี่ลูกน้อง?
จนกระทั่งพระอาทิตย์อัสดง ฉู่หลิวเยว่จึงเสร็จสิ้นการฝึกฝนของวันนี้ ไม่ต้องดูก็รู้ว่าบนร่างกายของนางต้องมีรอยฟกช้ำดำเขียวอย่างแน่นอน
แต่นางก็มีความสุขในใจเป็นอย่างมาก
การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ให้ประสิทธิภาพของยาทำงานได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกายได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ต่อไปก็จะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกยุทธ์ในวันข้างหน้า
เมื่อฉู่หนิงกลับมาถึงบ้านก็เห็นท่อนไม้สำหรับฝึกต่างๆ เต็มลานบ้าน
ข้างๆ กันนั้นก็มีหญิงสาวร่างผอมบางที่กำลังแกะกระสอบทรายออกจากมือและเท้า
ต่อให้ท้องฟ้าจะมืดสักเพียงใด แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นท่าทางกระเซอะกระเซิงของนาง
ทันใดนั้นฉู่หนิงก็เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา
“เยว่เอ๋อร์”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้แก่เขา
“ท่านพ่อ”
คำปลอบโยนต่างๆ นานนติดอยู่ที่ริมฝีปาก พลันพูดไม่ออก
ฉู่หนิงรู้ดี หลังจากผ่านเรื่องราวคราก่อน เยว่เอ๋อร์ได้รับการกระตุ้นอย่างมาก คนทั้งคนจึงเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางกำลังพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่ง
สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือสนับสนุนและปกป้องนางจนถึงที่สุด
“เยว่เอ๋อร์ ยาที่ลูกเคี่ยวกรำเมื่อวาน ดูเหมือนจะเห็นผลดียิ่งนัก!”
ฉู่หนิงเดินเข้าไปช่วยนางซับเหงื่อไคล แม้พยายามควบคุมตนเองอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังมีความตื่นเต้นและความสงสัยที่ยากจะเก็บซ่อน
ฉู่หลิวเยว่เผยสีหน้าดีใจ
“จริงหรือ”
ฉู่หนิงพยักหน้า แต่ก็มิได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านให้ฟัง เขาบอกแค่ว่าจู่ๆ ก็รู้สึกกระฉับกระเฉงกว่าแต่ก่อนเท่านั้น
“สงสัย…เยว่เอ๋อร์ของพวกเรา จะมีพรสวรรค์ด้านหมอเทวดาจริงๆ นะเนี่ย!”
ฉู่หนิงภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
หากค้นพบเรื่องนี้ตั้งแต่แรก หลายปีที่ผ่านมา เยว่เอ๋อร์คงไม่ต้องลำบากตรากตรำขนาดนี้
ฉู่หลิวเยว่แย้มยิ้มและกะพริบตา
“เห็นผลก็ดีแล้วเจ้าค่ะ เพิ่งจะค้นพบพรสวรรค์…ตอนนี้ ก็ไม่ถือว่าสายไปหรอกเจ้าค่ะ”
ฉู่หนิงคิดว่านางปลอบใจก็เลยพยักหน้าให้
“ใช่ ช่วงนี้เยว่เอ๋อร์ก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ รอผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ เราค่อยไปหาอาจารย์ดีๆ ให้ลูกกัน!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
อาจารย์หรือ
ต่อให้รวมหมอเทวดาทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉิน ก็คงมิเพียงพอให้มาเป็นอาจารย์ของนางหรอก
“จริงสิ ใกล้ถึงวันเกิดของลูกแล้ว ถึงคราวนั้น…เรื่องสัญญาอภิเษกกับองค์ชายรัชทายาท ลูกจะทำเช่นไร”
ฉู่หนิงลังเลที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้เล็กน้อย
เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาสองคนพ่อลูกอยู่ในสถานการณ์ตกต่ำ ผนวกกับลูกสาวของเขาจินตนาการไปถึงองค์ชายรัชทายาทเสียหลายส่วน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้
ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างได้เริ่มเปลี่ยนแปลงใหม่หมดแล้ว เช่นนั้นก็ควรพิจารณาถึงปัญญานี้สักที
ถึงอย่างไร ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนแล้ว
รอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่เยือกเย็นเล็กน้อย
“คอยดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ”
ตีตนไปก่อนไข้ ไม่ใช่นางแน่นอน!
…
คืนนี้เจ้าเสวียเสวี่ยมาปรากฏตัวตามปกติ แถมยังหัวโนมาด้วย
เมื่อฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม เสวียเสวี่ยก็มุดหน้าหลบอย่างเศร้าสร้อย
มันอายหรือ
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของยอมให้มันมา ทว่าสุดท้ายก็ตีมันอยู่ดี
เมื่อวานยามที่มา มันไม่รู้นี่นาว่าจะมาเห็นฉู่หลิวเยว่กำลังถอดเสื้อผ้าอยู่พอดี!
น่าโมโหยิ่งนัก!
ฉู่หลิวเยว่ดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่ได้สาหัสมาก นางจึงไม่สนใจปล่อยให้เจ้าสิงโตขาวนอนข้างเตียง ส่วนตัวเองก็เริ่มปรับลมปราณ พอได้เวลาดึกดื่นค่อนคืนนางจึงเข้าสู่ห้วงนิทรา
เมื่อนางหลับสนิทแล้ว เสวียเสวี่ยจึงลืมตาขึ้นแล้วขยับเข้าไปใกล้อีกนิด จากนั้นจึงปล่อยพลังอันแสนอบอุ่นปกคลุมเรือนร่างของฉู่หลิวเยว่
…
ในไม่ช้า ทุกคนต่างก็ลืมเลือนเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทภายในตระกูลฉู่
เพราะว่ามีเรื่องฮือฮาขึ้นมาใหม่ในเมืองหลวง…พรุ่งนี้องค์ชายเจ็ดหรงซิวจะเสด็จกลับมาจากเขา
หมิงเยว่เทียน!
แม้องค์ชายจะแต่งตัวเรียบง่าย และถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง แต่พระราชโองการของฝ่าบาทในวันนี้ กลับทำให้เรื่องขององค์ชายเจ็ดกลายเป็นหัวข้อสนทนาหลังอาหารทันที
หรงซิวหรือองค์ชายเจ็ดไปอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน ในที่สุดวันนี้ก็กลับมา ฝ่าบาทจึงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงพระราชทานอิสริยยศองค์ชายเจ็ดเป็น หลีอ๋อง และพระราชทานจวนหลีอ๋องให้อีกด้วย
หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็จะสังเกตได้ว่าหลังจากพระราชโองการนี้ถ่ายทอดออกไปสามารถตีความได้หลายความหมาย
ประการแรก นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่านับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป องค์ชายเจ็ดจะประทับอยู่ที่เมืองหลวง ประการที่สอง นี่แสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญและโปรดปรานองค์ชายเจ็ดเป็นพิเศษ
ต้องทราบก่อนว่าฝ่าบาทเคยมีพระโอรสเก้าพระองค์ สิ้นพระชนม์กะทันหันสามพระองค์ จึงเหลือเพียงหกพระองค์ นอกจากหรงจิ้นผู้เป็นองค์ชายใหญ่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทตั้งแต่กำเนิด ยังเหลือองค์ชายอีกแปดพระองค์ ซึ่งมีองค์ชายหรงฉีหรือองค์ชายห้าเพียงพระองค์เดียวที่เป็นพี่น้องร่วมอุทรขององค์ชายรัชทายาท ดังนั้นจึงมีพระยศเป็นผิงอ๋อง
จากนี้เป็นต้นไปก็จะรู้ว่าการที่หรงซิวได้รับแต่งตั้งเป็น หลีอ๋อง จะนำพาซึ่งความปั่นปวนอันใหญ่หลวงให้แก่ราชสำนัก
คราแรกทุกคนต่างไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย ทั้งไม่ใส่ใจเรื่องการกลับมาขององค์ชายเจ็ดผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ แต่วันนี้เขาพึ่งกลับมาถึงเมืองหลวง ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋อง จึงทำให้คนครุ่นคิดไม่ได้
แทบจะเพียงชั่วข้ามคืน จวนหลีอ๋องก็กลายเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุด หลายคนส่งจดหมายเพื่อขอเข้าเฝ้า แต่ทางจวนหลีอ๋องรายงานว่าหลีอ๋องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ต้องการพักผ่อนจึงปฏิเสธกลับไปทั้งหมด
น้ำนิ่งไหลลึกเช่นนี้ แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่มิทราบตื้นลึกหนาบาง
ยามนี้นางให้ความสำคัญกับร่างกายของตนเองมากที่สุด
เจินเป่าเก๋อทำงานน่าเชื่อถือ เพราะยาเที่ยวที่สองได้มาส่งตามกำหนด
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้รีบร้อนจัดการของเหล่านี้ วันนี้นางจึงเลือกออกไปข้างนอกแทน
คราวนี้นางไม่ได้ออกไปทางประตูใหญ่ แต่กลับปลอมตัวเหมือนชายหนุ่ม ใส่ชุดสีดำและสวมหมวกปิดคลุมใบหน้า จากนั้นก็ออกไปจากทางประตูเล็กที่อยู่ใกล้ๆ
บรรยากาศของเมืองหลวงคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้มีผู้คนละลานตาเต็มท้องถนน ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นคนที่ปลอมตัวแปลกๆ ดังนั้นการที่ฉู่หลิวเยว่ปลอมตัวเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นจุดสนใจอะไรกับใคร
เมื่อออกจากตระกูลฉู่ นางจึงมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก แล้วตรงไปยังตรอกผีที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเมือง
ว่ากันว่าเป็นตรอกผี แท้จริงแล้วมันก็คือศูนย์รวมการค้าขายสิ่งของทุกประเภท
ที่นี่มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ อีกทั้งราคาสูงต่ำแตกต่างกันไป ใช้เงินเท่าไหร่ซื้อของสิ่งใดก็มิอาจทราบได้
ด้วยเหตุนี้ มีบางคนชอบมาที่นี่โดยเฉพาะ บางครั้งโชคดีก็จะได้ซื้อของถูกใจกลับไป
ที่ฉู่หลิวเยว่มาวันนี้ นางก็มาพร้อมความคิดแบบนี้เหมือนกัน
ตรอกผีคึกคักมากและมีแผงขายของมากมายเต็มสองข้างทางของถนน
ฉู่หลิวเยว่เดินด้วยท่าทางสบายๆ มองไปรอบๆ อย่างเรื่อยเปื่อย แต่สายตากลับปราดมองสิ่งของพวกนั้นด้วยความรวดเร็ว
เวลาผ่านไปทีละนิด เดินผ่านไปครึ่งทางของตอกผีแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ยังไม่เจอสิ่งของสะดุดตา จึงอดผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะกลับไปดีหรือไม่ ทันใดนั้นสายตาก็ดันไปเห็นของสิ่งหนึ่งที่วางอยู่บนแผงลอยเก่าๆ ด้านข้าง
นางใจกระตุก แล้วเดินเข้าไปเงียบๆ
มันเป็นหินขนาดเท่ากำปั้น สีขาวหม่นทั้งก้อน และมีตะไคร่เขียวขึ้น ดูเหมือนก้อนหินที่หยิบขึ้นมาจากที่ไหนสักที่
เมื่อสังเกตดีๆ ก็จะเห็นสีแดงจางๆ สองจุดในหินก้อนนั้น
ซึ่งก็พิสูจน์ได้ว่า มีความเป็นไปได้ที่ก้อนหินก้อนนี้อาจจะมีหยกแดงล้ำค่าซ่อนอยู่
เมื่อฉู่หลิวเยว่ กำลังจะถามราคา ก็มีคนผู้หนึ่งเดินตัดหน้านางและหยิบหินก้อนนั้นขึ้นมา
ชายคนนั้นอายุราวๆ ยี่สิบปี ร่างอวบอ้วนสวมเสื้อผ้าและดูท่าทางเหมือนเศรษฐีใหม่
“เฮ้อ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะโชคดีเจอหินสีแดงก้อนนี้ เถ้าแก่ บอกราคามาสิ!”
เจ้าของร้านเป็นชายชราผมหงอกขาวมีเครารุงรัง ช่วงนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน แต่เขากลับสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายเก่าซอมซ่อ ในมือถือพัดโบกไปมาเบาๆ และนอนอยู่อย่างเกียจคร้าน
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เขาลืมตาข้างหนึ่งแล้วชูหนึ่งนิ้ว
“ร้อยตำลึงหรือ”
ชายชราส่ายหน้า
“หมื่นตำลึง”
ชายหนุ่มคนนั้นขนลุกขนชันทันที ร่างอ้วนท้วมของเขาก็สั่นไปทั้งตัว
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ แค่หินสีแดงก้อนเดียว ข้าให้เจ้าร้อยตำลึงก็นับว่าไว้หน้าเจ้าแล้ว แม้กระทั่งข้า เจ้ายังกล้าโกง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร! ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าคือลูกพี่ลูกน้องของว่าที่พระชายาองค์ชายรัชทายาทเชียวนะ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฉู่หลิวเยว่ผู้ซึ่งเฝ้าดูด้วยสายตาเย็นชาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เหตุใดนางถึงจำไม่ได้ว่ามีลูกพี่ลูกน้องเช่นนี้กับเขาด้วย