ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 16 แลกเปลี่ยน
“ข้าคือคุณชายสี่ของตระกูลลู่ เจ้าลองไปถามชาวบ้านดูได้”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจในทันที…ที่แท้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉู่เซียนหมิ่นนี่เอง
เรื่องราวยังไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นก็มัดมือชกไปก่อนเสียแล้ว สมกับเป็นคนตระกูลเดียวกันจริงเชียว…
เถ้าแก่คนนั้นสบถออกมา
“ใครจะสนว่าเจ้าเป็นใคร หมื่นตำลึง ขาดไปตำลึงเดียวก็ไม่ได้ ต่อให้เจ้าไม่มีปัญญาซื้อ คนอื่นก็มาซื้ออยู่ดี!”
ลู่จื้อเทาแสยะยิ้มด้วยความโกรธถึงขีดสุด เขาพิจารณาหินสีแดงก้อนนั้น ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความกร่าง
“อ่อ ข้าจะดูสิว่าน้ำหน้าอย่างเจ้าจะมีผู้ใดมาซื้อ”
เขาพูดพลางมองไปรอบๆ เพื่อขู่เตือน
เดิมทีนั้นไม่มีผู้ใดสนใจหินสีแดงก้อนนั้น ต่างก็พากันหยุดฝีเท้าทันที
…ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจล่วงเกินคุณชายสี่ของตระกูลลู่ได้!
หินสีแดงก้อนแค่นี้ อย่างแพงที่สุดก็คงไม่เกินสองพันตำลึง ไม่มีใครเขายอมจ่ายหนึ่งหมื่นตำลึงหรอก!
ยิ่งไปกว่านั้น เขาจงใจเปิดเผยสถานะเช่นนี้ ผู้ใดซื้อไปก็เท่ากับว่าประกาศตนเป็นศัตรูกับเขา
ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าองค์ชายรัชทายาทพอพระทัยฉู่เซียนหมิ่น สองสามวันนี้ก็มีข่าวลือว่าองค์ชายรัชทายาทเชิญไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ซึ่งพระองค์ทรงให้องครักษ์ข้างกายอย่างซ่งหยวนไปส่งจดหมายเชิญให้ฉู่เซียนหมิ่นด้วยตัวเอง
ดูแล้วตำแหน่งพระชายาองค์ชายรัชทายาทก็คงมิพ้นฉู่เซียนหมิ่นแล้ว
ตอนนี้ใครจาบจ้วงตระกูลลู่ ก็เท่ากับว่าจ้าบจ้วงองค์ชายรัชทายาทด้วยใช่หรือไม่
บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ
ลู่จื้อเทาเอ่ยขึ้นด้วยความสะใจ
“ตาแก่ ข้าขอเตือนเจ้าให้เอาบุญนะ นอกจากข้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอยากซื้อของสิ่งนี้อี…ก”
“หมื่นตำลึง ข้าซื้อ”
ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นยะเยือกก็ดังขึ้น!
ในขณะเดียวกัน มือเรียวขาวพลันยื่นออกมาจากด้านข้างแล้วหยิบหินสีแดงก้อนนั้นไป!
ลู่จื้อเทาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าแย่งของที่เขาอยากได้ไปจริงๆ เขาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะได้สติคืนมา
เขาจ้องตาเขม็ง อีกฝ่ายใส่ชุดสีดำ สวมหมวกสานปกคลุมเอาไว้ ดูเหมือนจะเป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น
ขณะนั้นเองไฟโกรธก็สุมทรวงลู่จื้อเทาทันที
“เจ้าคือผู้ใดกัน กินดีหมีหัวใจเสือมาหรือ ถึงได้กล้าแม้กระทั่งแย่งของที่ข้าต้องการ!”
เถ้าแก่วัยชราก็ตกตะลึงเช่นกัน และลืมตาขึ้นมาทั้งสองข้างจนได้ จากนั้นจึงมองฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“จริงหรือ”
หินสีแดงนี้มีสีสันงดงามจริงๆ แต่ถึงอย่างไรราคาจริงก็ไม่ถึงหนึ่งหมื่นตำลึง ช่วงนี้เขาร้อนเงิน ประกอบกับไม่อยากขายให้ลู่จื้อเทา จึงเรียกราคาหมื่นตำลึงไปอย่างนั้นแหละ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าซื้อจริงๆ
ฉู่หลิวเยว่หยิบตั๋วเงินมูลค่าหนึ่งหมื่นตำลึงออกมาหนึ่งใบแล้วยื่นให้กับเถ้าแก่
ตอนแรกเถ้าแก่เกิดอาการลังเล แต่เมื่อเห็นตั๋วเงินใบนั้นก็ตาลุกวาวแล้วรีบรับมาเสียแต่โดยดี
…ก็ช่วงนี้เขาไม่มีข้าวสารกรอกหม้อแล้วนี่นา!
“ใครจ่ายแพงกว่าก็ได้ไป เจ้าไม่เข้าใจเหตุผลนี้หรือ อีกอย่าง หินสีแดงก้อนนี้อย่างน้อยๆ ก็สองพันตำลึง เจ้าจะจ่ายแค่ร้อยตำลึง มีใครที่ไหนเขาเอาเปรียบกันเช่นนี้บ้าง”
ฉู่หลิวเยว่พูดพลางหัวเราะเยาะ
“หรือว่า ที่ตระกูลลู่ร่ำรวยมหาศาล เพราะอาศัยวิธีทำมาหากินกันเยี่ยงนี้”
ลู่จื้อเทาโกรธจนหน้าดำหน้าแดง!
นี่นางชักจะลามปามด่าไปถึงตระกูลลู่ของพวกเขาแล้วนะ!
เขาชักกระบี่เล่มยาวออกมาจากเอวและพุ่งเข้าไปหมายจะแทงฉู่หลิวเยว่โดยไม่ได้ยั้งคิด
“ข้าอยากได้อะไรก็ต้องได้ เจ้าไม่ต้องเสนอหน้ามาสั่งสอนข้า ตายซะ!”
เถ้าแก่ท่านผู้เฒ่าที่เพิ่งรับตั๋วเงินไปมองฉู่หลิวเยว่ตาเหลือก เขากำมือแน่นและหยุดทุกอย่างที่กำลังจะเคลื่อนไหวด้วยความตกใจ
เขาทันเห็นเพียงนางขยับเท้าเบาๆ แล้วหมุนตัว โดยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงสามารถหลบกระบี่ของลู่จื้อเทาได้ทันท่วงที!
เมื่อลู่จื้อเทาแทงไม่โดน เขาก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว แล้วพุ่งเข้าโจมตีฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง
คราวนี้ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ถอยไป แต่กลับก้าวมาข้างหน้า อ้อมหลบกระบี่นั้นของเขาด้วยท่าร่างพิสดาร ก่อนจะยกขาขึ้นเตะศอกของลู่จื้อเทาอย่างแรง!
แขนเขาชาไปทั้งแถบ และกระบี่เล่มยาวนั้นก็ร่วงลงพื้น
วินาทีต่อมา เขาก็รู้สึกเย็นวาบที่หลังคอ เพราะฉู่หลิวเยว่เก็บกระบี่เล่มนั้นขึ้นมาวางพาดบ่าเขาเสียแล้ว!
ถ้าเขาขยับเพียงนิดเดียว ไม่แน่ในช่วงวินาทีถัดไปหัวอาจจะหลุดจากบ่าก็ได้!
เมื่อเถ้าแก่เห็นฉากตรงหน้านี้ จากที่มีสีหน้าตกใจก็เปลี่ยนเป็นอยากรู้อยากเห็นแทน เขามองฉู่หลิวเยว่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดอีกครั้ง
“เอ๊ะ”
เห็นได้ชัดว่าในร่างกายของสาวน้อยผู้นี้ไม่มีการเคลื่อนไหวพลังใดๆ ทั้งสิ้น หากกล่าวกันตามหลักการ นางมิใช่คู่ต่อสู้ของลู่จื้อเทาแน่นอน แล้วการเคลื่อนไหวไม่กี่ท่าเมื่อครู่นี้ ก็เป็นกระบวนท่าง่ายๆ!
หากนางต้องการ ความเป็นความตายของลู่จื้อเทาก็อยู่ในเงื้อมมือนางแล้ว
น่าสนใจจริงเชียว…
ทันใดนั้น เหงื่อเย็นชื้นก็ผุดขึ้นไปทั่วทั้งร่างของลู่จื้อเทา จากนั้นเขาก็พูดติดอ่าง
“เจ้าๆๆ…เจ้าจะทำอะไร เจ้า เจ้ากล้า…”
ฉู่หลิวเยว่เพิ่มแรงที่มือของตน ลำคอของลู่จื้อเทาจึงมีเลือดไหลซึมออกมาทันที!
“หนวกหู!”
ลู่จื้อเทาตกใจจนหน้าถอดสีแล้วกลืนคำพูดที่เหลือลงคอไปจนหมดสิ้น
เขามองออกว่าอีกฝ่ายมีความกล้าบ้าบิ่นและสามารถทำได้ทุกอย่าง
ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยมีพรสวรรค์ด้านฝึกยุทธ์เท่าไหร่ แต่หลายปีมานี้ ตระกูลลู่ก็ลงทุนกับเขาด้วยเงินจำนวนไม่น้อย โชคดีที่เขาสามารถบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามมาจนได้
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับขั้นนี้ไม่ถือว่ามีพลังแข็งแกร่ง และสามารถควบคุมได้แค่ทักษะการต่อสู้ง่ายๆ เท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังร่างกายหรือทักษะการต่อสู้ คนธรรมดาก็ไม่มีอาจเปรียบเทียบได้อยู่แล้ว
เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่…กลับสามารถเอาชนะเขาได้โดยง่าย!
“ไสหัวไป!”
ฉู่หลิวเยว่ตะคอกเสียงต่ำ ลู่จื้อเทาตะเกียกตะกายลุกขึ้นถอยหลังไปติดๆ ตลอดจนถอยไปไกลสิบกว่าก้าว ในที่สุดเขาก็ตะโกนออกมา
“เจ้า ข้าฝากไว้ก่อน คอยดู!”
เมื่อพูดจบเขาก็รีบหันหลังเผ่นแน่บทันทีโดยไม่รอให้ฉู่หลิวเยว่พูดสิ่งใด
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สนใจแยแสเขาอยู่แล้ว นางโยนกระบี่เล่มนั้นทิ้งก่อนจะหันหลังกลับไป
วันนี้ซื้อหินสีแดงก้อนนั้นมาได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องยินดีท่ามกลางความประหลาดใจแล้ว อยู่ที่นี่ต่อก็ไม่มีความหมายอะไร
อย่างไรก็ตาม นางก็รู้อยู่ดีว่าลู่จื้อเทาต้องวิ่งแจ้นกลับไปตามคนมาช่วย ดีที่วันนี้นางยังไม่อยากเปิดเผยตัวตนเร็วขนาดนั้น
คนที่ยืนมุงดูอยู่นั้นเมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กำลังจะไป พวกเขาจึงหลีกทางให้โดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าจะไม่เห็นรูปร่างและหน้าตาของคนผู้นี้ ทว่ากลับมีรัศมีความกดดันบางอย่างอันน่าแปลกประหลาดที่ทำให้ทุกคนยอมศิโรราบ
“เดี๋ยว…เจ้ารอก่อน!”
เมื่อเถ้าแก่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นจึงรีบเก็บข้าวของบนแผงลอยเพื่ออยากรีบตามฉู่หลิวเยว่ไป
แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าไม่เห็นแม้แต่เงาของฉู่หลิวเยว่เสียแล้ว
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง อดส่ายหน้าแล้วบ่นไม่ได้
“แม่หนูผู้นี้ช่างไม่ระวังตัวจริงๆ เลย”
เมื่อคิดเช่นนี้ก็ปล่อยเขาไป ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!
…
ฉู่หลิวเยว่สังเกตว่ามีคนสะกดรอยตามได้อย่างรวดเร็ว นางจึงเปลี่ยนเส้นทางทันที เดินผ่านหลายตรอกซอกซอย นางไม่เพียงแค่ไม่ไปทางตระกูลฉู่เท่านั้น แต่กลับยิ่งเดินยิ่งห่างไกล จนในที่สุดก็เข้ามาในซอยตันที่คับแคบและห่างไกล
เมื่อเข้าไปในนั้นแล้ว บรรยากาศโดยรอบก็เงียบสงบ นางจึงหันหลังกลับมา
“ท่านตามข้ามาตลอดทาง คงลำบากไม่น้อย มีธุระอันใดก็พูดมาตามตรงเถิด!”
ทันใดนั้น เงาร่างของท่านผู้เฒ่าผู้หนึ่งก็มาปรากฏตัวที่ปากซอย
เป็นเถ้าแก่ที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ผู้นั้นจริงดังคาด!