ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 2 แรกพบ ณ ริมทะเลสาบ
หลังจากฉู่หลิวเยว่จัดการศพทั้งสามคนนั้นจนสะอาดหมดจดแล้ว ก็หยิบหอบผ้าข้างๆ ขึ้นมา
นั่นคือฉู่หลิวเยว่คนเดิม
เมื่อเปิดมันออกมาแล้วสำรวจดูข้างใน ฉู่หลิวเยว่ก็ถึงกับขมวดคิ้ว
ข้างในหอบผ้าเต็มไปด้วยตั๋วเงิน แล้วยังมีพวกเครื่องประดับระเกะระกะไปหมด
แน่นอนว่าแม้สิ่งของเหล่านี้จะไม่เข้าตาซั่งกวนเยว่ผู้ที่เคยเป็นองค์หญิงสูงศักดิ์ แต่สำหรับเด็กสาวตระกูลฉู่กลับเป็นโชคหล่นทับเสียจริงๆ
นี่นางต้องหนีอย่างนั้นหรือ
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเยาะ
ไม่ต้องพูถึงนิสัยอ่อนแอปวกเปียกของฉู่หลิวเยว่คนก่อน นางคงไม่มีความกล้าเช่นนี้ หรือต่อให้นางอยากหนี นางจะทิ้งฉู่หนิงผู้เป็นบิดาได้ลงคอหรือ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ฉู่หลิวเยว่ถูกคนในตระกูลฉู่รังแกไม่ว่าจะสูงหรือต่ำศักดิ์กว่า นางจะมีโอกาสถือตั๋วเงินและครอบครองเครื่องประดับมากมายเยี่ยงนี้ได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่ายัดของให้นางเป็นหัวขโมย
หากพวกของซ่งเหลียนสามคนนั้นฆ่าฉู่หลิวเยว่ตาย เพื่อรักษาหน้าตาวงตระกูล ตระกูลฉู่จะต้องทำทีสืบสาวราวเรื่องแน่นอน
เมื่อทุกคนเจอศพของฉู่หลิวเยว่ แล้วเห็นสิ่งของพวกนี้ก็จะต้องคิดว่านางฉวยโอกาสออกมาซื้อของและขโมยของพวกนี้แล้วหนีไป
หึ ต่อให้ตายก็ไม่สาสม!
หลังจากฆ่านางให้ตาย ฉู่เซียนหมิ่นนี่ยังต้องการสาดโคลนใส่นาง ทำให้นางไม่มีวันกลับตัวได้อีก!
ในเมื่อนางยืมร่างของเจ้าของเดิมอย่างฉู่หลิวเยว่แล้ว เช่นนั้นนางจะต้องช่วยฉู่หลิงเยว่คนเดิมจัดการเรื่องนี้ให้อย่างแน่นอน
อีกอย่าง สถานะของฉู่หลิวเยว่ยังสะดวกต่อการจัดการเรื่องของนางในอนาคตอีกด้วย
หลังจากตรวจสอบสิ่งของเรียบร้อยแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็มองไปรอบๆ สามารถได้ยินเสียงแว่วของกระแสน้ำไหลรินได้
ตอนนี้ร่างของนางเต็มไปด้วยคราบเลือด และต้องการอาบน้ำจริงๆ โชคดีที่ในหอบผ้ายังมีเสื้อผ้าที่ซักสะอาดแล้วอยู่บ้าง ช่างสะดวกสบายเสียจริง
…
หลังจากเดินผ่านป่าไม้อันเขียวชอุ่ม ผ่านไปสักประมาณสิบห้านาที ในที่สุดก็เห็นทะเลสาบสี่เขียวครามปรากฏขึ้นตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่
ที่น่าประหลาดใจก็คือ ยังมีชั้นไอหมอกสีขาวลอยอยู่เหนือพื้นผิวทะเลสาบอีกด้วย
แม่ว่านางจะยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบ แต่เห็นเพียงน้ำสีเขียวครามกระเพื่อมเบาๆ ในบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น แล้วระยะทางนั้นกว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือเข้าไปผ่านไอหมอกสีขาวนั้นก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาดเล็กน้อย
นี่คือหมอกสีขาวที่เกิดจากการควบแน่นของพลังที่แข็งแกร่งมากยิ่งนัก!
นางสามารถจินตนาการได้ว่า หากได้ฝึกพลังเพียร ณ ที่แห่งนี้ ต้องได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวแน่!
ในฐานะองค์หญิง ซึ่งเป็นผู้สืบทอดอำนาจคนต่อไปของราชวงศ์เทียนจิน นางเข้าใจสถานการณ์ของแคว้นต่างๆ ที่ตกเป็นประเทศราชของราชวงศ์เทียนจินเป็นอย่างดี
สถานที่แห่งนี้ แม้จะเทียบกับสถานที่ฝึกพลังเพียรของนางเมื่อครั้งอดีตชาติไม่ได้ แต่ได้ฝึกในแคว้นเย่าเฉินเล็กๆ แห่งนี้ ก็นับว่าดีมากแล้วล่ะ
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงคำรามแหบต่ำดังขึ้นมา!
นางเงยหน้าขึ้นไปมอง กลับพบว่ามีสิงโตหิมะตัวหนึ่งกำลังใช้ดวงตาสีฟ้าราวกับน้ำแข็งของมันจ้องมองนางอยู่ที่ริมทะเลสาบ!
นี่คือสัตว์อสูรระดับสูงตัวหนึ่ง!
จากนั้น ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังคิดว่าจะรับมือกับมันอย่างไรอยู่นั้น ทันใดนั้นมันกลับสะบัดหางไปมา โน้มตัวลงไปใหม่อีกครั้งแล้วหลับตาลง
ฉู่หลิวเยว่มองอย่างตะลึง
นี่ มันไม่ได้จะตั้งท่าโจมตีนางหรอกหรือ
โดยปกติสัตว์อสูตรประเภทอารักขาเช่นนี้มักจะขี้หงุดหงิดโมโหร้ายถึงจะถูกต้องนี่นา…
นางยังไม่ทันได้คิดเสร็จสรรพ สิงโตตัวนั้นก็ลืมตาขึ้นมามองนางปราดหนึ่ง
หลังจากนั้นมันก็ลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งหน้ามาตรงที่นางยืนอยู่
เมื่อเดินมาถึงข้างหน้านาง อยู่ๆ สิงโตขาวก็ยกอุ้งเท้าขึ้น…เกี่ยวเอาหอบผ้าของฉู่หลิวเยว่ลงมา หลังจากนั้นก็เอาหัวชนเอวของนาง
“เจ้าอยากให้ข้าเข้าไปหรือ”
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างไม่แน่ใจนัก
สิงโตขาวขยับก้นนั่งลง ดวงตาสีฟ้าราวกับน้ำแข็งคู่นั้นมองหน้ฉู่หลิวเยว่ ราวกับกำลังจะบอกว่าหากเจ้าพูดว่าไม่เข้าไปอีก ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น!
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นางหัวเราะ และคิดว่าเจ้าสิงโตตัวนี้ก็น่ารักดี นางก็เลยลูบหัวของมัน ส่วนเจ้าสิงโตขาวก็หลับตาลงด้วยความพึงพอใจ
คราวนี้นางถึงจะถอดเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดออกมา แล้วลงน้ำทะเลสาบ ปล่อยให้ร่างกายของนางถูกโอบล้อมไปด้วยน้ำทะเลสาบอันอุ่นร้อน
พลังที่มากพอและอบอุ่นพุ่งเข้าใส่ร่างของนางในทันที
ฉู่หลิวเยว่ปิดเปลือกตาสนิท แล้วเริ่มตรวจสอบสภาพร่างกายนี้อย่างละเอียด
…
ในแผ่นดินนี้ ผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นที่เคารพนับถือ
ผู้ที่ฝึกพลังเพียร สามารถแบ่งออกเป็นสี่ประเภท
ประเภทที่หนึ่งคือ ผู้ฝึกยุทธ์ เป็นผู้ดูดซับพลังแห่งฟ้าดิน แล้วนำพลังนั้นมาหลอมรวมกับเลือดเนื้อของตนเอง
อีกประเภทหนึ่งคือ ปรมาจารย์ สามารถหยั่งรู้กฎการเคลื่อนไหวของพลังแห่งฟ้าดิน โดยใช้อักขระมารวมพลัง
แม้ว่าทั้งสองประเภทจะถือเป็นผู้ฝึกพลังเพียร แต่เพราะเงื่อนไขการบรรลุเป็นปรมาจารย์นั้นลึกซึ้งยิ่งกว่า ฉะนั้น จึงมีจำนวนน้อยมากเมื่อนำมาเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ แต่ก็เป็นที่เคารพนับถือมากเช่นกัน
อนึ่ง หากต้องการเป็นผู้ฝึกพลัง จักต้องมีชีพจร
ชีพจรคือสะพานสายเดียวที่ทำให้ผู้ฝึกพลังสามารถรับรู้และดูดซับพลังแห่งฟ้าดินได้ ดังนั้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งชีพจรนี้แบ่งออกเป็นสี่ระดับได้แก่ เทียนจิง ตี้จิง เสวียนจิงและหวงจิง
ชีพจรระดับเทียนจิงเป็นระดับที่สูงที่สุด แม้แต่ราชวงศ์เทียนลิ่งในช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านมาก็มีปรากฏให้เห็นไม่ถึงสองคน
คนหนึ่งคือปฐมกษัตริย์บรรพบุรุษของราชวงศ์เทียนลิ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ…นาง
ด้วยเหตุนี้ นางจึงเป็นองค์หญิงสวรรค์ลิขิตที่มีเกียรติสูงสุด
การฝึกพลังสำหรับนางนั้นช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก
แต่ทว่าชีพจรของร่างนี้ เป็นชีพจรที่ไม่สมบูรณ์โดยเนื้อแท้ ถึงแม้จะสามารถดูดซับพลังแห่งฟ้าดินได้ แต่ก็ไร้หนทางให้ดำรงอยู่ไว้ นับประสาอะไรกับการทำให้กลายเป็นพลังของตัวฉู่หลิวเยว่เสียเอง
ดังนั้น ฉู่หลิวเยว่ช่างเกิดมาอาภัพจริงๆ!
“สงสัยคงต้องฟื้นฟูชีพจรเสียก่อนแล้ว…” ฉู่หลิวเยว่พึมพำ
หากคนอื่นได้ยินคำพูดเช่นนี้เข้า คงจะต้องตกใจอ้าปากค้างเป็นแน่
ชีพจรเช่นนี้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด จะฟื้นฟูรักษาได้อย่างไร!
หากมองทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉินแล้ว เกรงว่าก็ไม่มีใครสามารถทำได้!
แต่…สำหรับซั่งกวนเยว่ ผู้ที่เคยเป็นองค์หญิงสวรรค์ลิขิตแห่งราชวงศ์เทียนลิ่ง กลับไม่ได้มีความหมายอะไรเลย!
หมอเทวดา เป็นผู้ฝึกตนที่ลึกลับและมีเกียรติสูงสุดในแผ่นดินเลยก็ว่าได้!
ผู้มีชีวิตหรือผู้วายปราณ เลือดเนื้อและกระดูกขาว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง!
แต่ทว่า การเป็นหมอเทวดานั้นยากลำบากกว่าการเป็นปรมาจารย์ยิ่งนัก และการฝึกพลังของพวกเขานั้นก็ยิ่งแตกต่างจากผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์อยู่มากโข
แม้ว่าร่างกายนี้จะเป็นเพียงท่อนไม้ผุพัง แต่ฉู่หลิวเยว่ก็สามารถทำให้มันกลายเป็นปาฏิหาริย์ได้!
ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากฟื้นฟูแล้วชีพจรจะอยู่ในระดับไหน…
ในขณะที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิด ทันใดนั้นก็มีแสงสีแดงวูบไหวอยู่ตรงหน้าของฉู่หลิวเยว่!
นางขมวดคิ้วมุ่นและมองไปที่มือทั้งสองข้างของตนเองก็กลับพบรอยอักขระคาถาสีเลือดอันน่าแปลกประหลาดอันหนึ่งที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นเด่นชัดบนฝ่ามือ
“นี่คือ…”
นางไม่เคยพบเห็นตัวอักษรเช่นนี้ และยิ่งไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใด
หรือจะมาจากเจ้าของร่างเดิมของฉู่หลิวเยว่
ความคิดเช่นนี้พึ่งผ่านเข้ามาในหัว แต่อยู่ๆ นางก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่ไม่สามารถอธิบายได้
ราวกับว่าคาถานี้ เป็นของนางตั้งแต่แรก!
คาถาโลหิตกะพริบไหว จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
ยังไม่ทันที่ฉู่หลิวเยว่จะได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกมีบางสิ่งบางอย่างเพิ่มเข้ามาในตำแหน่งตันเถียนของนาง
ตำแหน่งตันเถียนมืดบอดและเหือดหายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร บัดนี้กลับถูกเติมเต็มไปด้วยแสงสีแดงส่องสว่าง
และอักขระคาถาที่ฉู่หลิวเยว่พึ่งเห็นไปเมื่อครู่นี้กำลังลอยมาปรากฏอยู่ตรงกลางอย่างเงียบๆ
นางดูอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็กลั้นหายใจ…
คาถาสีโลหิตนี้มันไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แต่แท้จริงแล้วมันถูกจารึกไว้บนหน้าหนังสือที่โปร่งใส!
หน้าหนังสือนั้นบางมาก เหมือนมันถูกฉีกออกมาจากหนังสือเล่มหนึ่งออกมาอ่างลวกๆ ทั้งตรงขอบยังมีรอยฉีกขาดอีกด้วย มันลอยอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ และขยับเคลื่อนไหวเบาๆ เท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะเงาสะท้อนของคาถาสีโลหิต ก็ยากนักที่จะมองเห็นได้ชัดเจน
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังสงสัยว่ามันคือสิ่งใดกันแน่ และกำลังจะพินิจอย่างละเอียดอีกครั้ง ทันใดนั้นหน้าหนังสือโปร่งใสก็กลายร่างเป็นน้ำ หลอมรวมควบแน่นเป็นทะเลสาบเล็กๆ ตรงตำแหน่งตันเถียน
หลังจากนั้นคาถาสีเลือดก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏมาก่อน
ฉู่หลิวเยว่มองฝ่ามือของตนเอง ซึ่งบนฝ่ามือก็ไม่ปรากฏร่องรอยอะไรให้เห็นอีกแล้ว
ร่างกายของนางกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
คิดไปคิดมา นางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สุดท้ายก็ได้แต่ถอดใจ
ดูเหมือนสิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวนาง
ตอนนี้ยังต้องแก้ปัญหาร่างกายเดิมเสียก่อน!
นางหันตัวกลับไปเพื่อจะขึ้นฝั่ง แต่ทันใดนั้นสายตาของนางพลันเย็นเยียบ และรีบซ่อนตัวลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว แล้วมองตรงไปข้างหน้า “ใคร!”
ในขณะเดียวกันนางก็ดึงปิ่นปักผมลงมาจับในมือแน่น และพร้อมที่จะลงมือตลอดเวลา
ท่ามกลางหมอกขาวที่ลอยล่องอย่างหนาแน่น ก็ปรากฏร่างอันสูงตระหง่านและกำยำของคนผู้หนึ่ง
จากนั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำแสนอบอุ่นอ่อนโยนของชายหนุ่มก็ดังขึ้น ซึ่งมาพร้อมกับรอยยิ้มเจือจาง
“แม่นางน้อย บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ของผู้อื่นเช่นนี้ ไม่ค่อยดีกระมัง”
อาจเป็นเพราะเมฆและหมอกที่ลอยเหนือทะเลสาบ จึงทำให้หางเสียงของเขาลากยาว และฟังดูอ้อยอิ่งเล็กน้อย
ดุจดั่งเส้นไหมที่ปลิวไสวตามสายลมแผ่วเบา ร่อนเร่พเนจร พาลให้จิตใจผู้คนหวามไหว