ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 21 มีโฉนดที่ดินหรือไม่
เมื่อหรงจิ้นถ่ายทอดคำสั่งลงไป ซ่งหยวนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ปรบมือทันทีเพื่อเป็นสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปแจ้งให้ทางสนามล่าสัตว์ทราบ
ทุกคนต่างเผยสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย
มีข่าวลือว่าที่นี่เป็นพื้นที่ล่าสัตว์อรูสที่องค์รัชทายาททรงดูแลเอาใจใส่มาหลายปี สัตว์อสูรข้างในนั้นมีหลากประเภทและหลายระดับขั้น มันเทียบไม่ได้กับพื้นที่ล่าสัตว์อรูสทั่วไปอย่างแน่นอน!
หากโชคดี อาจจะได้ทำสัญญากับสัตว์อสูรหายากก็เป็นได้!
ฉู่เซียนหมิ่นประสานมือที่หน้าท้อง กิริยาสง่างามสมกับเป็นกุลสตรี แต่ทว่านางกลับควบคุมความตื่นเต้นในสายตามิได้
นางก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่ารัชทายาทจะทำเพื่อนางได้ถึงเพียงนี้
แม้กระทั่งวันเกิดพระองค์เอง ยังทรงเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่นาง!
แม้นางจะไม่เคยเข้าไปดู แต่นางก็ทราบชัดเจนดีว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพื้นที่ล่าสัตว์แห่งนี้ขนาดไหน สัตว์อสูรภายในนั้นจะไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวังแน่นอน!
แม้ตระกูลฉู่จะมีพื้นที่ล่าสัตว์เป็นของตนเอง แต่ก็ไม่มีสัตว์อสูรอะไรให้เข้าไปล่าอีกแล้ว นางไม่เห็นมันอยู่ในสายตาตั้งนานแล้ว
พรสวรรค์ของนางดีเลิศอยู่แล้ว หากนางทำสัญญากับสัตว์อสูรอันทรงพลังอีกสักตัวหนึ่ง มันก็จะติดกับง่ายๆ โดยมิต้องสงสัย
“หมินหมิ่น คราวนี้เจ้าจะสามารถแย่งสัตว์อสูรตัวที่ร้ายกาจที่สุดหรือไม่ คราวนี้ทุกคนจะได้เห็นความสามารถของเจ้า”
หรงจิ้นขยับเข้ามาใกล้นางอีกนิด ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
ฉู่เซียนหมิ่นพยักหน้าให้อย่างเขินอาย
“เสด็จพี่จิ้นทรงเมตตา หมินหมิ่นทราบดีเพคะ ฉะนั้นหมินหมิ่นจะพยายามอย่างสุดความสามารถเลยเพคะ”
หรงจิ้นหัวเราะร่วน
เขาชอบความฉลาดหลักแหลมของฉู่เซียนหมิ่น รู้ว่าตอนไหนควรพูดอะไรหรือควรทำสิ่งใด
เมื่อเห็นเขาอารมณ์ดี ฉู่เซียนหมิ่นจึงเกิดความรู้สึกหวั่นไหว
จากนั้น นางก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า เผยสีหน้าลำบากใจก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า
“น่าเสียดายจริงๆ ที่คราวนี้พี่สาวหม่อมฉันไม่ได้มาด้วยเพคะ”
หรงจิ้นชักสีหน้า และเผยความเย็นชาเล็กน้อย
ผู้คนแถวนั้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ก็รีบหันมาดู
น่าสนใจ!
ฉู่เซียนหมิ่นเอ่ยถึงพี่สาว มิใช่ใครอื่นไกล ย่อมเป็นคุณหนูใหญ่ฉู่หลิวเยว่แน่นอน!
ใครเล่าจะไม่ทราบบ้างว่านางมีสัญญาแต่งงานกับองค์ชายรัชทายาท แต่เพราะชีพจรของนางพิการแต่กำเนิด ดังนั้นนางจึงไม่เข้าตารัชทายาทตั้งแต่แรก
รัชทายาทไม่ได้เชิญนางมาร่วมงานวันเกิดหลายปีแล้ว ถ้าหากฉู่เซียนหมิ่นไม่เอ่ยถึง ยังจะมีใครจำนางได้อีกหรือ
หรงจิ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นางน่าเบื่อยิ่งนัก หากนางมาจะเป็นการทำลายบรรยากาศของทุกคนเสียมากกว่า”
คราวนี้ฉู่เซียนหมิ่นรู้ตัวว่าวาจานี้ไม่เหมาะสมจึงรีบขอโทษสำหรับความอึดอัดนี้
“เสด็จพี่จิ้นอย่าโกรธเลยเพคะ หมินหมิ่นก็แค่คิดว่าพี่สาวอยู่บ้านไม่มีสิ่งใดทำ ก็เลยคิดว่าหากนางได้มาเที่ยวด้วยกันก็คงจะดีเพคะ…”
ไม่มีสิ่งใดทำอย่างนั้นหรือ
คนไร้ความสามารถเช่นนั้นมีสิ่งใดให้ทำด้วยหรือ!
ทุกคนต่างลอบสบตากันด้วยความเยาะเย้ย
รัชทายาทโชคร้ายเหลือเกิน คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์มีตั้งมากมาย แต่กลับเลือกพระคู่หมั้นที่เป็นคนไร้ความสามารถ ช่างน่าอัปยศจริงๆ!
“เพราะหมินหมิ่นกังวลมากเกินไป พิธีหมั้นระหว่างเสด็จพี่จิ้นกับท่านพี่ใกล้จะมาถึงแล้ว ท่านพี่กำลังยุ่งๆ ก็เลยไม่มีเวลามาดูแลเรื่องนี้…”
เสียงของฉู่เซียนหมิ่นแผ่วลงเรื่อยๆ พร้อมกับศีรษะที่ก้มต่ำลง และน้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความเสียใจและเจ็บปวด
“หมินหมิ่นไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดหรือทำเรื่องพวกนี้…”
หรงจิ้นยิ้มเย็นในใจ
ก่อนหน้านี้ตอนที่ซ่งหยวนกลับมาก็ได้รายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้เขาฟังอย่างละเอียดแล้ว ฉู่หลิวเยว่ยังคิดที่จะจัดพิธีหมั้นอยู่อีกหรือ
ฝันไปเถอะ!
ค่ำคืนนี้ ในวังยังจัดเตรียมงานเลี้ยงวันเกิดสำหรับเขาเป็นพิเศษอีกด้วย เมื่อถึงคราวนั้นเขาจะอธิบายเรื่องนี้ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อแน่นอน เขาจะกำจัดเสี้ยนหนามอย่างคนไร้ค่าผู้นั้นให้สิ้นซาก!
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“จะเอ่ยถึงผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทำไม ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคต เจ้าแค่จัดการเรื่องของตัวเองก็พอแล้ว”
ฉู่เซียนหมิ่นรู้สึกดีใจ
นี่องค์ชายรัชทายาทหมายความว่า…จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉู่เซียนหมิ่นแล้วใช่หรือไม่
ก่อนหน้านี้ที่ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถึงสัญญาแต่งงานด้วยท่าทีสงบนิ่ง นางยังคิดอยู่เลยว่าองค์ชายรัชทายาทคิดอะไรกับฉู่หลิวเยว่จริงๆ วันนี้ดูแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็แค่ทำเป็นทำเป็นหน้าใหญ่ใจโตเท่านั้น!
เมื่อรับรู้ถึงสายตาอิจฉาริษยาของผู้คนที่อยู่รายล้อมเหล่านั้น ฉู่เซียนหมิ่นจึงพยักหน้าเชื่อฟัง และหลุบตาลงต่ำเพื่อบดบังความสะใจในแววตาของตนเอง
แน่นอนว่าบริเวณนั้นมีคนฉลาด เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรับบทสนทนาต่อ
“ฮ่าๆ! วันนี้องค์ชายทรงมีเมตตา พวกเราอย่าได้พลาดโอกาสนี้เชียวล่ะ!”
“ถูกต้อง! ประเดี๋ยวข้าไม่ยอมแพ้ให้แก่พวกท่านเป็นแน่!”
“มาสิ! นานแล้วที่พวกเราไม่ได้ประลองกัน ประเดี๋ยวข้าจะไปฝึกปรือกับพวกท่านสักหน่อย!”
ทุกคนต่างพากันหยอกล้อและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
หรงจิ้นแย้มยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว ตอนนี้พวกเขาคงจะปล่อยสัตว์อสูรออกมาแล้ว บัดนี้ได้ฤกษ์ขึ้นเขาแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็เป็นฝ่ายเดินนำหน้าทุกคนไปก่อน
ฉู่เซียนหมิ่นก็เดินตามหลังเขาไปเช่นกัน
ทุกคนต่างก็เร่งตามไปเพราะไม่อยากรั้งท้ายเอาไว้ข้างหลัง
เมื่อผ่านเข้าป่ามาได้ ทางข้างหน้าของทุกคนย่อมเปิดออก
แต่พวกเขาเห็นเพียงภูเขาสูงตระหง่าน เพราะป่ารกทึบจึงทำให้ภูเขาทั้งลูกเป็นสีเขียวขจี เมื่อสายลมพัดผ่านก็ทำให้ต้นสนเกิดการกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น
บริเวณเชิงเขาล้อมรอบไปด้วยรั้วเหล็กสีดำทมิฬสูงชัน และมียามรักษาการณ์เฝ้าทุกระยะห่างหนึ่งช่วง
ยิ่งไปกว่านั้น ยามรักษาการณ์พวกนี้มีร่างกายกำยำล่ำสัน ดูแล้วน่าจะมีพลังที่ไม่ธรรมดา
ทุกคนแอบอุทานอย่างอดไม่ได้
แค่ดูแลรักษาพื้นที่ล่าสัตว์เพียงแห่งเดียว เกรงว่าจะมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยทีเดียว
และเกรงว่าทั้งเมืองหลวงคงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำเช่นนี้ได้
อีกอย่างองค์ชายรัชทายาทให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ ระดับขั้นของสัตว์อสูรในนี้จะต้องไม่ต่ำต้อยแน่นอน!
แต่ซ่งหยวนที่เดิมตามหลังหรงจิ้นเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หัวใจเขากลับเต้นแรง ตึกตัก
เมื่อก่อนตอนที่เขาเป็นคนดูแลพื้นที่ล่าสัตว์แห่งนี้ ไม่ได้มีคนเยอะแยะมากมายขนาดนี้นี่นา!
เด็กหนุ่มที่เขาส่งให้มาก่อนเมื่อครู่นี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูของพื้นที่ล่าสัตว์ และกำลังโต้เถียงกับยามเฝ้าผู้รับผิดชอบประตูเสียงดังเอะอะ
“พวกเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ถึงได้บังอาจมาบุกรุกพื้นที่ล่าสัตว์ขององค์ชายรัชทายาท กำเริบเสิบสานยิ้งนัก พวกเจ้ามีกี่ชีวิตกัน ถึงได้กล้าจาบจ้วงองค์ชายรัชทายาท!”
ยามรักษาการณ์กลับมีสีหน้าแน่นิ่ง
“เจ้าบอกว่าพื้นที่ล่าสัตว์ตรงนี้เป็นขององค์ชายรัชทายาท ไหนล่ะหลักฐาน”
เด็กหนุ่มโมโหถึงขีดสุด
“ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าที่นี่เป็นที่ประทับขององค์ชายรัชทายาท พวกเจ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้หรืออย่างไร ข้าจะบอกเจ้าให้ อีกเดี๋ยวองค์ชายรัชทายาทจะเสด็จมาที่นี่ พวกเจ้ายังไม่รีบ…”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น โวยวายสิ่งใดกัน”
เมื่อซ่งหยวนเห็นสถานการณ์ผิดปกติจึงรีบเดินเข้าไปตวาดลั่น
เด็กหนุ่มคนนั้นหันหลังทันที ก็เห็นว่าซ่งหยวนมายืนอยู่ข้างหลังแล้ว
แล้วข้างหลังยังมีองค์ชายรัชทายาทและพวกพ้องอยู่ด้วย
ทันใดนั้นเขาก็เกิดความหวั่นวิตก หากทำเรื่องที่องค์ชายรัชทายาทบัญชาไม่สำเร็จ ไม่แน่เขาอาจจะจบชีวิตก็ได้!
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่คนที่รับใช้ในวังบูรพารู้จักอารมณ์โมโหร้ายของพระองค์ดีที่สุด!
เขารีบคุกเข่าลงกับพื้น
“ใต้เท้า ข้าไม่ทราบว่าผู้คนเหล่านี้มาจากที่ใดถึงเข้ามายึดครองพื้นที่ล่าสัตว์ แล้วตอนนี้ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปข้างในอีกด้วยขอรับ!”
ซ่งหยวนตกใจ มีคนกล้าหยามพระเกียรติขององค์ชายรัชทายาทด้วยหรือ สงสัยคงจะใช้ชีวิตได้น่าเบื่อเกินไปแล้ว
เขาหันไปมองสองคนนั้นก่อนจะตะคอกใส่ด้วยความโกรธ
“พวกเจ้าบ้าไปแล้ว…ไม่สิ พวกเจ้าเป็นใครกัน!”
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่คนของพวกเขา
ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงบางสิ่ง และมองดูยามรักษาการณ์คนอื่นๆ ในระยะไกลอย่างรวดเร็ว อย่างที่คาดไว้ พวกเขาล้วนเป็นคนแปลกหน้า!
ซ่งหยวนอ้าปากค้าง
มีคนกล้าเหยียบใต้จมูกพวกเขา แล้วยังเข้ามายึดครองพื้นที่ล่าสัตว์ของพวกเขาอีกหรือ
แต่ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีข่าวคราวสักนิดเลย!
“พวกเจ้าเป็นคนของผู้ใด ถึงได้กล้ามาแย่งครองพื้นที่ล่าสัตว์ขององค์ชายรัชทายาท”
น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวดังลั่นนี้ คนที่อยู่ข้างหลังองค์ชายรัชทายาทต่างก็ได้ยินชัดเจนกันหมดทุกคน
ทันใดนั้นบรรยากาศก็เกิดความเงียบสงบ
รอยยิ้มบนใบหน้าของหรงจิ้นค่อยๆ นิ่งค้า
“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เมื่อเห็นเขา ยามรักษาการณ์ทั้งสองคนก็ประสานมือโค้งคำนับ แต่วาจาของพวกเขากลับไม่สุภาพเลยสักนิด
“ถวายบังคมองค์ชายรัชทายาท ข้าขอกล่าวแทนเจ้านายของข้า ขอบพระทัยที่พระองค์ดูแลพื้นที่ล่าสัตว์แห่งนี้ให้ตั้งหลายปี ต่อไปคงไม่รบกวนพระองค์อีกอย่างแน่นอน”
หรงจิ้นเกือบสงสัยว่าตัวเองอาจฟังผิดไป
“ที่นี่เป็นพื้นที่ล่าสัตว์ของข้า เปลี่ยนเจ้าของตั้งแต่เมื่อใด ทำไมข้าถึงไม่รู้!”
ยามรักษาการณ์คนหนึ่งเงยหน้าขึ้นถาม
“องค์ชายรัชทายาท หากพระองค์บอกว่าที่นี่คือพื้นที่ล่าสัตว์ของพระองค์ เช่นนั้น พระองค์มีโฉนดที่ดินหรือไม่”