ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 24 นางก็คือฉู่หลิวเยว่!
ณ ตำหนักหมิงชุ่ย
แสงไฟสว่างไสวโชติช่วง แสงและเงาผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ณ เวลานี้บรรดาขุนนางในเมืองหลวงมาต่างรวมตัวกันที่นี่
เพราะว่านี่คืองานเลี้ยงวันเกิดขององค์ชายรัชทายาท!
หรงจิ้นเป็นพระราชโอรสองค์โต ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทตั้งแต่กำเนิด และได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท
ประกอบกับพรสวรรค์อันโดนเด่น พลังความสามารถไม่เป็นรองใคร เขาจึงได้รับความไว้พระทัยจากฝ่าบาทเป็นอย่างมาก
การมีสถานะสูงส่งเป็นที่เคารพเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่หลายคนคอยเลียแข้งเลียขา
เพียงแค่สามารถเป็นที่โปรดปรานขององค์ชายรัชทายาท อำนาจและตำแหน่งจะไปไหนได้
ทุกคนต่างทยอยเข้ามา จึงทำให้ทั้งตำหนักใหญ่เต็มไปด้วยความคึกคัก
เพราะฝ่าบาทและฮองเฮารวมถึงองค์ชายรัชทายาทยังเสด็จมาไม่ถึง ดังนั้นทุกคนจึงยังไม่สงวนกิริยามารยาทเท่าไรนัก
แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะสนุกสนานของทุกคน ทันใดนั้นก็เกิดบรรยากาศแปลกประหลาด
หลายคนมองไปที่ทางเข้าอยู่บ่อยครั้ง ราวกับกำลังรอใครบางคนเดินเข้ามาอยู่
“นี่ พวกท่านได้ยินมาหรือไม่ วันนี้องค์ชายรัชทายาทถูกฉีกหน้า!”
“ว่าอย่างไรนะ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องเลย”
“พี่เหยียน เรื่องนี้เขาลือกันไปทั่ว ท่านยังไม่รู้อีกหรือ ก็วันนี้น่ะ องค์ชายรัชทายาทบอกว่าจะเสด็จไปที่พื้นที่ล่าสัตว์…”
ทุกคนต่างซุบซิบนินทาด้วยสีหน้าตื่นเต้น ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่ากำลังนินทาเรื่องใดอยู่
ถึงอย่างไรตอนนั้นหรงจิ้นก็ได้เชิญแขกเหรื่อไปมากมาย แล้วฐานะแต่ละคนก็ไม่ใช่คนธรรมดา ต่อให้อยากปิดข่าวแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอก
ลือกันปากต่อปาก เผลอแป๊บเดียวก็รู้กันไปทั่วหมดแล้ว
“ได้ข่าวว่าคุณหนูตระกูลฉู่ผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถมิใช่หรือ กล้าดีอย่างไรถึงได้ขายพื้นที่ล่าสัตว์ มีใครไม่รู้บ้างว่าองค์ชายรัชทายาทให้ความสำคัญกับที่ดินผืนนั้นมากแค่ไหน ลงทุนลงแรงไปตั้งหลายปี นางขายไปง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ!”
“เฮ้อ คนไร้ความสามารถคนหนึ่งจะไปรู้เรื่องอะไรได้ คงคิดเรียกร้องความสนใจจากองค์ชายรัชทายาทกระมัง”
“ฮ่าๆ! นี่ก็ช่างโง่เขลาเกินไปแล้ว หากนางเป็นฝ่ายคืนที่ดินให้องค์ชายรัชทายาทก่อน ไม่แน่องค์ชายอาจจะยังเหลือความสงสารให้นางอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ นางได้ล่วงเกินจนรัชทายาททรงกริ้วจริงๆ แล้วล่ะ!”
“องค์ชายรัชทายาทรังเกียจเดียดฉันท์สัญญาแต่งงานนี้มาตั้งนานแล้ว ข้าว่าวันนี้…น่าจะมีอะไรสนุกๆ ให้ได้ดูกันแล้วล่ะ!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอกตำหนัก
“ฉู่เซียว ผู้อาวุโสตระกูลฉู่มาถึงแล้ว”
บรรยากาศภายในตำหนักใหญ่โตพลันเงียบสงบ ทุกคนต่างรีบหันไปมองทันที
พวกเขาเห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
ผู้ที่เดินนำหน้าคือฉู่เซียว ผู้อาวุโสของตระกูลฉู่
ข้างหลังของเขานั้นคือฉู่เยี่ยนที่มาพร้อมกับฮูหยินสองสามีภรรยาและฉู่เซียนหมินผู้เป็นบุตรสาว
วันนี้ฉู่เซียนหมิ่นสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวหิมะปักลวดลายดอกบัวสีชมพู ซึ่งขับให้ใบหน้าของนางที่สวยสดงดงามอยู่แล้ว ยิ่งดูงดงามมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
หากเปรียบเทียบทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว รูปร่างหน้าตาของนางก็จัดอยู่ในลำดับต้นๆ กอปรด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น จึงทำให้นางมีฉายาว่า ‘โฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง’
เมื่อนางปรากฏตัว ทุกคนต่างก็ชายตามองด้วยแววตาเป็นประกาย
ทว่ามิมีผู้ใดกล้าหลงเสน่ห์นางจนออกนอกหน้า
เพราะนางคือคนที่องค์ชายรัชทายาทโปรดปราน ใครจะกล้าแข่งกับรัชทายาทกันเล่า
จากนั้นทุกคนก็หันไปมองข้างหลังพวกเขา ซึ่งเป็นใบหน้าของบุรุษคนหนึ่งที่พวกเขาพอคุ้นเคยอยู่บ้าง
“ฉู่หนิงก็มาด้วยหรือ”
ใครบางคนเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ
เมื่อนานมาแล้ว ฉู่หนิงนับว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงเกียรติยศคนหนึ่งในเมืองหลวง แต่หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บแล้วกลายเป็นคนพิการ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัลอีก
วันนี้ขาได้มาปรากฏตัวกะทันหัน จึงทำให้ทุกคนจำขึ้นมาได้ว่ายังมีบุคคลผู้นี้อยู่
“เขาเป็นพ่อของฉู่หลิวเยว่อย่างไรเล่า สงสัยวันนี้คงมาขออภัยโทษกระมัง…”
บางคนลอบคาดเดาในใจ
สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่ฉู่หนิง แต่เขากลับมีสีหน้านิ่งเรียบ ราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของทุกคนที่มองมาอย่างสำรวจ
และข้างกายเขายังมีเด็กสาวเดินตามมาอีกหนึ่งคน
ดูท่าทางนางน่าจะอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี ร่างผอมบางสวมอาภรณ์สีแดง แต่กลับเดินหลังตรงสง่างาม
มองเพียงปราดเดียว ทุกคนก็แน่ใจว่าแม่นางน้อยคนนี้คือฉู่หลิวเยว่!
แทบจะทุกคนที่อยู่ในนั้นจ้องมองไปที่นาง
เป็นคนไร้ความสามารถมาตั้งแต่กำเนิด ไร้ตัวตนมานานหลายปี แต่กลับเอาโฉนดที่ดินล่าสัตว์ไปขายโดยพลการ ทำให้องค์ชายรัชทายาทต้องเสื่อมเสียเกียรติ!
สิ่งนี้ไม่ทำให้ทุกคนอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับนางได้อย่างไร
บรรยากาศภายในตำหนักใหญ่โตยิ่งเงียบสงบมากขึ้น ดูเหมือนอากาศในนี้จะถูกแช่แข็งไปแล้ว
แสงไฟก็สว่างส่องเงาให้กระทบลงมา
นางก้าวไปข้างหน้า แสงสว่างส่องประกายลงมาบนใบหน้าของนาง
เกิดเป็นภาพความงดงามน่าหลงใหลในสายตาของทุกคน
ใบหน้าเรียวงามขาวนวลลออ สะท้อนกลับเข้าไปในสายตาของทุกคน
คิ้วเรียวโค้งสวยราวกับเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ จมูกโด่งได้รูปเชิดรั้นและริมฝีปากแดงระเรื่อ
ช่างเป็นใบหน้าที่สวยสดงดงามอย่างยิ่ง!
สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือดวงตาดำขลับแต่เปล่งประกายเจิดจ้า สะอาดสดใสและสงบนิ่ง
เพียงได้ยลโฉมครั้งเดียวก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะจมดิ่งไปกับความงามนี้โดยไม่รู้ตัว
ใบหน้าของนางช่างดูอ่อนเยาว์ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จินตนาการได้ไม่ยาก หากนางเติบโตขึ้นจะยิ่งมีใบหน้างดงามล้ำเลิศเพียงใด!
ทันใดนั้นบรรยากาศภายในตำหนักใหญ่ก็เกิดความอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าคนไร้ความสามารถของตระกูลฉู่ผู้นั้น จะทำให้ผู้คนไม่สามารถละสายตาออกไปจากใบหน้านางได้เลย
เมื่อฉู่เซียนหมิ่นสังเกตได้ถึงจุดนี้ก็เกิดไฟสุมทรวง นางกำหมัดแน่นภายใต้แขนเสื้อ เล็บที่ตัดแต่งมาอย่างสวยงามจิกเข้าอุ้งมือจนเจ็บแปลบ
เดือนนี้ที่ผ่านมา ไม่รู้ผีสางตนใดเข้าสิงฉู่หลิวเยว่ ไม่ได้มีเพียงแค่อุปนิสัยที่เปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวด แต่นางได้เปลี่ยนไปทั้งตัวเลยต่างหาก!
จากเดิมที่มีใบหน้าเหลืองซีด แต่ตอนนี้กลับดูขาวผุดผ่องและชุ่มชื้นขึ้นอย่างน่าแปลกประหลาด ผิวพรรณอิ่มเอิบ ไร้สีหน้าขี้ขลาดเขินอาย แต่กลับมีความสุขุมเยือกเย็นเข้ามาแทนที่อย่างไม่อาจอธิบายได้
เห็นได้ชัดว่าโครงหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก แต่ดูแล้วกลับสวยกว่าเมื่อก่อนไม่รู้เท่าไหร่!
ก่อนที่นางจะมาก็กังวลอยู่บ้างว่าจะถูกฉู่หลิวเยว่แย่งความสนใจจากผู้อื่นไป แล้วมันก็กลายเป็นเช่นนี้จริงดั่งคาด
ลู่เหยาเห็นสีหน้าผิดปกติของผู้เป็นบุตรสาวของตนเอง นางจึงรีบดึงนางให้ตามมาเงียบๆ
ต่อให้ฉู่หลิวเยว่งดงามกว่าเมื่อก่อนนิดหนึ่งแล้วจะทำไม นางเป็นแค่คนไร้ความสามารถคนหนึ่ง ไม่ได้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะเป็นพระชายาองค์ชายรัชทายาทตั้งแต่แรก!
ฉู่เซียนหมิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กว่าจะข่มความริษยาในใจได้นั้นไม่ง่ายเลยทีเดียว
วันนี้จะต้องกำจัดนางให้ได้แน่นอน!
จนกระทั่งคนของตระกูลฉู่เข้ามานั่งที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงได้สติกลับมาแล้วเริ่มกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง
บรรยากาศภายในตำหนักใหญ่กลับคืนสู่ความครื้นเครงเหมือนก่อนหน้านี้
ทุกคนดูมีความสุขสนุกสนาน
และจุดสนใจของพวกเขาก็ยังคงเป็นฉู่หลิวเยว่
“คิดไม่ถึงว่าคนไร้ความสามารถของตระกูลฉู่ผู้นั้นจะเกิดมางดงามล้ำเลิศถึงเพียงนี้…ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย”
“โอ้…หรือว่าท่าน…คิดอะไรกับนาง…”
“ฮ่าๆ! องค์ชายรัชทายาทคงไม่อภิเษกกับนางจริงๆ หรอก พวกเราแค่ลองคิดแล้วจะทำไมเล่า ถึงอย่างไรคนงามนั้นหายากยิ่ง!”
บรรดาลูกหลานชายหนุ่มจากตระกูลชนชั้นสูงพากันหัวเราะ
สีหน้าของฉู่หนิงเย็นเยียบ ในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้น แต่กลับถูกฉู่หลิวเยว่คว้ามือจับเบาๆ
เมื่อหันกลับมามองก็เห็นว่านางส่ายหน้าให้กับเขา
คนสำคัญของงานนี้หรงจิ้น สำหรับคนพวกนี้…จริงๆ แล้วนางไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองอะไร
เมื่อฉู่หนิงเห็นสีหน้านิ่งสงบของนาง เขาจึงไม่รั้นอีก
เขารู้ว่าตอนนี้บุตรสาวของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว นางจะต้องมีความคิดของนางอยู่แล้วแน่นอน
ฉู่หนิงไม่ได้สังเกตเลยว่า เขาเริ่มให้ฉู่หลิวเยว่กลายเป็นที่พึ่งสำคัญไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
“องค์ชายรัชทายาทเสด็จ!”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น บรรยากาศของตำหนักใหญ่ก็เงียบสงบลงอีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่หันไปมอง และร่างในอาภรณ์สีม่วงปรากฏขึ้นต่อหน้านาง
ใบหน้านั้นรูปงามหล่อเหล่า แต่เสียดายที่แววตาชั่วร้ายไปหน่อย เมื่อสบตาจึงทำให้รู้สึกขยะแขยง
นางหรี่ตา
องค์ชายรัชทายาทหรงจิ้น!
เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกตัวว่านางกำลังมองเขาอยู่ เขาก็หันมามองอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองต่างสบตากัน
ดวงตาของหรงจิ้นเป็นประกายวูบไหวด้วยความตกตะลึง
สาวงามเช่นนี้ เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย
แม้แต่ฉู่เซียนหมิ่นยังดูจืดชืดไปเมื่อเปรียบเทียบกับนาง!
แต่ครู่ต่อมา เขาสังเกตเห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นกำลังนั่งอยู่บนตำแหน่งที่นั่งของตระกูลฉู่!
เขาจึงนึกขึ้นได้ในทันที
นางก็คือ…ฉู่หลิวเยว่!