ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 29 ยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย
ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจ
นี่หลีอ๋อง…
แต่หรงซิวกลับมองไปทางจักรพรรดิจยาเหวิน แล้วประสานมือคำนับ
“ลูกมาสาย เสด็จพ่อโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวจบเขาก็กระแอมไอออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดูท่าทางน่าจะป่วยจริงๆ
จักรพรรดิจยาเหวินส่ายพระพักตร์ ดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก
“ร่างกายของเจ้าอ่อนแอตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ เหตุใดต้องฝืนสังขารมาด้วย”
หรงซิวเหลือบมองหรงจิ้นแวบหนึ่ง
“ในฐานะอนุชา งานเลี้ยงวันเกิดเสด็จพี่ทั้งที ลูกจะไม่มาร่วมงานได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเจินแอบเยาะเย้ยในใจ แต่ภายนอกกลับแย้มยิ้ม
“น้องเจ็ดเกรงใจเกินไปแล้ว นี่เป็นแค่งานเลี้ยงวันเกิดเท่านั้น หากเหตุผลนี้ทำให้กระทบกระเทือนสุขภาพร่างกายของเจ้า ก็คงเป็นความผิดของข้าเอง รีบนั่งเถิด!”
หรงซิวอ่อนน้อมดั่งสายน้ำไหล เขาจึงนั่งลงข้างองค์ชายสามหรงจิ่ว
จากนั้นเขาปลดเสื้อคลุมออกจากเรือนร่าง แล้วก็ไออีกหลายครั้ง
ดูเหมือนการเดินทางไปมาในครั้งนี้ทำให้เขาทรมานอย่างมาก
ทุกคนต่างมองหน้ากัน
หลีอ๋องผู้นี้ดูร่างกายไม่แข็งแรงจริงๆ ด้วย
หญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์หลายคนมีสีหน้าผิดหวัง
ต่อให้รูปงามกว่านี้ แต่ร่างกายอ่อนแอขนาดนี้ก็ไม่มีอนาคตจริงๆ
เสียดายความหน้าตาดี ทั้งยังมีสง่าราศี…
แต่ดูเหมือนว่าหรงซิวไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ หลังจากเขานั่งลงก็ทักทายคนรอบข้าง แล้วอยู่เงียบๆ
ดูแล้วช่างเป็นสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนราวกับหยก
หรงเจินไม่เคยมีความประทับใจกับพี่ชายคนที่เจ็ดคนนี้ แต่เมื่อนางเห็นเขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้ฉู่หลิวเยว่ นางก็รู้สึกรังเกียจเขาขึ้นมาทันที
นางหัวเราะเยาะแล้วหันไปมองหรงซิวกับฉู่หลิวเยว่ก่อนจะถอนสายตากลับมา
“น้องเจ็ดดูเป็นห่วงเป็นใยคุณหนูใหญ่ฉู่เหลือเกิน หรือว่า…พวกเจ้ารู้จักกันตั้งนานแล้ว”
หรงซิวยิ้มอ่อน
“กระหม่อมเพิ่งกลับเมืองหลวงไม่ถึงเดือน วันนี้ก็เพิ่งออกจากจวนเป็นครั้งแรก จะไปรู้จักผู้อื่นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเจินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เช่นนั้นเจ้าช่วยนางทำไม”
หรงซิวหยุดครู่หนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้ม
“กระหม่อมแค่คิดว่าวันนี้คือวันเกิดของเสด็จพี่ หากมีเลือดก็คงอัปมงคล อีกอย่าง…กระหม่อมก็มาสาย แล้วก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นถึงได้กลายเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เขารินชาให้กับตัวเอง แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง
“หากกระหม่อมจำไม่ผิด คุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่…ดูเหมือนจะมีสัญญาหมั้นหมายมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ว่าใครถึงได้กล้าทำกับว่าที่พระชายาในงานเลี้ยงวันเกิดรัชทายาทเช่นนี้”
หรงเจินสะอึก
สีหน้าของหรงจิ้นพลันบูดบึ้งด้วยเช่นกัน
นี่เป็นการกล่าวหาว่าเขาปล่อยให้ผู้อื่นรังแกฉู่หลิวเยว่ใช่หรือไม่
เมื่อฮองเฮาเห็นสถานการณ์ผิดปกติจึงรีบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หลีอ๋องเข้าใจผิดแล้ว หรงเจินได้เจอนางก็เหมือนเจอสหายเก่า ก็เลยอยากมอบอสูรงูหลามทองคำให้แก่นาง เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ก็แค่เป็นการสั่งสอนอสูรงูหลามทองคำเท่านั้น”
ดูเหมือนหรงซิวจะแปลกใจเล็กน้อย
“สั่งสอนอสูรงูหลามทองคำหรือพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ฉู่มีชีพจรที่ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่กำเนิดมิใช่หรือ แล้วจะกำราบอสูรงูยักษ์นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ดูเหมือนคำถามที่เขาสงสัยจะทำให้ฮองเฮาและคนอื่นๆ เกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
หรงจิ้นขมวดคิ้ว เขาคิดว่าหรงซิวกำลังจงใจทำให้ตัวเองไม่สามารถกอบกู้หน้าตาขึ้นมาได้
แต่เมื่อเห็นเขาทำหน้ามึนงง ดูเหมือนว่าเขาจะถามประโยคนี้โดยไม่รู้ตัวจริงๆ
ถึงอย่างไร หรงซิวคงไม่รู้เรื่องพื้นที่ล่าสัตว์นั่นหรอก
ทันใดนั้น หรงจิ้นก็แยกไม่ออกว่าตกลงเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ก็เลยไม่ตอบสิ่งใด
แต่หรงเจินกลับโต้แย้งอย่างอดไม่ได้
“เห็นกันชัดๆ ว่านางเป็นฝ่ายผิดก่อน นางเอาโฉนดที่ดินของเสด็จพี่รัชทายาทไปขายให้กับผู้อื่น การกระทำเช่นนี้ ถึงจะเรียกว่าเกินกว่าเหตุ!”
หรงซิวเงียบไปครู่หนึ่ง ถูถ้วยชาในมือแล้วเอ่ยถาม
“ในเมื่อเป็นโฉนดที่ดินขององค์รัชทายาท เหตุใดนางจึงสามารถเอาไปขายได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในตำหนักใหญ่พลันเงียบกริบ
แน่นอนว่าทุกคนรู้ดีว่าชื่อที่อยู่ในโฉนดที่ดินเป็นชื่อฉู่หลิวเยว่ แต่ถ้านางมีสมองสักนิด นางน่าจะรู้ว่าพื้นที่ล่าสัตว์นี้มีความสำคัญต่อองค์ชายรัชทายาทมากแค่ไหน!
นางขายเปลี่ยนมือผู้ถือครอง ถือเป็นการต่อต้านองค์ชายรัชทายาทอย่างใหญ่หลวง
องค์รัชทายาททรงกริ้ว เห็นได้ชัดว่าวันนี้ต้องการจัดการนาง มิฉะนั้นจะเชิญคนไร้ความสามารถของตระกูลฉู่มางานเลี้ยงในวังเช่นนี้ได้อย่างไร
ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี แม้แต่จักรพรรดิและฮองเฮาก็ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง
แต่สถานะอย่างหลีอ๋องพูดเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัลเยี่ยงนี้ ถือเป็นการสาวไส้รัชทายาทให้กากินอย่างเห็นได้ชัด
ฉู่หลิวเยว่ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ได้จากเขาเชือดเลือดที่เปื้อนมือช้าๆ แล้วลอบยกยิ้มมุมปาก
ในเมื่อเขามีน้ำใจช่วยเหลือนาง เช่นนั้นนางก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป
“หลีอ๋องเพคะ พระองค์น่าจะยังมิทราบ แม้ชื่อในโฉนดที่ดินจะเป็นชื่อหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันกับองค์ชายรัชทายาทยังมิได้เข้าพิธีหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ การขายโฉนดไปโดยพลการนั้นเป็นความผิดของหม่อมฉันจริงๆ แต่ก่อนหน้านี้องค์หญิงสี่ได้ทรงตกลงแล้ว เพียงแค่หม่อมฉันสามารถกำราบอสูรงูหลามทองคำได้ เรื่องนี้ก็จะถือเป็นโมฆะ ใช่ไหมเพคะ องค์หญิงสี่”
หรงเจินเบิกตาอ้าปากค้าง
“ข้าพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่! เจ้าอย่าไปเชื่อคำกลับกลอกของนางนะ!”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองจักรพรรดิจยาเหวินด้วยความมึนงง
“ฝ่าบาท หรือว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้ทรงหมายความเช่นนี้เพคะ”
จักรพรรดิจยาเหวินคิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะเอ่ยถามตรงๆ เช่นนี้ เขาจึงรู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันที
เขากระแอมไอก่อนจะสะบัดมือ
“ก็แค่พื้นที่ล่าสัตว์เท่านั้น ในเมื่อฉู่หลิวเยว่สามารถกำราบอสูรงูหลามทองคำได้ตามสัญญา เช่นนั้นก็ให้แล้วๆ กันไป หรงเจิน ต่อไปเจ้าอย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก!”
นี่ไม่ได้เป็นเพียงการตักเตือนหรงเจินเท่านั้น แต่เป็นการเตือนทุกคนในที่นี้กลายๆ อีกด้วย
“เพคะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่คิดปล่อยไปง่ายๆ นางถึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วแสดงความกล้ำกลืนฝืนทนออกมา
“ฝ่าบาท ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่านี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทพระราชทานในปีนั้นจึงหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง หากหม่อมฉันไม่ถูกบีบให้จนตรอก ฉู่หลิวเยว่ก็คงไม่ขายที่ดินผืนนั้นเด็ดขาดเพคะ”
จักรพรรดิจยาเหวินตกตะลึง
“ทำไม มีเรื่องอะไรแอบแฝงในนี้หรือเปล่า”
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ
“ฝ่าบาททรงไม่ทราบ เพราะหม่อมฉันมีชีพจรพิการมาตั้งแต่กำเนิด ประกอบกับไม่กี่ปีมานี้ท่านพ่อได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นพวกเราจึงใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เหตุเพราะทนไม่ไหว จึงจำเป็นต้องขายที่ดินผืนนั้นเพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอดต่อไปเพคะ…”
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร!”
เมื่อผู้อาวุโสได้ยินเช่นนั้นจึงพรวดพราดลุกขึ้นตวาดเสียงดัง
นี่นางกำลังลากให้ตระกูลฉู่พลอยเดือดร้อนไปด้วยอย่างนั้นหรือ
จักรพรรดิจยาเหวินปราดตามองผู้อาวุโสตระกูลฉู่ด้วยความไม่พอใจ
“ให้นางพูดต่อ!”
ผู้อาวุโสเก็บงำความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยแทรกต่อหน้าพระพักตร์อีก
“หม่อมฉันกับท่านพ่อเคยไปขอความช่วยเหลือจากองค์ชายรัชทายาท แต่…แม้กระทั่งคนขององค์รัชทายาทยังไม่มีสิทธิ์เข้าพบ เดิมทีก่อนหน้าที่จะขายโฉนดที่ดิน หม่อมฉันเคยคิดเข้าไปปรึกษาหารือกับองค์ชายรัชทายาท แค่กลับโดนปฏิเสธอยู่ด้านนอก ดังนั้น…”
เมื่อหรงจิ้นได้ยินก็ยิ่งหน้าซีด
ฉู่หลิวเยว่นี่ปั้นน้ำให้เป็นตัวเก่งจริงๆ!
“หลิวเยว่ทำไปเช่นนั้น เพราะช่วยไม่ได้จริงๆ ฝ่าบาททรงเมตตาด้วยเพคะ”
ฉู่หลิวเยว่พูดจริงบ้างเท็จบ้าง แต่ทุกคนในตำหนักใหญ่ต่างพากันเชื่อคำพูดของนาง
ทุกคนในเมืองหลวงก็พอจะทราบว่าฉู่หลิวเยว่สองพ่อลูกใช้ชีวิตกันอย่างไร
มีความเป็นไปได้ว่าองค์ชายรัชทายาทจะปฏิเสธนางอยู่ด้านนอก
องค์ชายรัชทายาทรังเกียจเดียดฉันท์นาง พระองค์ทรงปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา…
จักรพรรดิจยาเหวินหันไปมองทางหรงจิ้น สีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิมหลายส่วน
“รัชทายาท แม้เจ้าจะทุ่มเทกายใจดูแลพื้นที่ล่าสัตว์นั้น แต่ถ้าเจ้าไม่ได้สนใจไยดีฉู่หลิวเยว่หลายปี ไม่แน่นางก็อาจจะไม่ทำเช่นนี้ก็ได้ หากข้าจำไม่ผิด นางเกิดทีหลังเจ้าสองวัน เมื่อถึงตอนนั้น งานหมั้นหมายของพวกเจ้า…”
หรงจิ้นใจหล่นวูบ
มีความเป็นไปได้ว่าจักรพรรดิจยาเหวินจะให้เขาแต่งงานกับฉู่หลิวเยว่เพื่อรักษาเกียรติราชวงศ์
ไม่ได้เด็ดขาด!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หรงจิ้นก็ลุกขึ้นมา
“เสด็จพ่อ ลูกมีเรื่องจะกราบทูลขอร้องพ่ะย่ะค่ะ”
เขาชี้ไปที่ฉู่หลิวเยว่
“ลูกต้องการยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับฉู่หลิวเยว่พ่ะย่ะค่ะ!”