ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 3 นางยังไม่ตาย!
ในทะเลสาบแห่งนี้ ยังมีชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่!
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตะลึง…นางมาอยู่ตรงนี้ตั้งนาน ทำไมถึงไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย!
แม้นางจะไม่ได้มีพลังความสามารถเทียบเท่าอดีตชาติ แต่สายตาและความไวต่อสัมผัสยังคงมีอยู่เช่นเดิม ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถจัดการพวกซ่งเหลียนสามคนได้ด้วยตัวคนเดียวหรอก
พลังความสามารถของชายหนุ่มผู้นี้จะต้องแข็งแกร่งเป็นแน่
“สถานที่แห่งนี้เป็นของท่านเองหรือ”
นางเอ่ยปากด้วยความระมัดระวัง
เสียงของสายน้ำดังขึ้น ฉู่หลิวเยว่จึงมองเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่โผล่ขึ้นจากน้ำได้อย่างชัดเจน แม้จะมีหมอกสีขาวกลางกั้น แต่ก็ยังสามารถเห็นรูปร่างของเขาได้
ไหล่ตรง แผ่นหลังกว้าง และ…สัดส่วนโค้งเว้าที่จมอยู่ในทะเลสาบ
ฉู่หลิวเยว่กำปิ่นปักผมในมือแน่น แล้วยังคงจ้องเขาเขม็ง
นางพึ่งกลับชาติมาเกิด ก็ไม่อยากตายไปอย่างมึนงงอีกครั้ง
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำก็ดังขึ้นมา
“น่ามองขนาดนั้นเชียวหรือ”
เพียงเท่านั้น เมื่อสายลมพัดผ่านมา หมอกสีขาวก็พลันสลายหายไป
รูปร่างของชายหนุ่มผู้นั้นก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนเขาต้องการพบหน้ากันอย่างตรงไปตรงมา
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเย็นชาในใจ
นางไม่เคยเห็นว่าบนโลกนี้มีอะไรให้ต้องหวั่นกลัว แล้วยังจำเป็นกลัวคนผู้นี้ด้วยหรือ
“ไอหมอกบดบัง ข้าไม่รู้หรอกว่าน่ามองหรือไม่ มิสู้ให้ข้ามองท่านให้ชัดเจนกว่านี้ แล้วค่อยให้คำตอบท่านดีหรือไม่”
หมอกขาวที่ลอยล่องมาแต่เดิมดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
อีกฝ่ายก็คงคาดไม่ถึงว่าเด็กสาวเช่นนี้ จะสามารถเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้ได้
“หากเจ้าอยากดูจริงๆ ข้าก็ยินดี แต่…กลัวว่ายังไม่ทันที่เจ้าจะได้เห็นกันชัดๆ ปิ่นปักผมในมือของเจ้าคงแทงอกข้าตายเสียก่อนกระมัง”
ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะมีแววขบขันในน้ำเสียงอยู่หลายส่วน
ฉู่หลิวเยว่ไม่พูดสิ่งใด
เพราะพลังของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งยิ่งนัก ทั้งยังเป็นคนฉลาดมากอีกด้วย เพียงเขามองปราดเดียวก็มองความคิดของนางได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เห็นได้ชัดว่ารับมือไม่ไหว
กับคนประเภทนี้ แน่นอนว่านางไม่เลือกที่จะใช้ไม้แข็ง
นางกลอกตา และนางก็ม้วนผมขึ้นอีกครั้งอย่างลวกๆ ก่อนที่จะสอดปิ่นเข้าไปในมวยผมอย่างใจเย็น
“ขออภัย ข้าไม่รู้ว่าเป็นพื้นที่ของท่าน เมื่อครู่ข้าคิดว่าที่นี่ไม่มีคน จึงได้บุกรุกเข้ามา หากเป็นการรบกวน คุณชายได้โปรดอย่าถือสาเลยเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มผู้นั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
“ไม่เป็นไร”
ฉู่หลิวเยว่แปลกใจเล็กน้อย อีกฝ่ายปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ
นางนึกสงสัยในใจ โดยที่ไม่พูดอะไรไปสักพักหนึ่ง
“แม้ทะเลสาบคลื่นมรกตจะดีต่อร่างกาย แต่ชีพจรของเจ้าติดขัด ถึงอย่างไรก็อย่าแช่น้ำนานจะดีกว่า”
ชายหนุ่มพูดพลางเป็นฝ่ายลุกเดินขึ้นฝั่งก่อน เมื่อเห็นว่าเขากำลังเคลื่อนไหวอย่างไร เขาก็สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าจะมีหมอกขาวบดบัง แต่ก็สามารถมองเห็นเพียงเงาร่างของคนผู้หนึ่งเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ยังคงมองเห็นรูปร่างทรวดทรงของชายหนุ่มได้อยู่ดี ช่างรูปงามไม่เป็นรองใครจริงๆ
นางไม่อิดออดอีก แล้วรีบสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วเพื่อจะได้รีบออกไปจากที่นี่
ไม่ควรหาเรื่องกับชายหนุ่มผู้นี้!
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวขาออกไป เสียงของชายหนุ่มผู้นั้นก็ดังมาจากข้างหลังอีกครั้ง
“แม่นางน้อย ถึงแม้ข้าจะไม่คิดเอาเรื่อง แต่ข้าจำเป็นต้องรู้ ว่าใครกันที่บุกรุกเขตของข้าในวันนี้”
น้ำเสียงเรียบนิ่งมั่นคง แต่กลับมาพร้อมความองอาจที่ใครก็มิสามารถโต้แย้งได้
นี่ต้องการให้นางเปิดเผยตัวตนหรือ
ฉู่หลิวเยว่หันกลับมาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงที่ไม่ไกลนัก
นางค่อยๆ กลั้นหายใจ
ครั้งเมื่อยังเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ นางเคยพบเจอชายหนุ่มรูปงามมาไม่รู้เท่าไหร่ และเจียงอวี่เฉิง ซึ่งเป็นว่าที่พระสวามีของนางยังเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์เทียนลิ่งอีกด้วย
แต่ทว่า เมื่อนางเห็นชายหนุ่มผู้นี้ครั้งแรก ก็อดตกตะลึงหวั่นไหวในใจไม่ได้
คิ้วงามดั่งดาบคู่คมเข้มเด่นชัด จมูกโด่งสันเป็นคม ดวงตาเปล่งประกายดั่งดารา ราวกับว่าดวงดาราที่สวยที่สดบนท้องฟ้ายังมิอาจถึงพันในหนึ่งส่วนของดวงตาลุ่มลึกคู่นั้น เพียงชำเลืองมองเพียงครั้งเดียวก็จะทำให้ผู้คนจมดิ่งลงสู่แสงสว่างนั้นอย่างบ้าคลั่ง
ริมฝีปากแดงเข้มโค้งหยักได้รูปไร้ที่ติเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ที่ทำให้ริมฝีปากบางเฉียบเห็นเด่นชัดก็เพราะตรงกลางริมฝีปากที่มีสีดั่งลูกท้อ[1]เข้มอยู่หลายส่วน
ดวงตาของเขาคือค่ำคืนแห่งดวงดาวที่กระจ่างแจ่มชัดที่สุด แต่ทว่าริมฝีปากของเขากลับสดใสดั่งวสันต์ฤดูอันแสนอบอุ่น
ทั้งเรียบง่ายทั้งลึกลับ ทั้งอ่อนโยนสง่างามทั้งยังดูสูงส่งน่าเกรงขาม ดูเหมือนเป็นความขัดแย้งที่มิอาจมองเห็น เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เหมือนสามารถสะกดได้ทุกสายตาและทำให้คนคลั่งไคล้
ฉู่หลิวเยว่มองสำรวจเขาปราดหนึ่ง แล้วก็แอบพ่นคำหนึ่งในใจเงียบๆ
ปีศาจ!
“ฉู่หลิวเยว่”
นางไม่มีความคิดที่จะปิดบังสถานะของตนเอง ถึงอย่างไรดูท่าทางอีกฝ่ายก็เป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง หากโกหกไม่แนบเนียนก็จะเป็นการเพิ่มปัญหาได้
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามก็กำลังมองนางเช่นกัน แต่ทว่าสายตาของเขาราวกับแสงจันทรา เขาปราดมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง จนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของนาง
“ในเมื่อเสวียเสวี่ยปล่อยให้เจ้าเข้ามาได้ คราวนี้ก็ช่างมันเถอะ”
เสวียเสวี่ย?
คือสิงโตขาวตัวนั้นเองหรือ
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็เดินไปข้างหน้า แล้วก้าวมาข้างหน้าฉู่หลิวเยว่ทีละก้าว
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง แต่ยังพยายามควบคุมตนเองไม่ให้แสดงอาการต่อต้าน แล้วมองดูเขาอย่างเงียบๆ
จากนั้นเขาก็ยืนนิ่ง ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือออกมา…เรียวนิ้วอบอุ่นลูบไล้แก้มของนางแผ่วเบา
“คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉู่ ก็คงมิอาจกลับไปด้วยรอยคราบเลือดอันน่าอนาถเช่นนี้”
ฉู่หลิวเยว่อึ้งไปชั่วขณะ แล้วก้มหน้ามองรอยเลือดจางๆ ที่ติดบนปลายนิ้วของเขา
ทั้งสองสอดประสานลมหายใจเพียงชั่ววูบหนึ่ง
น้ำเสียงแหบต่ำของเขาทำให้แก้วหูปั่นป่วน
“แล้วก็…ข้าชื่อหรงซิว”
ฉู่หลิงเยว่อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าควรไปได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปาก แม้ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดการสิ่งใดอยู่ แต่ก็…
“ขอบใจท่านมาก”
กลับตระกูลฉู่ ยังมีศึกหนักรออยู่!
…
จนกระทั่งร่างเพรียวของหญิงสาวหายไปในป่าจนไร้เงา หรงซิวจึงจะถอนสายตาหันไปมองสิงโตขาว
รอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของเขาค่อยๆ จางลงไปหลายส่วน
“เจ้าต้องการเอาใจนาง ถึงกับต้องขายเจ้านายเชียวหรือ”
สิงโตขาวแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว
“หากเจ้าแกล้งตายล่ะก็ คราวหน้าข้าจะบอกมันให้ อันที่จริงเจ้ายังมีอีกชื่อเรียกว่าฮวาฮวา”
“โฮก!”
เจ้าสิงโตขาวลุกขึ้นโดยพลัน
รู้ทั้งรู้ว่ามันชื่อเสวี่ยฮวา หมายถึงเกล็ดหิมะ ไม่ได้ชื่อฮวาฮวาสักหน่อย! หากคนได้ยินเข้าคงอับอายขายขี้หน้าเจ้าเดรัจฉานตัวนี้เป็นแน่!
“ช่วงนี้เมืองหลวงคงครึกครื้นน่าดู ข้าไม่ถือสาเอาความเจ้าก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นดวงตาของเจ้าเสวี่ยฮวาก็เปล่งประกาย
…
บรรยากาศภายในห้องโถงจวนตระกูลฉู่นั้นช่างเย็นเฉียบ
สีหน้าของฉู่หนิงเต็มไปด้วยความกังวล เขาเดินกระสับกระส่ายพลางมองไปยังด้านนอกประตูด้วยความร้อนรน
“เยว่เอ๋อร์ออกไปหนึ่งวันแล้ว นี่ก็ยามพลบค่ำแล้ว ทำไมถึงยังไม่กลับมาอีก ผู้อาวุโส ข้าว่ารีบส่งคนออกไปถามหาเถิดนะ”
หากเกิดเหตุอันใดล่ะก็ จะทำเยี่ยงไร!
เยว่เอ๋อร์นางไม่มีพละกำลังเลยสักนิด!
“ฉู่หนิง เจ้าจะเป็นห่วงทำไมนักหนา นางไม่ได้ออกไปครั้งแรกสักหน่อย จะเกิดเรื่องอะไรได้เล่า บางทีเด็กมันอาจจะเที่ยวเล่นเพลิน ก็คงดึกหน่อยกระมัง”
ฉู่เซียว ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลฉู่ยกชาขึ้นจิบหนึ่งอึกพลางเอ่ยขึ้นเสียงเรียบนิ่ง
ฉู่หนิงเป็นห่วงอย่างยิ่ง แต่ก็รู้ดีว่ายังไงพวกเขาไม่รับปากอะไรเขาอยู่แล้ว
แต่…ฟ้าก็ใกล้มืดเต็มทีแล้ว เยว่เอ๋อร์ไม่ใช่เด็กเหลวไหลเช่นนี้ ดึกขนาดนี้ทำไมยังไม่กลับมาอีก!
“ข้าจะไปตามเอง”
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะก้าวพ้นธรณีประตู ก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาเสียก่อน
ผู้ที่เข้ามานั้นสวมเสื้อคุลมขนห่านสีเหลือง และมีหน้าตาสะสวย นางก็คือคุณหนูสาม…ฉู่เซียนหมิ่น
นางแสดงความเคารพก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้า
“ผู้อาวุโส เซียนหมิ่นรู้ว่าท่านพี่ยังไม่กลับมา ไม่ควรจะมารบกวนทุกท่าน แต่…แต่มีเรื่องหนึ่ง ที่เซียนหมิ่นมิกล้าปิดบังเอาไว้จริงๆ…ของของเซียนหมิ่นถูกขโมยไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ผู้อาวุโสของตระกูลขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น”
ฉู่เซียนหมิ่นน้ำตาคลอ “วันนี้เซียนหมิ่นให้ท่านพี่มาหาที่ห้อง เพราะอยากให้เงินส่วนตัวเผื่อนางอยากซื้อของที่ตนเองตอนออกไปซื้อของ แต่คิดไม่ถึง เมื่อครู่นี้เซียนหมิ่นไปดู ก็พบว่าตั๋วเงินกับเครื่องประดับที่ท่านพ่อท่านแม่มอบให้หายไปแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่หนิงพูดเสียงเคร่งขรึม “หมายความว่าอย่างไร! เจ้าจะพูดว่าเยว่เอ๋อร์ขโมยของของเจ้าอย่างนั้นหรือ!”
ฉู่เซียนหมิ่นยิ่งร้องไห้หนักมากขึ้น น้ำตาร่วงโปรยปราย และเต็มไปด้วยความเสียใจ “เซียนหมิ่นไม่ได้หมายความแบบนั้นนะเจ้าคะ…เซียนหมิ่นจะกล้ากล่าวหาท่านพี่ได้อย่างไร แต่ว่า วันนี้ก็มีเพียงท่านพี่ที่เข้ามาในห้องของเซียนหมิ่น…”
ผู้อาวุโสหรี่ตา “หรือว่า นางขโมยของของเซียนหมิ่นแล้วลอบหนีไป! ช่างบังอาจยิ่งนัก!”
ในขณะที่ฉู่หนิงกำลังจะโต้แย้ง ทันใดนั้นเสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว!”
ทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างตกตะลึง
หยดน้ำตาตรงหัวตาของฉู่เซียนหมิ่น สามารถปกปิดความไม่อยากเชื่อสายตาของนางได้หมดจด
เป็นไปได้อย่างไร!
ฉู่หลิวเยว่น่าจะ…
ร่างเพรียวบางระหงกลับไล่ตามแสงกลับมา!
“ผู้อาวุโสกล่าวติดตลกเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่ ข้าก็ย่อมมีส่วนแบ่งในทรัพย์สมบัติของตระกูลฉู่ ข้าจะทรยศตระกูลฉู่เพียงเพื่อขโมยเศษเงินน้องสามไปได้อย่างไร”
ฉู่หลิวเยว่ตบเท้าเข้ามาในห้องโถงใหญ่ สีหน้าแฝงรอยยิ้มแต่กลับทำให้ฉู่เซียนหมิ่นสั่นสะท้าน!
“น้องสาม เจ้าว่าใช่หรือไม่”
[1] สีลูกท้อ สีพีช