ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 30 ค่าชดใช้
ตอนแรกหรงจิ้นกะจะยกเรื่องที่ฉู่หลิวเยว่แอบขายที่ดินล่าสัตว์มาทำให้จักรพรรดิจยาเหวินเกลียดชังนาง แล้วค่อยขอให้ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายของพวกเขา
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเรื่องราวจะกลายมาเป็นเช่นนี้ได้
ฉู่หลิวเยว่ขายที่ดินก็นับว่ามีความยากลำบากอยู่แล้ว แต่มันกลับเป็นผลมาจากโดนตระกูลฉู่กับเขาร่วมมือกันรังแกนางอีก
เรื่องแบบนี้พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งโต้แย้งก็ยิ่งเสียเวลา
อีกอย่าง เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของราชวงศ์
เขารู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เสด็จพ่อไม่ต้องการให้เห็นเด็ดขาด
เช่นนั้นเขาจึงต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และพูดเรื่องยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับฉู่หลิวเยว่ออกมาตรงๆ เพื่อตัดเยื่อใยให้ขาดสะบั้น
ถึงจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ดีกว่าปล่อยให้เสด็จพ่อไม่พอใจเขา!
จักรพรรดิจยาเหวินมีสีหน้าหนักใจเล็กน้อย และยังไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
บรรยากาศภายในตำหนักเงียบเป็นเป่าสาก
หรงจิ้นไม่รอช้ารีบพูดต่อทันที
“เสด็จพ่อ ลูกกับคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่มิได้มีใจต่อกัน ต่อให้แต่งงานด้วยกันไปก็ไม่มีความสุข มิสู้ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายเสียแต่ตอนนี้ เช่นนี้จะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเรานะพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่หรุบตาต่ำ เพื่อบดบังแววตาดูถูก
ผู้ชายคนนี้ไม่คู่ควรกับนางเลยสักนิด ทั้งเจ้าเล่ห์และร้ายกาจ
รู้ๆ กันอยู่เพราะเขาคิดว่านางเป็นคนไร้ค่าไร้ความสามารถ ไม่คู่ควรเหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทอันสูงส่งของเขา แบบนี้เขาเรียกว่าข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง
ระหว่างที่สัญญาหมั้นหมายยังอยู่ตั้งหลายปี เขาไม่เคยเอ่ยเรื่องยกเลิกสัญญาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับฉวยช่วงเวลาฉุกละหุกนี้พูดขึ้นมา
แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่เดาทางออกว่าเพราะอะไร
เขาเป็นถึงรัชทายาทผู้สูงศักดิ์ แต่ฉู่หลิวเยว่กลับเป็นเพียงคนไร้ความสามารถตั้งแต่กำเนิด หากเขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอร้องก่อนก็จะตกเป็นขี้ปากไพร่ฟ้าประชาชีได้
ฉู่หลิวเยว่ใช้ชีวิตในตระกูลฉู่ด้วยความยากจนข้นแค้น เขาไม่เพียงแต่ไม่สนใจไยดีปล่อยปละละเลยนาง แต่เขาคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าฉู่หลิวเยว่ไม่มีวันใช้ชีวิตไปจนถึงอายุสิบสี่
หากนางตายตั้งนานแล้วเขาก็คงกำจัดก้างชิ้นใหญ่ให้พ้นได้สบายๆ
แต่เขาจะไปรู้ได้อย่างไน ว่านางจะกลับมาเอาคืนเยี่ยงนี้!
เผชิญกับสถานการณ์ในวันนี้โดยการยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย เขาจะต้องกราบทูลแน่นอน
ดวงตาของจักรพรรดิจยาเหวินปิดลงครึ่งหนึ่ง และทุกคนไม่สามารถเดาความคิดของเขาได้
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ”
หลังจากนั้นไม่นาน จักรพรรดิจยาเหวินก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
หรงซิวชี้แนะด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“รัชทายาท อันที่จริงคุณหนูใหญ่ฉู่ก็เป็นคนดี เมื่อครู่นี้นางสามารถปราบอสูรได้ด้วยมิใช่หรือ แม้ร่างกายของนางจะไร้พลังปราณ แต่วันนี้นางก็ดูเป็นคนมีความสามารถนะพ่ะย่ะค่ะ…”
หรงจิ้นมีสีหน้าเคร่งขรึมกว่าเดิม
อันที่จริงตอนที่ฉู่หลิวเยว่สามารถฆ่าอสูรงูหลามทองคำเมี่อครู่นี้ เขาก็ตกตะลึงเหมือนกัน แต่เมื่อลองสังเกตดีๆ ก็พบว่าไม่มีพลังปราณใดๆ เคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายของฉู่หลิวเยว่
ที่นางสามารถเอาชนะได้ สาเหตุหลักก็คือนางบังเอิญหาจุดอ่อนของอสูรงูหลามทองคำเจอแล้วโจมตีอย่างสุดกำลัง
แต่ลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้ใช้เพียงครั้งสองครั้งยังพอไหว แต่มากกว่านี้คงไม่มีทาง
ความแข็งแกร่งต่างหากถึงจะเป็นความมั่นคงที่แท้จริง!
หรือว่าฉู่หลิวเยว่คนนี้สามารถฟื้นฟูชีพจรที่ไม่สมบูรณ์กว่าสิบปีได้แล้ว
เมื่อคิดถึงตรงจุดนี้ หรงจิ้นก็กล่าวอย่างหนักแน่น
“ลูกคิดดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาต้องการสืบทอดบัลลังก์ในอนาคต คนอย่างฉู่หลิวเยว่ ก็เป็นได้เพียงแค่จุดด่างพร้อยในชีวิตของเขาเท่านั้น
“แน่นอน เพื่อเป็นการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคุณหนูใหญ่ฉู่ ลูกยินดีชดใช้ให้พ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ้นพูดพลางมองไปที่ฉู่หลิวเยว่
“เจ้ามีเงื่อนไขอะไรหรือไม่ แค่บอกมา ข้าก็จะทำให้พอใจแน่นอน”
นี่คิดจะถีบหัวส่งนางแล้วยังจะเอาความดีใส่ตัวอีกหรือ
จะมีสิ่งที่ดีเช่นนี้ในโลกได้อย่างไร
ฉู่หลิวเยว่เชิดคางขึ้น ปราดตามองหรงจิ้นแล้วเม้มริมฝีปาก
“องค์ชายรัชทายาท คือ…อันที่จริงข้าเคยชื่นชมพระองค์มากเลยเพคะ…”
หรงซิวที่เพิ่งยกถ้วยชาขึ้นมาก็หยุดชะงักทันที แล้ววางถ้วยชาลงโดยมิส่งเสียง จากนั้นกวาดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาเรียบนิ่ง
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เมื่อหรงจิ้นได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
นี่ฉู่หลิวเยว่จะไม่ยอมยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับเขาใช่หรือไม่
จริงอยู่ ต่อให้นางโง่เขลากว่านี้ นางก็รู้ดีว่าตำแหน่งพระชายาองค์ชายรัชทายาทมีค่ามากแค่ไหน!
ก่อนหน้านี้สองพ่อลูกยังกล่าวหาว่าเขาไม่สนใจไยดีอยู่เลย แล้วตอนนี้กลับพูดว่าชื่นชมเขามาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ
ช่างเป็นคนโลภโมโทสันน่ารังเกียจจริงๆ
ความคิดชื่นชมในความงามของฉู่หลิวเยว่ตอนเจอกันเมื่อก่อนหน้านี้ของหรงจิ้นได้พลันสลายหายไปราวกับหมอกควัน
เขาตัดบทฉู่หลิวเยว่ด้วยความเหลือทน
“ข้าบอกเจ้าแล้วไง หากมีเงื่อนไขอะไรให้บอกข้ามา เรื่องอื่นอย่าไปพูดถึงอีก”
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่ซีดเผือด แววตาสั่นระริก จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“องค์ชายรัชทายาทโปรดวางพระทัย หม่อมฉันไม่คู่ควรกับพระองค์ ดังนั้นจึงมิเคยตั้งความหวังอะไร หม่อมฉันทราบดีว่าหัวใจของพระองค์เป็นของผู้อื่น…”
นางพูดพลางเบนสายตาไปทางฉู่เซียนหมิ่นราวกับมีอะไรอยู่ในใจ
“งานเลี้ยงวันเกิดปีก่อนๆ ของพระองค์ หม่อมฉันไม่มีแม้แต่โอกาสไป โชคดีที่น้องสามดีต่อหม่อมฉัน ทุกครั้งที่น้องกลับมาจากงานก็มักจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด หลายปีที่ผ่านมา หม่อมฉันได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์แค่ไม่กี่ครั้ง เรื่องต่างๆ มากมายล้วนเป็นน้องสามที่มาเล่าให้ฟัง หม่อมฉันถึงจะได้พอรู้เรื่องรู้ราวบ้างเพคะ”
นางหยุดพูดแล้วก้มหน้าลง น้ำเสียงสงบและแผ่วเบา แต่กลับทำให้หัวใจของผู้ฟังรู้สึกขมขื่นตามไปด้วย
“นางรู้ว่าพระองค์ทรงโปรดชาอะไร รู้ว่าพระองค์ทรงชอบอ่านหนังสือเล่มไหน แล้วก็รู้ดีอีกว่าต้องจุดกำยานหอมกลิ่นอะไรถึงจะให้พระองค์หลับสนิท…ส่วนหม่อมฉันกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพคะ”
หัวใจของฉู่เซียนเต้น “ตึกตัก”
ไม่ใช่!
ทำไมประโยคนี้ฟังแล้วรู้สึกประหลาดพิกล
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนในตำหนักใหญ่ก็ค่อยๆ เริ่มได้กลิ่นแปลกๆ แล้วหันมองไปที่ฉู่เซียนหมิ่นทีละคน
นี่ใช่เรื่องควรเล่าให้ฉู่หลิวเยว่ฟังที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่านางจงใจโอ้อวดต่างหากเล่า!
รู้อยู่แก่ใจว่าฉู่หลิวเยว่มีสัญญาหมั้นหมายกับองค์ชายรัชทายาท แล้วยังจะกล้าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้านางอีกหรือ
อีกอย่าง
รู้ว่าชอบดื่มชาอะไรหรือชอบอ่านหนังสือเล่มไหนก็คงไม่กระไรหรอก แต่ฉู่เซียนหมิ่นรู้แม้กระทั่งเรื่องการหลับนอน ถ้าอย่างนั้น…
“ถุยๆ ตอนแรกข้าคิดว่าคุณหนูสามคนนี้มีความสามารถโดดเด่น อ่อนโยนและมีคุณธรรม แต่ไม่คิดว่าจะหน้าด้านขนาดนี้”
“ข้าว่าแล้วเชียว ในเมืองหลวงมีสตรีสูงศักดิ์มากมาย แต่ทำไม๊ทำไมองค์ชายรัชทายาทดันไปชอบนางได้ ที่แท้นางก็มีมารยาเช่นนี้นี่เอง…”
“แม้ฉู่หลิวเยว่จะเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นพี่สาว คิดไม่ถึงว่าจะทำกับนางขนาดนี้ เหอะ! ผู้หญิงประสาอะไรถึงได้แอบกินกับผู้ชายที่มีสัญญาหมั้นหมายกับพี่สาวตัวเอง”
“ภายนอกดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ลับหลังใครจะไปรู้ว่าเป็นอย่างไร”
ฉู่เซียนหมิ่นหน้าแดงก่ำ ราวกับมีไฟสุมทรวงอย่างบ้าคลั่ง
คำพูดเดียวของฉู่เซียนหมิ่น ทำให้ชื่อเสียงของนางที่สั่งสมมาตลอดต้องป่นปี้!
นางลุกขึ้นตะคอกเสียงแหลมโดยไม่ทันฉุกคิดอะไรทั้งนั้น
“นังแพศยา! เจ้าพูดเหลวไหลอะไรฮะ! ข้าจะฉีกปากเจ้า!”
เสียงด่าหวีดแหลมบาดลึกเข้าไปในแก้วหูของทุกคนที่อยู่ในนี้
ทันทีที่ฉู่เซียนหมิ่นโพล่งออกมาก็รู้สึกแย่ในใจ
กิริยาไม่งามของกุลสตรีเช่นนี้ ทำให้จักรพรรดิ ฮองเฮาและรัชทายาทไม่พอใจนางเป็นอย่างมาก
นางมองไปที่หรงจิ้นด้วยความตื่นตระหนกและเห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนจากความตกใจเป็นความรังเกียจ
หัวใจของฉู่เซียนหมิ่นจมดิ่งอย่างรุนแรง
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ราวกับว่าหนักใจก็มิปาน
“องค์ชายรัชทายาทและน้องสามมีใจตรงกัน นับว่าเป็นบุพเพสันนิวาส หม่อมฉันยินดีถอยออกมาแล้วยกเลิกสัญญาหมั้ยหมายกับองค์ชายรัชทายาท ส่วนค่าชดใช้หม่อมฉันไม่ต้องการเพคะ”
ในที่สุดจักรพรรดิจยาเหวินก็เอ่ยปากตรัสขึ้นมาสักที
“หลิวเยว่ เจ้าเป็นเด็กดีกตัญญูรู้คุณ เรื่องนี้เป็นความผิดของรัชทายาท เอาอย่างนี้ ข้าจะให้ทองคำหนึ่งแสนตำลึงกับพวกเจ้าสองพ่อลูก นอกจากนี้ ข้าเห็นว่าฝีมือเจ้าไม่เลว เอาไว้ข้าจะหาอาจารย์เก่งจากสำนักเทียนลู่มาสอนเจ้าดีหรือไม่”
ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่ใฝ่ฝันอยากร่ำเรียนกับอาจารย์จากสำนักเทียนลู่!
ฉู่หลิวเยว่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากสอบเข้าเรียนสำนักเทียนลู่ด้วยตัวเองเพคะ”