ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 35 ไม่พบใครทั้งนั้น
ฉู่หลิวเยว่แอบจับแขนเสื้อของนางอย่างเงียบๆ
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ทั้งสองคนขนาบหน้าหลัง นางยืนยันว่านี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
แต่…นี้ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่านางจะไม่มีวิธีอื่นเพื่อจัดการกับพวกเขา
และทันใดนั้นเงาร่างสีขาวก็พุ่งออกมาจากด้านข้าง
“โฮกกก!”
มาพร้อมกับเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยพลังกดดัน และพลังแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมาในทันที!
ตู้มๆๆ!
การโจมตีของชายสองคนล้มเหลวก่อนจะถึงร่างของฉู่หลิวเยว่เสียอีก
คลื่นพลังน่าเกรงขามก็พุ่งสะท้อนกลับไปโจมตีชายสองผู้นั้น
พรวดๆ!
ทั้งสองไม่สามารถหลบหลีกได้ และพวกเขาไม่เห็นด้วยซ้ำว่าใครกำลังมา พวกเขารู้สึกว่ามีแรงมหาศาลพุ่งตรงเข้าใส่อย่างจังจนล้มลงกับพื้นอย่างแรง หน้าอกของพวกเขาสั่นสะท้านและในที่สุดก็กระอักเลือดออกมา
ความยโสโอหังในตอนแรกเริ่มอ่อนแอลงมาทันที
“ใคร!”
ทั้งสองตกใจและรีบเงยหน้าขึ้นไปมอง
แต่เมื่อได้เห็นพวกเขาก็ตะลึงค้างอยู่กับที่
เพราะผู้ที่จู่ๆ ก็ออกมาลอบฆ่าพวกเขาคือสิงโตขาวตัวหนึ่ง
ร่างของมันปกคลุมไปด้วยขนสีขาวหิมะ ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งเป็นประกายเย็นเฉียบ และมันได้ระบายพลังอันน่าเกรงขามที่ไม่อาจต้านทานได้จากทั่วร่างของมัน
เมื่อครู่นี้มันก็แค่โบกอุ้งเท้าเล่นๆ เท่านั้น แต่ก็สามารถทำลายการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ทั้งสองคนได้
“สิงโตมายาสวรรค์ สัตว์อสูรระดับเจ็ด!”
เมื่อเห็นผู้ที่มาใหม่ชัดเจน ทั้งสองก็อุทานออกมาด้วยความตกตะลึงโดยไม่ทันตั้งตัว และเผยสีหน้าตื่นตระหนก
สัตว์อสูรระดับสูงที่เลื่องลือมาปรากฏตัวกะทันหันที่นี่ได้อย่างไร
สัตว์อสูรระดับเจ็ดในแคว้นเย่าเฉินมีน้อยมากจนแทบนับได้ แต่สิงโตมายาสวรรค์ผู้วิเศษนี้ไม่เคยมีมาก่อนและไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!
แต่ตอนนี้มันได้มาปรากฏตัวที่เมืองหลวงแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ก็ตกตะลึงเช่นกัน
“เสวียเสวี่ย เจ้ามาได้อย่างไร”
มันมาปรากฏตัวได้ทันเวลาพอดี หรือว่ามันตามนางมาตลอดทาง
แต่ทำไมก่อนหน้านี้นางกลับไม่สังเกตเห็นมันเลยสักนิด…
สงสัยต้องเพิ่มการความแข็งแกร่งให้กับร่างกายนี้เสียแล้วล่ะ
หลังจากได้ยินคำพูดของนาง หนังตาของชายหนุ่มทั้งสองก็กระตุกอย่างรุนแรง
…น้ำเสียงทักทายคุ้นเคยกันเช่นนี้แสดงว่า…ฉู่หลิวเยว่รู้จักสิงโตมายาสวรรค์สัตว์อสูรระดับเจ็ดนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!
หมายความว่ามันตามมาช่วยนาง!
หากคนอื่นช่วยนางก็คงไม่เป็นอะไร พวกเขาร่วมมือกันแล้วพลังก็ไม่ได้อ่อนแอ
แต่ผู้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ เป็นถึงสิงโตมายาสวรรค์ อสูรระดับเจ็ดอันล้ำค่า!
เพียงแค่มันยกอุ้งเท้าก็สามารถคร่าชีวิตพวกเขาได้อย่างง่ายดาย!
เกิดอะไรขึ้นกับฉู่หลิวเยว่กันแน่ ทำไมถึงมีผู้สนับสนุนเยี่ยงนี้อยู่เบื้องหลังนาง!
เมื่อได้ยินเสียงฉู่หลิวเยว่ เสวียเสวี่ยที่เต็มไปด้วยจิตสังหารพลังอาฆาตในตอนแรกก็เก็บซ่อนความดร้ายกลับไปทันที มันก้มหัวลงแล้วกระทุ้งเอวนางเบาๆ ส่งเสียงครางต่ำในลำคอราวกับว่ากำลังอ้อนนางอยู่
ฉู่หลิวเยว่ลูบไล้ขนที่นุ่มฟูของมัน แล้วแอบนึกโล่งใจ
มีเสวียเสวี่ยอยู่ด้วย สองคนนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
เพียงแต่…มันมาปรากฏตัวด้วยความบังเอิญเกินไป
“เขาส่งเจ้ามาหรือ”
ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้าเอ่ยถาม
เสวียเสวี่ยรีบส่ายหน้า แต่ไม่รู้นึกอะไรขึ้นมาถึงได้พยักหน้าพัลวัน
แม้จะแสดงว่านี่เป็นความดีความชอบของตนเอง แค่ถ้าให้เจ้านายรู้ว่ามันแอบมาเองคนเดียว ต้องโดนตีอีกแน่ๆ…
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเสวียเสวี่ยแข็งแกร่งมาโดยตลอด
ฉู่หลิวเยว่หลุดขำ “พรวด” ออกมา
เมื่อเห็นท่าทางขัดเขินแล้วนางก็พอจะเดาได้ว่าเสวียเสวี่ยกำลังคิดอะไรอยู่
ประมาณว่าทั้งนายและบ่าวต่างมีส่วนในเรื่องนี้
หรงซิวผู้นี้…กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
คำถามนี้แวบเข้ามาในหัวฉู่หลิวเยว่อย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่แสดงอาการใดๆ จากนั้นนางจึงหันไปมองที่สองผู้นั้น
ต้องแก้ไขปัญหาสำคัญเฉพาะหน้าเสียก่อน
ทั้งสองมองหน้ากัน และต่างก็เห็นความตื่นตระหนกในดวงตาของกันและกัน
ฉู่หลิวเยว่มีสิงโตมายาสวรรค์คอยช่วยเหลือ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจัดการได้อีกต่อไป
“ไป!”
สองผู้นั้นต่างหนีไปกันคนละทิศละทางโดยไม่ลังเลสักนิด
ฉู่หลิวเยว่นกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เสวียเสวี่ยสบถเสียงต่ำ จากนั้นก็หายตัวไปทันที!
วินาทีถัดมา มันก็ปรากฏตัวต่อหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่ง!
มันยกอุ้งเท้าขึ้นและตบที่หน้าอกของชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว!
แคว่กๆ!
เสื้อผ้าบนร่างของเขาฉีกขาดในทันที เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว แล้วร่างก็กระเด็นออกไป!
ปัง!
เขาถูกกระแทกอย่างแรงจนล้มลงกับพื้น! ร่างของเขาถอยกรูดจนเกิดคราบเลือดเป็นทางยาว! ในที่สุดก็กระเด็นชนกำแพงแล้วแน่นิ่งไปทันที!
จุดจบของชายอีกคนหนึ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่านี้ เขายังไม่ทันหนีพ้นปากซอยด้วยซ้ำก็ถูกเสวียเสวี่ยเหวี่ยงออกไปล้มทับร่างชายหนุ่มก่อนหน้านี้
สิงโตมายาสวรรค์ สัตว์อสูรระดับเจ็ดมีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่สองคนนี้ เมื่ออยู่เงื้อมมือของเสวียเสวี่ยไม่มีโอกาสแม้แต่จะดิ้นรนเพื่อหนี พวกเขามีจุดจบอย่างน่าสังเวช!
ตอนนี้สถานการณ์ได้พลิกผันไปในชั่วพริบตา
ฉู่หลิวเยว่เดินไปหาทั้งสองคนและก้มหน้าดูพวกเขา
“บอกมาสิ เจ้านายของพวกเจ้าเป็นใคร”
ชายหนุ่มสองคนหายใจพะงาบๆ แต่กลับไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียวเด็ดขาด
ฉู่หลิวเยว่กอดอกแล้วหัวเราะเบาๆ
“ไม่บอกเหรอ เช่นนั้นให้ข้าเดาพวกเจ้า…เป็นคนของรัชทายาทใช่หรือไม่”
ทั้งสองตกตะลึงและมองมาที่นางโดยไม่รู้ตัว แต่ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นได้จึงรีบเบือนหน้าหนีทันที
แต่ปฏิกิริยาเช่นนี้ก็พอจะรู้แล้ว
“คนที่อยู่เบื้องหลังของซ่งเหลียนจริงๆ แล้วคือ…ซ่งหยวนใช่หรือไม่”
“เจ้า เจ้าพูดอะไร พวกข้าฟังไม่รู้เรื่อง!”
ทั้งสองไม่ได้โง่จึงยืนกรานปฏิเสธทันที
ฉู่หลิวเยว่กลับไม่แยแสสักนิด
เรื่องนี้เดาง่ายจริงๆ มีเพียงไม่กี่คนที่เกลียดนางและอยากให้นางตายไปเสียให้สิ้นซาก
และมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถส่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่มาจัดการกับนางได้
ความเกลียดแค้นชิงชังทั้งเก่าและใหม่ทับถมกัน สำหรับหรงจิ้น ต่อให้ฆ่านางตายสิบครั้งก็ไม่พอ
น่าเสียดายที่สมองทึบไปหน่อย
ตอนแรกที่ซ่งเหลียนโดนฆ่า ยังไม่รู้จักคิดสักนิด ทั้งยังส่งพวกกะหลั่วๆ สองคนนี้มาฆ่านางอีก
“พวกเจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ใส่ใจพวกนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นางจึงหันไปมองเสวียเสวี่ย
“เสวียเสวี่ย ข้าขอรบกวนเจ้าเรื่องหนึ่ง…พาสองคนนี้ไปด้วย”
เสวียเสวี่ยมองนางด้วยความมึนงงสงสัย
พวกเขาต้องการฆ่านาง ทำไมไม่ฆ่าตายให้รู้แล้วรู้รอด
จู่ๆ หลิวเยว่หันหลังไปหยิบกระเป๋าเงินที่ชายผู้นั้นโยนทิ้งไปก่อนหน้านี้ จากนั้นนางก็เลิกคิ้วขึ้น
“ไปสิ!”
…
ความเงียบภายในห้องแทบจะทำให้ขาดอากาศหายใจ
เยี่ยนชิงก้มศีรษะลง มีเพียงความรู้สึกว่าอากาศรอบๆ เจ้านายของเขาช่างเย็นยะเยือกราวกับว่าเขาสามารถแช่แข็งคนให้ตายได้
ที่ผ่านมาเจ้านายของเขาแยกไม่ออกว่าตอนไหนดีใจหรือโมโห และไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมา แต่ตอนนี้กลับโมโหเพียงเพราะคนผู้นั้นที่มาไม่ตรงเวลา…
“องค์ชาย คุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ขณะนั้นเอง เสียงของอวี๋มั่วก็ดังมาจากด้านนอกประตู
เยี่ยนชิงแทบจะจับสังเกตบรรยากาศรอบตัวของเจ้านายได้ในทันทีว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เมื่อเขารีบเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเจ้านายมองออกไปนอกประตูแล้ว
เขามองประตูที่เปิดเพียงครึ่งบาน ด้านหลังของอวี๋มั่วนั้นมองเห็นได้ไม่ชัดเจน เห็นเพียงร่างเพรียวบางซุกซ่อนอยู่ในความมืดมิดยามค่ำคืน
“องค์ชาย ให้กระหม่อมเชิญคุณหนูใหญ่ฉู่เข้ามานะพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนชิงรู้สึกโล่งใจและกล่าวด้วยความยินดีในทันที
ดวงตาของหรงซิวเป็นประกายวาววับราวกับค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาว แต่เพียงเดี๋ยวเดียวเขาก็ขมวดคิ้วและกระชับจัดแจงเสื้อผ้าของเขา จากนั้นหยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเอ่ยเสียงเรียบนิ่งแผ่วเบา
“ดึกดื่นป่านนี้ ข้าไม่ค่อยสบาย วันนี้ไม่พบใครทั้งนั้น”