ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 4 หลอกเจ้าที่ไม่ปรึกษาหารือ
เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ฉู่เซียนหมิ่นก็แทบกระโดดลงจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ
ฉู่หลิวเยว่กลับมาแล้วจริงๆ ด้วย!
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร
พละกำลังของพวกซ่งเหลียนสามคนก็มิได้อ่อนแอ สามารถจัดการกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉู่หลิวเยว่ได้เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
แผนทุกอย่างถูกวางไว้อย่างลงตัว แต่ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่กลับ…
“เยว่เอ๋อร์!”
เมื่อฉู่หนิงเห็นบุตรสาวของตนกลับมา ก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความกระวนกระวาย
“เยว่เอ๋อร์ ลูกเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของฉู่หนิง ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกอุ่นวาบในใจ
นางสามารถสัมผัสได้ถึงความรักของฉู่หนิงที่มีต่อบุตรสาวคนนี้จริงๆ ต่อให้นางจะเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ความรักของบิดาที่มีต่อบุตรนี้กลับไม่น้อยตามลงไปเลยสักนิดเดียว
แต่สียดาย…ฉู่หลิวเยว่ตัวจริงได้ตายไปแล้ว
ฉู่หลิงเยว่ลูบมือฉู่หนิง แล้วมอบรอยยิ้มคลายกังวลให้กับเขา
“ท่านพ่อสบายใจได้ เยว่เอ๋อร์ไม่เป็นอะไร”
แม้นางจะเอ่ยเช่นนั้น ฉู่หนิงก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี แต่เมื่อเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บจริงดั่งว่า เขาก็รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก
แต่ทว่า ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของลูกสาวตนเอง เขากลับรู้สึกแปลกประหลาด ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดแผกไปจากเดิม
เยว่เอ๋อร์คนเดิมมักจะอ่อนแอขี้ขลาด แต่ตอนนี้อดวงตาสีดำขลับคู่นั้นกลับส่องประกายสุกใสดุจแสงดาราก็มิปาน!
“ท่านพี่ กลับมาแล้ว! หมินหมิ่นเป็นห่วงท่านพี่เหลือเกิน!”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของฉู่เซียนหมิ่นที่กำลังมองตนเองด้วยความ ‘ยินดี’ ราวกับกำลังดีใจเสียเต็มประดา
เป็นห่วงหรือ
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเย็นชาในใจ สงสัยฉู่เซียนหมิ่นเห็นนางกลับมาได้ก็เลยเป็นห่วงกระมัง!
“อ๋อ ที่แท้น้องสามก็เป็นห่วงพี่เองหรือ แต่เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ข้างนอก ข้าดูเหมือนจะได้ยินน้องสามกล่าวหาว่าข้าลักเล็กขโมยน้อยอยู่เลยนี่นา”
ฉู่หลิงเยว่เอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน
ในขณะที่ฉู่เซียนหมิ่นกลับรู้สึกมีเหงื่อเย็นชื้นไหลซึมแผ่นหลัง
เกิดอะไรขึ้นกับฉู่หลิวเยว่คนนี้กันแน่!
นางไม่เพียงไปตายตกอยู่ข้างนอก ทั้งยังดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิม และยังกล้าถามคำถามเช่นนี้ต่อหน้าทุกคนอีกด้วย
“ท่านพี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่คิดว่าฟ้ามืดแล้ว แต่ท่านพี่ยังไม่กลับมา ในใจก็นึกเป็นห่วง ก็เลยมาถามไถ่ผู้อาวุโสสองสามคำเอง…”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็มีน้ำตาคลอหน่วย
“อย่างไรเสีย ร่างกายของท่านพี่ไม่มีพลังแม้แต่นิดเดียว หากออกไปแล้วถูกคนรังแกเข้า…น้องคงโทษตัวเองไปจนตายแน่ๆ!
นี่เป็นวาจาเสียดสีนางที่ไร้พลังความสามารถ มิอาจฝึกพลังได้ต่างหากเล่า!
หากเป็นฉู่หลิวเยว่คนก่อน ก็คงคิดว่าฉู่เซียนหมิ่นเป็นห่วงนางจริงๆ แต่ฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ได้เปลี่ยนจิตวิญญาณไปแล้ว ยังจะถูกหลอกด้วยลูกไม้ตื้นๆ เยี่ยงนี้ได้อีกหรือ
ฉู่เซียนหมิ่นถือเป็นยุวชนรุ่นหลังที่มีพรสวรรค์ที่สุดของตระกูลฉู่ นางพูดเยี่ยงนี้ ก็จะยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่ไร้ประโยชน์ขึ้นไปอีก แม้แต่การออกไปข้างนอกยังลำบากวุ่นวาย
เป็นจริงดั่งคาด แววตาของผู้อาวุโสฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์ในทันที ก่อนจะกล่าวตำหนิ
“วันนี้กลับมาดึกถึงเพียงนี้ ไปก่อเรื่องอะไรที่ข้างนอกบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังทำได้ไม่ดี ต่อไปเจ้าไม่ต้องออกไปข้างนอกอีก มิฉะนั้นคงอับอายขายหน้าตระกูลฉู่ของข้าน่าดู เศษสวะ!”
ฉู่หนิงมีสีหน้าเย็นเฉียบ เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วพาฉู่หลิวเยว่มาไว้ข้างหลังเพื่อปกป้อง เขากำหมัดแน่นและเอ่ยขึ้นด้วยความยับยั้งชั่งใจตนเอง
“ผู้อาวุโส เยว่เอ๋อร์ยังเป็นเด็ก ท่านพูดเยี่ยงนี้ มิเกินไปหน่อยหรือ”
แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน แต่เขาก็มิอาจปล่อยให้คนอื่นมาพูดจาดูถูกบุตรสาวของตนเองเช่นนี้ได้!
เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่เป็นเกราะกำบังข้างหน้าตนเอง ฉู่หลิวเยว่ก็ชะงักงัน ดวงตาฉายแววเจ็บปวด
อดีตชาติของนางเกิดมาก็เป็นถึงองค์หญิงสูงศักดิ์ สถานะที่มีเกียรติ มีอำนาจ นางสามารถจัดการทุกเรื่องด้วยตนเอง ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นปกป้องดูแลเช่นนี้ ช่างเป็นสิ่งที่แปลกใหม่และมีค่าสำหรับนางมาก
คราวนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็จะพยายามเต็มที่เพื่อปกป้องคนที่รักนางอย่างแท้จริง!
“ท่านพ่อ”
ฉู่หลิวเยว่กระตุกแขนเขาเบาๆ แล้วก้าวไปข้างหน้า
ฉู่หนิงมองนาง เดิมคิดว่านางคงขี้ขลาดดังเช่นที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เห็นตอนนี้กลับเป็นแววตาคู่หนึ่งที่สงบเยือกเย็น
ร่างเพรียวระหงหลังตั้งตรง เชิดคางขึ้นเล็กน้อย และทั่วทั้งร่างของนางนั้นมีพลังที่ไม่สามารถอธิบายได้แผ่ซ่านออกมา
“ผู้อาวุโสโปรดวางใจ สิ่งของที่ควรซื้อมาไม่มีขาดตกบกพร่อง ตอนนี้ถูกส่งไปถึงห้องเก็บของแล้ว หากไม่เชื่อ ท่านสามารถไปตรวจสอบได้ ส่วนเรื่องเหตุใดวันนี้ข้าถึงกลับมาดึกขนาดนี้…น้องสามรู้ดีแก่ใจที่สุดมิใช่หรือ”
“ท่านพี่ พูดอะไรไปเรื่อย!”
เมื่อฉู่เซียนหมิ่นได้ยินดังนั้นก็ตื่นตระหนกทันที น้ำเสียงพลันเย็นเยียบมากกว่าเดิม
หรือฉู่หลิวเยว่เดาได้ว่านางเป็นคนส่งพวกซ่งเหลียนสามคนไป
ฉู่หลิวเยว่มองนางด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แล้วถามขึ้นด้วยประหลาดใจ
“น้องสามให้เงินพี่ไปซื้อของให้มิใช่หรือ”
ฉู่เซียนหมิ่นสะอึกไปครู่หนึ่ง
ไม่มีเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่แรก!
ทว่า…นางเองก็เพิ่งพูดกับผู้อาวุโสและฉู่หนิงไปเช่นนั้นนี่นา!
ตอนแรกนางคิดหาโอกาสใส่ร้าย แต่คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะกลับมาอย่างราบรื่นปลอดภัย
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือออกมา ในอุ้งมือนั้นมีเพียงจี้หยกลวดลายทับทิมวางอยู่
“น้องสาม เพราะเงินที่เจ้าให้ข้าไม่พอใช้ ดังนั้นข้าจึงเอาจี้หยกทับทิมอีกอันของเจ้าไปเป็นหลักประกันที่ร้านเจินเป่าเก๋อ แค่รอพรุ่งนี้ก็นำเงินที่เหลือไปไถ่คืน”
จี้หยกนั้นเป็นสินสอดทองหมั้นของมารดาของฉู่เซียนหมิ่น เพราะมันดูวิจิตรบรรจงและสามารถอบอุ่นร่างกายได้ มันจึงล้ำค่ามาก งดงามล้ำค่าไม่เป็นสองรองใครในเมืองหลวง ฉู่เซียนหมิ่นเองก็โปรดปรานจี้หยกนั้นมาก และมักจะพกติดตัวเสมอ
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงสามารถยืนยันได้ว่านั่นเป็นของของฉู่เซียนหมิ่นจริงๆ
เมื่อผู้อาวุโสได้ยินดังนั้น ก็มองไปที่ฉู่เซียนหมิ่นด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“หมินหมิ่น สิ่งที่นางพูดนั้นจริงหรือ”
ปกตินางหวงจี้หยกจะตาย หากไม่เป็นฝ่ายมอบให้ผู้อื่นก่อน คนอื่นก็ยากที่จะเอาไปได้
หากซื้อสิ่งของอื่นมาคงไม่ใช่ปัญหา แต่ร้านเจินเป่าเก๋อนั้น เป็นสถานที่ที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวงเชียวนะ! สิ่งของข้างในนั้นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีมูลค่ามหาศาล!
แม้ตระกูลฉู่จะเป็นตระกูลขุนนางของเมืองหลวง แต่หลายปีที่ผ่านมาค่อยๆ เสื่อมอำนาจไป บางครั้งก็ไม่ได้ดูร่ำรวยมั่งคั่งดั่งที่เห็นภาพลักษณ์ภายนอก
ต่อให้เขามีฐานะเป็นถึงผู้อาวุโสตระกูลฉู่ ก็ไม่มีปัญญาไปจับจ่ายใช้สอยในร้านเจินเป่าเก๋อเช่นนี้ได้ตามอำเภอใจ
ฉู่เซียนหมิ่นลอบกัดฟัน
นั่นคือสิ่งที่นางจงใจหยิบออกมาเพื่อทำให้ทุกคนเชื่อว่าฉู่หลิวเยว่คือหัวขโมย แต่คิดไม่ถึงว่า…
“ใช่…ใช่ เซียนหมิ่นชอบของสิ่งหนึ่งในร้านเจินเป่าเก๋อ แต่ช่วงนี้มัวยุ่งกับการฝึกฝน ไม่มีเวลาออกไปข้างนอก ก็เลยไหว้วานให้ท่านพี่ช่วยเหลือ…”
สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ไม่อยากยอมรับก็ต้องยอมรับแล้วล่ะ
แม้สิ่งของในร้านเจินเป่าเก๋อจะมีมูลค่ามหาศาล แต่ของแค่ชิ้นสองชิ้น นางยังคงจ่ายไหว
รอกลับไปตรวจสอบสถานการณ์ของพวกซ่งเหลียนสามคนนั้นให้ชัดเจนเสียก่อน แล้วค่อยจัดการเก็บฉู่หลิวเยว่ก็ไม่สาย!
เมื่อได้ยินนางเอ่ยถึงเรื่องการฝึกพลัง สีหน้าของผู้อาวุโสก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“นี่มันอะไรกัน เจ้าคือต้นกล้าที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลฉู่ของพวกเรา อยากได้อะไรล่ะก็ ขอแค่เอ่ยปากเท่านั้น!”
ฉู่เซียนหมิ่นยิ้มหวาน
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตาเจ้าค่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเยาะในใจ
คิดที่จะตีเนียนไปแบบนี้ ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ
แม้ตอนนี้นางจะยังจัดการกับฉู่เซียนหมิ่นอย่างเด็ดขาดไม่ได้ แต่อยากให้นางเสียเปรียบเงียบๆ เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
“หมายความว่า เงินในส่วนที่เหลือ ท่านผู้อาวุโสคิดที่จะนำออกมาจากบัญชีส่วนรวมเพื่อเอาไปช่วยน้องสามอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
ผู้อาวุโสและฉู่เซียนหมิ่นต่างนิ่งค้าง แล้วทั่งคู่ต่างก็ลังเล
ตระกูลฉู่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด ค่ากิจวัตรรายเดือนของทุกคนจะแจกจ่ายไปตามระดับขั้น หากนำเงินของส่วนรวมมาให้ฉู่เซียนหมิ่นจริง คนอื่นจะต้องไม่พอใจเป็นแน่
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของหมินหมิ่นเอง ถึงอย่างไรก็ให้หมินหมิ่นเป็นผู้รับผิดชอบเอง!”
แน่นอนว่าฉู่เซียนหมิ่นมิอาจทำลายชื่อเสียงของตัวเองที่สั่งสมมาหลายปี ดังนั้นจึงปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
แม้ของในร้านเจินเป่าเก๋อจะราคาแพงหูฉี่ แต่ปกตินางก็ได้รับความรักความเมตตา เงินที่เก็บไว้ก็มีไม่น้อย ของชิ้นสองชิ้นเสียเงินไม่กี่พันตำลึงก็ไม่ใช่ปัญหา
นางพูดพลางหันไปมองแล้วยิ้มให้ฉู่หลิวเยว่ด้วยท่าทางอ่อนโยนใจกว้างและสูงส่ง
“ท่านพี่ พรุ่งนี้แค่ไปรับเครื่องประดับอีนั้นออกมาก็ได้แล้วใช่ไหม”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าให้ แต่ดวงตากลับฉายแววเจ้าเล่ห์
“ใช่ ก่อนหน้านี้ที่เจ้าให้ข้าพันตำลึง ข้าได้จ่ายให้ร้านเจินเป่าเก๋อไปหมดแล้ว พรุ่งนี้น้องสามจ่ายแค่เงินที่เหลืออีกหนึ่งแสนเก้าหมื่นเก้าพันตำลึงก็สามารถนำออกมาได้แล้วล่ะ”
ฉู่เซียนหมิ่นคิดว่าตนเองคงหูฝาดไป จึงร้องเสียงหลง
“อะไรนะ!”