ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 49 จุดศูนย์กลางของค่ายกล
เมื่อฉู่หลิวเยว่เข้าไปในป่า นางสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของค่ายกลทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่าค่ายกลนี้ถูกอาจารย์ของสำนักควบคุมเอาไว้ทั้งหมด เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นข้างในนี้ พวกเขาก็สามารถรู้ได้ในทันที
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา จากนั้นหยุดยืนอยู่ที่เดิมก่อนสักพัก ดูเหมือนนางกำลังลังเลในการเลือกไปยังยังทิศทางข้างหน้า แล้วนางก็เลือกเดินไปทางนั้น
ค่ายกลเช่นนี้เป็นเรื่องง่ายสำหรับนางมาก ถ้าให้นางคิด นางสามารถเดินตรงไปตามเส้นทางที่ถูกต้องและสะดวกที่สุด
แต่หลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ นางพอจะรู้แล้วว่าควรแสดงความสามารถระดับไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด
ด้วยเหตุนี้ นางจึงเริ่มเดินช้าลงในลงป่าผืนนี้
ในเมื่อสอบเข้าสำนักมาได้แล้ว เรื่องอื่นก็พูดง่ายมากขึ้น
สำหรับอันดับหนึ่งนี้…อันที่จริงนางไม่ได้สนใจอะไรจริงๆ
ที่นางตกลงเข้าร่วมสอบแข่งขันในครั้งนี้ อันที่จริงนางหวังแค่ทำให้ทุกคนเข้าใจว่านางไม่ใช่ผู้ที่จะมารังแกได้ง่ายๆ เช่นนี้ต่อไปในภายหลังจะได้ผ่อนเบาความวุ่นวายลงไปบ้าง
เมื่อครู่นี้ที่พูดไปเช่นนั้น ก็แค่เล่นละครเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่เดินมาได้เกือบครึ่งชั่วยามแล้วก็มาถึงทางสามแยก
ถนนทั้งสามสายนี้ทอดยาวเข้าไปในป่า แต่มีทิศทางต่างกันไป
เมื่อมองเข้าไปจากตรงนี้ นอกจากป่าทึบแล้วก็ไม่เห็นสิ่งใดอีก
นี่ก็ได้เวลาที่จะต้องตัดสินใจเลือกแล้ว
เมื่อยืนอยู่ที่ทางสามแยก ฉู่หลิวเยว่ก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเลือกทางสายกลาง
ไม่นานหลังจากที่นางเลือกเดินถนนสายนี้ ทันใดนั้นก็มีลมกระโชกแรงพัดมา!
ต้นไม้ไหวโยกไปมา บางต้นก็มีใบไม้ร่วงหล่นพัดมาทางฉู่หลิวเยว่อย่างน่าหวาดกลัว
วูบๆ!
เสียงทะลวงอากาศดังลอดหู
จิตสังหารอันแรงกล้าล้อมรอบจากทุกทิศทุกทาง!
แต่แววตาของฉู่หลิวเยว่ยังคงสงบนิ่ง ไม่รู้สึกตื่นตระหนกเลยสักนิด
วินาทีถัดมา นางก็เขย่งปลายเท้ากระโดดออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อหลบหลีกการโจมตีจากใบไม้พวกนั้น
ในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของป่า มีชายวัยกลางคนสองคนและชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่กันเป็นกลุ่ม
ทั้งสามคนกำลังนั่งสมาธิโดย หากมองผิวเผินเหมือนพวกเขากำลังนั่งหลับ
ตรงกลางระหว่างพวกเขากลับมีค่ายกลสีเงินส่องแสงประกายเจิดจ้า
แสงสีเงินหลายเส้นเรียงไขว้กันเป็นชั้นตามขวางก่อเป็นรูปร่างค่ายกลที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น มีหนึ่งเส้นในนั้นกระโดดขึ้นมาอย่างแรง
ชายผู้หนึ่งลืมตาขึ้นและถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“เพิ่งผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เดินมาถึงตรงนี้แล้วหรือ ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้…สงสัยคงจะเป็นอัจฉริยะด้านปรมาจารย์จริงๆ”
ชายชราก็ลืมตาขึ้นและลูบเคราด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เลว ท่ามกลางคนมากมาย มีเพียงแค่นางกับซือถิงที่เลือกทิศทางได้ถูกต้อง แม้นางจะเลือกไม่ได้ดีเท่าซือถิง แต่ก็รับว่ามีความสามารถพอแล้ว”
คนสุดท้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า
“เสียดาย ที่เด็กคนนี้ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ อาจเป็นเพราะไม่เคยเรียนเรื่องค่ายกลต่างๆ นางจึงทำไปตามสัญชาตญาณ ดูสิ นี่เดินผิดทางแล้ว”
ชายชราหรี่ตาและถามทันที
“ข้าจำได้ว่าฉู่หลิวเยว่ผู้นั้น จะมีช่วงเวลาที่เลวร้ายในตระกูลฉู่มาก่อน บางทีตระกูลฉู่อาจไม่ได้จ้างอาจารย์ให้กับนางใช่หรือไม่”
“ผู้อาวุโสซุน ท่านหมายความว่า…”
ซุนจ้งเหยียนก้มหน้ามองที่ค่ายกลอีกครั้งและเส้นที่ผันผวนอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ก็สงบนิ่งไปแล้ว
เขายิ้มอย่างมีเลศนัย
“แม้เด็กคนนั้นจะเลือกทางผิด แต่ดูเหมือนนางจะไม่ได้รับบาดเจ็บนี่นา…เหอะ มีพรสวรรค์เช่นนี้ ตระกูลฉู่นี่ช่างไม่เห็นค่าจริงๆ”
ขณะนั้นเอง ก็มีดาวดวงหนึ่งส่องสว่างขึ้นบนค่ายกล
ชายวัยกลางคนทั้งสองตกตะลึง
“ผู้อาวุโสซุน ซือถิงหาจุดศูนย์กลางของค่ายกลเจอแล้วขอรับ!”