ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 5 แขกผู้มาเยือนกลางดึก
“ใช่แล้ว น้องสามพูดอยู่เสมอว่าชอบ จี้หยกสลักสีแดง ของร้านเจินเป่าเก๋อนั่นแล้วให้ข้าไปซื้อให้มิใช่หรือ เป็นหนึ่งในกรุสมบัติของร้านเจินเป่าเก๋อ ราคาย่อมสูงเป็นธรรมดา หรือว่า…น้องสามกัดฟันเอาเงินออกมาไม่ได้ แต่…คนของร้านเจินเป่าเก๋อกำลังจับตาดูน้ำหน้าของตระกูลฉู่ของเราอยู่นี่นา…ถึงได้รับปากให้ข้าจ่ายมัดจำล่วงหน้าหนึ่งพันตำลึงก่อนจะซื้อของกลับไปได้…”
ฉู่หลิวเยว่ตีสีหน้าลำบากใจ
ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกันนั้นเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าวก็แทบจะหยุดหายใจ
หนึ่งแสนเก้าหมื่นเก้าพันตำลึงเชียวนะ!
ต่อให้เป็นถึงตระกูลฉู่ หากต้องการหยิบเงินออกมามากมายขนาดนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเลยทีเดียว!
เขามองไปที่ฉู่เซียนหมิ่น แม้จะโปรดปรานฉู่เซียนหมิ่นเพียงใด แต่เวลานี้เขาก็เกิดความไม่พอใจอย่างมากขึ้นมาเช่นกัน จึงกล่าวติเตียนด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หมินหมิ่น! เจ้านี่ก็ช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย!”
ถ้าต้องถึงกับสังเวยด้วยชื่อเสียงตระกูลฉู่ เช่นนั้นของชิ้นนี้ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว!
มิฉะนั้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ไม่รู้ว่าคนข้างนอกจะพูดถึงพวกเขาตระกูลฉู่กันอย่างไรบ้าง!
ฉู่เซียนหมิ่นพยายามอ้าปากเพื่อแก้ตัว แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
เพราะนางไม่เคยคิดให้ฉู่หลิวเยว่ไปซื้อของให้นางตั้งแต่แรก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจี้หยกแกะสลักราคาสองแสนตำลึงที่ร้านเจินเป่าเก๋ออะไรนั่น!
ของสิ่งนั้นมีชื่อเสียงมาช้านาน เพราะเป็นเครื่องประดับที่ทำมาจากหยกแดงเม็ดน้ำงาม
ถึงแม้มันจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญ แต่ก็ยังห่างไกลจากราคาสองหมื่นตำลึงอยู่ดี! ฉะนั้น เวลาผ่านไปตั้งนานขนาดนี้ ไม่เคยมีใครหน้าไหนซื้อมาทั้งนั้น!
คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะร้ายกาจเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้!
หลอกให้นางเสียเงินไปตั้งสองหมื่นตำลึง!
ฉู่เซียนหมิ่นโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโยยังยืนอยู่ตรงนี้ล่ะก็ นางคงปรี่เข้าไปฉีกปากฉู่หลิวเยว่จนแหกแน่!
หลายปีมานี้ นางเก็บเงินส่วนตัวยังไม่ถึงสี่ห้าพันตำลึงเลย สองแสนตำลึงนี้ สำหรับนางแล้วมันคือหลุมขนาดใหญ่เท่าฟ้า!
แต่ทว่า มันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของตระกูลฉู่ นางจึงต้องแบกรับเรื่องนี้อย่างช่วยไม่ได้
“เรื่องนี้…ท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ เงินก้อนนี้หมินหมิ่นจะจ่ายเองอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ…”
นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วฝืนยิ้มออกมาอย่างเสียมิได้
“ท่านแม่รักและเอ็นดูหมินหมิ่นมาก ก่อนหน้านี้เคยให้สัญญาว่า หากครั้งนี้หมินหมิ่นสอบได้ที่หนึ่งของสำนัก ท่านแม่จะตามใจให้หมินหมิ่นสมปรารถนาหนึ่งข้อเจ้าค่ะ”
มารดาของฉู่เซียนหมิ่นคือลู่เหยา เกิดในตระกูลลู่ซึ่งเป็นตระกูลที่ทำมาค้าขายอันดับต้นๆ ในเมืองหลวง มีทรัพย์สินมากมายมหาศาลที่มิอาจมองข้ามได้เลย
ที่นางพูดเช่นนี้ ประการแรกเพื่ออธิบายไม่ว่าอย่างไร นางก็มีเงินจำนวนนี้และไม่รบกวนตระกูลฉู่ อีกประการหนึ่ง เพื่อต้องการใช้ชื่อเสียงของตระกูลลู่มายกระดับตนเอง
แล้วก็เป็นจริงดั่งคาด เมื่อเอ่ยถึงตระกูลลู่ สีหน้าของผู้อาวุโสก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก
“ท่านแม่ของเจ้ารักเอ็นดูเจ้าจริงๆ ดั่งว่า อย่างไรก็ตาม เพราะเจ้ามีฝีมือโดดเด่นอยู่แล้ว ข้าจำได้ เดือนหน้าทางสำนักก็จะเริ่มทดสอบแล้วมิใช่หรือ”
ฉู่เซียนหมิ่นเป็นศิษย์สำนักเทียนลู่ ซึ่งเป็นสำนักอันดับสูงสุดของแคว้นเย่าเฉิน ใครที่สามารถสอบเข้าได้ ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งและน่าอิจฉา!
แม้แต่ลูกหลานราชนิกุลต้องการเข้าเรียน ก็ยังต้องยอมรับบททดสอบให้ได้!
เพราะฉู่เซียนหมิ่นมีสถานะเช่นนี้พอดี จึงได้รับความรักความเอ็นดูจากตระกูลฉู่เช่นกัน
“เจ้าค่ะ”
ฉู่เซียนหมิ่นมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จากนั้นไม่รู้ว่าคิดถึงสิ่งใด ใบหน้าสะสวยจึงปรากฏความเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่จิ้นก็เอ่อคือ…องค์รัชทายาทก็ตรัสว่า หากหมินหมิ่นสอบได้ที่หนึ่งก็จะประทานรางวัลให้เช่นกันเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย
ชื่อพี่จิ้นที่นางเอ่ยถึง แน่นอนว่าคือองค์รัชทายาทในกาลปัจจุบัน หรงจิ้นผู้ที่มีสัญญาแต่งงานกับฉู่หลิวเยว่!
เห็นท่าทางของนางเยี่ยงนี้ ใครๆ ก็มองออกว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างระหว่างนางกับหรงจิ้นแน่นอน!
ดวงตาของผู้อาวุโสเป็นประกาย
“จริงหรือ”
องค์รัชทายาททรงมีพระปรีชาสามารถสูงส่ง และเป็นที่โปรดปรานรักยิ่งของฝ่าบาท
ตอนนี้อำนาจของตระกูลฉู่กำลังเสื่อมถอย หากสามารถเกาะต้นไม้ใหญ่อย่างองค์รัชทายาทได้ จะต้องต่างไปจากเดิมอย่างแน่นอน
ดูเหมือนฉู่เซียนหมิ่นจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กระทันหัน แล้วรีบหันไปมองฉู่หลิวเยว่ทันที ก่อนจะอธิบาบด้วยความร้อนรน
“ท่านพี่โปรดอย่าเข้าใจผิด ข้ากับพี่จิ้นไม่มีอะไรกันทั้งนั้น! พระองค์คงเห็นแก่สัญญาหมั้นหมายกับท่านพี่ ก็เลยมีเมตตาต่อข้าดั่งคนทั่วไป หากท่านพี่สามารถสอบเข้าสำนักได้ พี่จิ้นคงดูท่านพี่ดีกว่านี้แน่นอน…”
คำพูดของนางหยุดกะทันหัน
มีใครไม่ทราบบ้างว่าฉู่หลิวเยว่เป็นคนไร้ความสามารถ แม้กระทั่งการฝึกฝนธรรมดายังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับการสอบเข้าสำนักเทียนลู่
ส่วนเรื่องสัญญาแต่งงาน…หากมีคนใส่ใจเรื่องสัญญาแต่งงานจริงๆ ฉู่หลิวเยว่ก็คงไม่ถูกคนรังแกดั่งเช่นทุกวันนี้หรอก
ฉู่หนิงขบกรามแน่น แต่ในใจกลับค่อยๆ เย็นเฉียบ
เดิมทีคิดว่ารออีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เมื่อเยว่เอ๋อร์หมั้นหมายกับองค์รัชทายาท ก็จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่…ตอนนี้ดูแล้วมันคงเป็นได้แค่เพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ของเขาเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่า ดูเหมือนองค์รัชทายาทจะมีใจให้ฉู่เซียนหมิ่น แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาอยู่ในจุดที่โจ่งแจ้งเช่นนี้
พวกเขาไม่เคยเห็นฉู่หลิวเยว่อยู่ในสายตาเลยสักนิด!
สงสารก็แต่เยว่เอ๋อร์บุตรสาวของเขาที่หลงรักองค์รัชทายาทเต็มหัวใจ
ฉู่เซียนหมิ่นลอบมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความสะใจ อยากมองเห็นสีหน้าเจ็บปวดของนาง แต่ทว่ากลับเหนือความคาดหมาย ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด นางไม่เพียงไม่ตกใจและไม่ผิดหวังเท่านั้น แต่ยังหัวเราะขึ้นมาอีกด้วย
“อย่างนั้นก็ดีเลย ขอแค่น้องสามหาเงินก้อนนั้นได้ก็พอแล้ว”
ฉู่เซียนหมิ่นอึ้งไปชั่วขณะ ทำไมนางถึงรู้สึกว่า สำหรับฉู่หลิวเยว่แล้ว ดูเหมือนองค์รัชทายาทไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับเงินสองหมื่นตำลึง…
“ในเมื่อจบเรื่องแล้ว ข้ากับท่านพ่อขอตัวกลับก่อน”
เมื่อสิ้นเสียง ฉู่หลิวเยว่ก็พาฉู่หนิงหันตัวจากไป
“เจ้า…”
ราวกับว่าฉู่เซียนหมิงจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเสียแล้ว ทันใดนั้นนางก็รู้สึกจุกอยู่ในอก
เมื่อฉู่หลิวเยว่เดินไปถึงหน้าประตุก็หยุดฝีเท้าแล้วหันหลังกลับมา
นัยต์ตาดำขลับลุ่มลึกของนางจ้องไปที่ฉู่เซียนหมิ่นเขม็ง ซึ่งมาพร้อมแรงกดดันบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้!
“จริงสิ ต่อไปน้องสามต้องระวังปากเวลาพูดจาเอาไว้บ้าง ถ้าวันนี้ข้ากลับมาไม่ทัน ทุกคนก็คงคิดว่าข้าขโมยของของเจ้าแล้วหนีไปแล้วกระมัง หากเป็นเช่นนั้นต่อให้ตายไปข้าก็คงล้างมลทินตัวเองไม่ได้ เจ้าว่าจริงหรือไม่”
ทันใดนั้นฉู่เซียนหมิ่นก็ก่อสงครามเย็น!
นางรู้แล้ว!
นางต้องรู้เรื่องทั้งหมดแล้วแน่ๆ!
ฉู่เซียนหมิ่นอยากเถียงกลับไปสักสองประโยค แต่กลับรู้สึกถึงพลังไร้รูปร่างบางอย่างปกคลุมเหนือศีรษะของตนเองเอาไว้ และไร้หนทางขยับเขยื้อน
จวบจนร่างของฉู่หลิวเยว่หายลับไปด้านนอกประตู นางจึงค่อยๆ ปรับสภาขึ้นมา พร้อมกลับเหงื่อเย็นชื้นผุดขึ้นที่หน้าผาก!
ดวงตาของฉู่เซียนหมิ่นฉายแววเคียดแค้น
สงสัย ข้าคงต้องไปตรวจสอบสถานการณ์พวกซ่งเหลียนสามคนให้แน่ชัดเสียก่อน แล้วค่อยหาวิธีจัดการฉู่หลิวเยว่ให้ถึงที่สุด!
…
ฉู่หลิวเยว่และฉู่หนิงกลับมายังจวนเล็กๆ ซึ่งเป็นที่พำนักอาศัยของพวกเขา
“เยว่เอ๋อร์ ลูกเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด!”
ฉู่หนิงลูบศีรษะของฉู่หลิวเยว่ด้วยความเอ็นดูสงสาร
ฉู่หลิวเยว่รีบมองสำรวจโดยรอบอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่ แต่ทว่าเมื่อได้มาเห็นกับตาจริงๆ ก็ยังอดลอบถอนหายใจมิได้
แม้จะบอกว่าเป็นจวนเล็กๆ แค่สภาพความเป็นจริงก็มิต่างอะไรกับบ้านโกโรโกโสที่มีเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้น อีกทั้งยังมีสมาชิกครอบครัวอยู่กันเต็มบ้าน
ก่อนหน้านี้สองพ่อลูกใช้ชีวิตกันอยู่อย่างไร นางมองปราดเดียวก็พอจะเข้าใจบ้างแล้ว
พูดออกไปก็จะหาว่าไม่มีใครเชื่อว่า ฉู่หนิง…ผู้ที่เคยเป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของตระกูลฉู่ และฉู่หลิวเยว่…คุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือจะมาอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบเบาๆ
“ท่านพ่อก็เหมือนกัน”
ฉู่หนิงขยับปากอยากเอ่ยถามอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเสียงแผ่วเบา
“เยว่เอ๋อร์ พ่อรู้ว่าเจ้าชอบองค์ชายรัชทายาท แต่…เขาไม่ใช่คนดีสำหรับเจ้า ฉู่เซียนหมิ่นมีพรสวรรค์เป็นเลิศ ทั้งยังเป็นหน้าตาของตระกูล วันนี้ที่เจ้าพุ่งเป้าไปที่เยี่ยงนั้น เกรงว่า…”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง เยว่เอ๋อร์รู้ดีแก่ใจ”
ฉู่หนิงเต็มไปด้วยความกังวล แต่เมื่อได้สบตากับดวงตาแฝงรอยยิ้มแต่กลับสงบนิ่งคู่นั้น เขาก็พูดไม่ออกทันที
ดูเหมือน…เยว่เอ๋อร์มีบางอย่างไม่เหมือนเดิมจริงๆ…
เขาพยักหน้า ลูบไล้เรือนผมของผู้เป็นบุตรสาว ก่อนจะหันหลังจากไป
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่ขาขวาที่แทบจะไม่มีแรงพยุงของเขา ก่อนจะเบนสายตาหนีไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงผลักประตูเข้าห้องไป
บรรยากาศด้านนอกแขวนด้วยฉากยามราตรี แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างที่ทรุดโทรม
ฉู่หลิวเยว่เดินไปที่ข้างหน้าต่าง เคาะเบาๆ ด้วยปลายนิ้ว และแววตาของนางช่างล้ำลึก
เมื่อตอนกลางวัน นางถามมาได้ความแล้วว่า วันนี้เป็นวันที่สิบของเดือนเจ็ดในปีที่แปดร้อยสามสิบสองของแคว้นเย่าเฉิน เมื่อเทียบกับปฏิทินของราชวงศ์เทียนหลิงมันคือวันที่ นาง ตายครบรอบหนึ่งปีพอดี!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นางกลับชาติมาเกิดอีกครั้งในร่างฉู่หลิวเยว่ในอีกหนึ่งปีต่อมา!
ด้วยพลังความสามารถและสถานะของนางในตอนนี้ หากต้องการแก้แค้น นางจำเป็นต้องวางแผนให้แยบยลจริงๆ…
ทันใดนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป จากนั้นนางจึงรีบหันกลับมามองที่เตียง
“ใครน่ะ!”
ภายในห้องเงียบกริบ! อากาศแทบหยุดนิ่ง!
ขณะนั้นเอง ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้องมืด!
ฉู่หลิวเยว่ชะงักค้าง จากนั้นนางก็เห็นว่ามันเป็นสิงโตขาวตัวใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงของนางอย่างเชื่องๆ!
“เสวียเสวี่ย!”