ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 58 เจ้าเก่งที่สุด / ตอนที่ 59 หน้าตา
ตอนที่ 58 เจ้าเก่งที่สุด
“ในที่สุดก็มาถึงการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศแล้ว หมินหมิ่น ที่หนึ่งของครั้งนี้ต้องเป็นของเจ้าให้ได้ใช่หรือไม่”
“ก็แหงล่ะสิ! ข้าได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าบรรลุขั้นอีกแล้วใช่หรือไม่ ครั้งนี้แสดงฝีมือให้พวกข้าเห็นหน่อยสิ!”
ในเขตการสอบของผู้ฝึกยุทธ์นั้น การแข่งขันได้ผ่านมาถึงครึ่งทางแล้ว และตอนนี้ก็มาถึงการแข่งขันในรอบสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย
สาขานี้มีลูกศิษย์เยอะมากที่สุดประมาณสามร้อยคนเห็นจะได้ แต่กลับมีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถผ่านอุปสรรคมากมายและเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้
ซึ่งฉู่เซียนหมิ่นก็เป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อได้ยินคำเยินยอของเหล่าสหาย ฉู่เซียนหมิ่นก็อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง แล้วกล่าวอย่างถ่อมตน
“ข้าจะเก่งสู้พวกเจ้าได้อย่างไร อีกอย่าง กู้หมิงเฟิงก็เก่งกาจเช่นกัน ผู้ชนะอันดับหนึ่งในหารสอบคราวนี้คงไม่ใช่ข้าหรอก”
กู้หมิงเฟิงเป็นอีกคนที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ และเขายังเป็นคนของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่อีกเช่นนกันด้วย
“เขาก็เป็นได้แค่ลูกเมียน้อย จะมาเปรียบเทียบกับหมินหมิ่นได้เยี่ยงไรเล่า”
หญิงสาวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก
“ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีพรสวรรค์ คิดหรือว่าตระกูลกู้จะสนใจไยดีเขา”
ในแคว้นเย่าเฉินยังคงให้ความสำคัญกับพวกลูกนอกสมรสอยู่บ้าง
ฉู่เซียนหมิ่นหันไปมองกู้หมิงเฟิงที่อยู่ไกลออกไป กู้หมิงเฟิงก็บังเอิญมองมาทางด้านนี้เช่นกัน
จริงอยู่ที่เขาเกิดมาหน้าตาดีและหล่อเหลาราวกับรูปปั้นแกะสลักจากสวรรค์ น่าเสียดายที่ดวงตาสีเหลืองอำพันมีร่องรอยแห่งความมืดมนอยู่เสมอและทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเย็น
นางชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจแล้วฉุดรั้งเพื่อนเอาไว้
“ความสามารถเป็นสิ่งที่น่าเคารพที่สด เยี่ยนเอ๋อร์ ทีหลังเจ้าอย่าพูดเช่นนี้อีก”
หญิงสาวที่ชื่อเยี่ยนเอ๋อร์ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ากู้หมิงเฟิงกำลังมองมาทางนี้ จากนั้นนางก็แลบลิ้นใส่เขา
“แล้วจะทำไม เขากล้าหือกล้าอือกับคุณหนูรองตระกูลลู่อย่างข้ารึ”
แม้ว่าตระกูลลู่จะสู้ตระกูลกู้ไม่ได้ แต่นางก็เป็นบุตรีในสมรส!
ฉู่เซียนหมิ่นเงยหน้ามองเขา แต่กลับเห็นเขาทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น นางก็เลยถอนสายตากลับมา
แน่นอนว่ากู้หมิงเฟิงได้ยินหมดทุกอย่าง อันที่จริงนางจงใจยกยอปอปั้นเขา แต่เสียดายที่ดูเหมือนเขาจะไม่ติดกับดักง่ายๆ
จริงๆ แล้วฉู่เซียนหมิ่นดูถูกลูกเมียน้อยที่ไร้สถานะอย่างเขาเป็นอย่างมาก ไม่ต้องคิดอีกเลยก็แล้วกัน
ลู่เฟยเยี่ยนดึงแขนเสื้อของนางแล้วกระซิบ
“หมินหมิ่น ฉู่หลิวเยว่สอบปรมาจารย์ได้ที่สองเชียวนะ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็อย่าในนางมาข่มเจ้าได้ เจ้าต้องได้ที่หนึ่งเท่านั้นนะรู้ไหม!”
ฉู่เซียนหมิ่นหน้านิ่งค้าง แอบรำคาญลู่เฟยเยี่ยนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ประเด็นไหนไม่ควรยกขึ้นพูดก็พูดอันนั้น
นางจึงฝืนพยักหน้าตอบ
“ข้ามีแผนการในใจแล้ว”
ในขณะนั้นเอง ดอกไม้ไฟก็ระเบิดขึ้นในท้องฟ้าอันไกลโพ้น
“การทดสอบของผู้ฝึกยุทธ์รุ่นที่สี่ร้อยห้าสิบเอ็ด อันดับที่หนึ่งได้แก่ หรงจิ้น!”
“องค์ชายรัชทายาทได้ที่หนึ่งจริงๆ ด้วย!”
แววตาลู่เฟยเยี่ยนเป็นประกาย และรีบเขย่าแขนของฉู่เซียนหมิ่น
“หมินหมิ่น องค์ชายทรงพระปรีชาสามารถสมคำร่ำลือจริงๆ ด้วย ได้ยินมาว่าการแข่งขันในรุ่นของพระองค์นั้นดุเดือดมาก พระองค์ทรงคว้าชัยอันดับหนึ่งมาได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ”
ฉู่เซียนหมิ่นยิ้มให้อย่างไม่ใส่ใจนัก
“เรื่องนี้สำหรับพี่จิ้นเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อยเท่านั้นแหละ”
เมื่อลู่เฟยเยี่ยนได้ยินการเรียกขานอย่างสนิทชิดเชื้อของนาง นางก็เกิดความอิจฉาริษยาในใจ
“นี่ หมินหมิ่น รัชทายาทมองเจ้าแตกต่างออกไป ในเมื่อสอบเสร็จแล้ว พระองค์จะเสด็จมาหาเจ้าหรือไม่”
เมื่อสิ้นเสียงของลู่เฟยเยี่ยน ทุกคนต่างก้หันมามองกัน
ฉู่เซียนหมิ่นอึดอัดเล็กน้อย
หากเป็นเมื่อก่อนองค์ชายรัชทายาทต้องเสด็จมาหานางแน่นอน แต่หลังจากผ่านงานเลี้ยงคืนนั้น องค์ชายรัชทายาทก็มีท่าทีเย็นชาต่อนางมาก พระองค์คงจะไม่เสด็จมาแล้วล่ะ
นางขมุบขมิบมุมปากด้วยความกล้ำกลืน
“ทางด้านนั้นเพิ่งสอบเสร็จ พี่จิ้นน่าจะยังคงยุ่งอยู่ ไม่มีเวลามา…”
ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ก็ได้ยินเสียงอันน่าคุ้นเคยดังมาจากที่ไกล
“หมินหมิ่นพูดอะไรเช่นนั้น นี่เป็นรอบชิงชนะเลิศของเจ้า ข้าต้องมาอย่างแน่นอน”
ฉู่เซียนหมิ่นใจเต้นรัว แล้วรีบช้อนสายตามองเขา
องค์ชายรัชทายาทหรงจิ้นทรงสมเสื้อคลุมสีม่วง แล้วกำลังเสด็จมาทางด้านนี้พอดี
ฉู่เซียนหมิ่นทั้งดีใจและกังวลในเวลาเดียวกัน พระองค์ต้องทรงทราบเรื่องที่ฉู่หลิวเยว่สอบปรมาจารย์ได้อันดับสองอย่างแน่นอน แต่เหตุใดจึงไม่โกรธ ทั้งยังมาหานางอีกด้วย
หรงจิ้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉู่เซียนหมิ่นด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่ง
ดูเหมือนเขาจะเน้นย้ำกับนางชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้าเก่งที่สุด คราวนี้อันดับที่หนึ่งต้องเป็นของเจ้าอยู่แล้ว ใช่หรือไม่”
ตอนที่ 59 หน้าตา
ฉู่เซียนหมิ่นคาดเดาความคิดของหรงจิ้นได้ในทันที
เขาเพิ่งจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับฉู่หลิวเยว่ได้ไม่กี่วัน แต่ฉู่หลิวเยว่ดันสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้ และยังได้อันดับสองของการสอบปรมาจารย์อีกด้วย ซึ่งเท่ากับว่านางได้ตบหน้าเขาแรงๆ ฉาดใหญ่!
ฉะนั้นตอนนี้มีเพียงแค่นางต้องได้ที่หนึ่งในการสอบผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น ถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าฉู่หลิวเยว่ ถึงจะกู้หน้าตากลับมาได้
และเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับหน้าตาขององค์ชายรัชทายาทอีกด้วย!
ดังนั้นพระองค์จึงรีบเสด็จมาด้วยสถานการณ์เยี่ยงนี้!
เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่า การที่เขาทิ้งฉู่หลิวเยว่และเลือกฉู่เซียนหมิ่นมาแทนนั้นไม่ได้สูญเสียสิ่งใดเลยสักนิด!
“พี่จิ้นโปรดวางใจ หมินหมิ่นจะทำให้เต็มที่เพคะ”
ฉู่เซียนหมิ่นรู้ดีว่านี่คือโอกาสของตนเอง นางจึงรีบตกปากรับคำ
ถ้าวันนี้แสดงความสามารถออกมาได้ดี องค์ชายรัชทายาทก็จะได้ไร้ขวากหนาม ต่อไปคงทำอะไรได้ง่ายมากขึ้น
หรงจิ้นพยักหน้าด้วยความพอใจ
สิ่งที่เขาชอบที่สุดคือความฉลาดของฉู่เซียนหมิ่น รู้ว่าเวลาไหนควรทำหรือไม่ควรทำสิ่งใด
“ฉู่เซียนหมิ่น กู้หมิงเฟิง พวกเจ้าพร้อมหรือยัง การแข่งขันรอบตัดสินกำลังจะเริ่มแล้ว!”
อาจารย์ผู้รับผิดชอบในการคุมสอบท่านหนึ่งตะโกนเรียก
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่เซียนหมิ่นและกู้หมิงเฟิงต่างก็เดินไปที่พื้นที่ที่สงวนไว้ตรงกลาง
นักเรียนคนอื่นๆ ได้สร้างวงกลมกลางสนามไว้เพื่อรอรอบชิงชนะเลิศจะเริ่มขึ้น
สามารถติดอันดับในรายชื่อนักเรียนดีเด่นหลายร้อยคน ทั้งคู่ย่อมมีพรสวรรค์และความสามารถแข็งแกร่งพอ
“การแข่งขันรอบตัดสินหาผู้ชนะคนสุดท้ายไม่มีการจำกัดเวลาจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมแพ้ แต่ไม่อนุญาตให้มีการฆ่ากันตายเกิดขึ้นระหว่างแข่งขัน มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ์!”
อาจารย์ผู้คุมสอบพูดเสียงดังขึ้น แล้วเหลือบมองทั้งสองคน
“เข้าใจแล้วใช่หรือไหม”
“ศิษย์จะจำไว้”
“การแข่งขัน…เริ่ม!”
เมื่อเสียงของอาจารย์ประกาศออกไป บรรยากาศการสอบก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที
“โปรดชี้แนะด้วย”
ฉู่เซียนหมิ่นเอ่ยขึ้นด้วยความถ่อมตน
เมื่อสิ้นเสียงของนาง นางก็ขยับขาแล้วพุ่งเข้าโจมตีกู้หมิงเฟิงอย่างรวดเร็ว!
แววตาของกู้หมิงเฟิงเป็นประกายคมเฉียบ
ทั้งสองต่างใช้อาวุธรบรากันจนกลายเป็นสงครามขนาดย่อมในทันที
“สองคนนี้ต่างก็ใกล้จะบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่แล้ว ถ้าต้องการรู้ว่าใครแพ้หรือชนะ เกรงว่าอาจจะต้องใช้เวลาพักใหญ่ๆ เชียวล่ะ”
อาจารย์บางท่านในสำนักกำลังเฝ้าดูอยู่ข้างๆ และพวกเขากระซิบกันขณะดูการต่อสู้ในสนาม
“ฉู่เซียนหมิ่นมั่นคงทุกฝีดาบ พลังแข็งแกร่งกว่า ผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ก็คงจะเป็นนาง”
“แต่ข้ากลับได้ยินมาว่า ช่วงนี้กู้หมิงเฟิงก็ขยันฝึกฝนตลอด ใครแพ้ใครชนะก็ยังไม่แน่นอน”
ฉู่เซียนหมิ่นและกู้หมิงเฟิงต่างมีอาจารย์คนละคนกัน ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงเปรียบเทียบกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อาจารย์อีกท่านหนึ่งหัวเราะร่วนแล้วยิ้มตาหยี
“อันที่จริงข้าอยากไปดูการสอบปรมาจารย์ตรงนั้นมากกว่า…”
“เหอะๆ อาจารย์อวี๋ ปกติแล้วท่านก็ไม่ได้มีอะไรนักหรอก ก็แค่ชอบดูอะไรที่น่าตื่นเต้นเร้าใจก็เท่านั้น! โจทย์ข้อสอบปรมาจารย์ไม่มีอะไรมากไปกว่าค่ายกล ท่านดูไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว ท่านไปแล้วจะทำอะไรได้ ข้าว่านะ ท่านคงอยากไปดูฉู่หลิวเยว่ให้เห็นกับตามากกว่ากระมัง”
มีคนที่อยู่ข้างกันพูดหยอกเย้า
เมื่อโดนผู้รู้ทันเขาก็ยอมรับแต่โดยดี
“หรือว่าพวกเจ้าก็ไม่อยากรู้อยากเห็นกระนั้นรึ ไหนเมื่อก่อนมีแต่คนยอกว่านางเป็นคนพิการไร้ความสามารถไงเล่า ไฉนพริบตาเดียวก็กลายเป็นปรมาจารย์ไปแล้ว หรือว่าคนตระกูลฉู่จะตาบอดไปแล้วจริงๆ ถึงได้ไม่เคยพบว่ามีอัจฉริยะในตระกูล”
“อาจารย์อวี๋ ข้าว่าเรื่องในตระกูลชาวบ้านเราว่ายุ่งให้น้อยๆ หน่อยดีกว่า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทุกคนต่างกันมาสบตากันโดยไม่พูดอะไรมากอีก ในไม่ช้าหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นการแข่งขันระหว่างฉู่เซียนหมิ่นและกู้หมิงเฟิง
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ทั้งสองก็ยังคงต่อสู้กันยากที่จะรู้แพ้รู้ชนะ
ฉู่เซียนหมิ่นค่อยๆ ร้อนใจขึ้นมา
เพราะนางพบว่ากู้หมิงเฟิงนั้นแข็งแกร่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้
หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ที่หนึ่งคงหลุดมือไปเป็นแน่
นางเหลือบมองหรงจิ้นที่อยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็ว แล้วก็เห็นว่าสีหน้าของเขามืดมนดั่งคาด
ฉู่เซียนหมิ่นลอบกันฟัน จะทำเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ต้องจบสงครามนี่โดยเร็วที่สุด
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ออกแรงหมุนตัวทะลวงกระบี่ยาวพุ่งไปข้างหน้าโดยพลัน!