ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 69 เรื่องยินดีสองเรื่องซ้อน
เมื่อได้ยินดังนั้นยังจะมีใครที่ไม่เข้าใจอีกว่าฉู่หลิวเยว่เตรียมการมาก่อนล่วงหน้ามาอย่างดี
นางแอบซื้อบ้านเอาไว้ตั้งนานแล้วรอจนกระทั่งสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้จึงมาตัดขาดกับตระกูลฉู่
ต้องทำเช่นนี้ นางถึงจะสามารถหลุดพ้นออกไปจากตระกูลฉู่ได้
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวได้เตรียมการอย่างรอบคอบเอาไว้แล้ว ผู้อาวุโสและคนอื่นก็รู้สึกอับอายขายขี้หน้าจนอยากตายไปจากตรงนี้ให้พ้นๆ
หากเมื่อก่อนฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่ทำเช่นนี้ พวกเขาจะไม่คัดค้านเด็ดขาด และพวกเขาจะแอบกำจัดรอยด่างพร้อยของตระกูลไปเสียให้พ้นๆ หน้า
ตอนนี้สถานะของฉู่หลิวเยว่ได้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง นี่ไม่เท่ากับว่าพวกเขาโดนฉู่หลิวเยว่สลัดทิ้งหรอกหรือ
หากเรื่องนี้ลือกันไปไกล ไม่รู้ว่าคนในตระกูลฉู่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
“ผู้อาวุโส ฉู่หลิวเยว่กำเริบใหญ่แล้ว ข้าว่าไม่จำเป็นต้องเก็บนางเอาไว้อีกต่อไปแล้ว!” ฉู่เยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มหันไปเกลี้ยกล่อมผู้อาวุโส
มาถึงคราวนี้แล้วยังจะกลัวเสียหน้าอะไรอีก ต้องจัดการขั้นเด็ดขาดตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด!
แต่ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วย
“ข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรรีบร้อนนัก ถึงอย่างไรฉู่หลิวเยว่ก็เป็นอัจฉริยะที่หายากเช่นกันและไม่ว่าตระกูลไหนต่างก็ต้องการนางทั้งนั้น! หากเราปล่อยนางไปเช่นนี้ มันจะไม่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หรอกหรือ”
“นั่นน่ะสิ อย่างไรเสียทั้งคู่ก็เป็นทายาทสายตรงของตระกูลฉู่ เรื่องการตัดขาดความสัมพันธ์นั้นสำคัญมาก ตอนนี้ท่านประมุขยังไม่อยู่อีกด้วย เราต้องระวังให้มากขึ้น…”
แต่ผู้อาวุโสกลับรู้สึกระคายหูเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาจึงปรายหางตามองคนที่พูดด้วยสายตาเย็นชา
“ทำไม พวกเจ้าไม่เชื่อข้า หรือคิดว่าข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเองหรือไร”
“ผู้อาวุโสโปรดเข้าใจข้าผิดนะ พวกเราไม่ได้หมายความ…”
“หึ ฉู่หลิวเยว่มีจิตใจต่ำช้า การกระทำก็ช่างโหดร้าย! หมินหมิ่นเป็นน้องสาวของนาง แต่กลับทำร้ายนางอย่างไร้ความปรานี! ยิ่งไปกว่านั้น นางเคียดแค้นตระกูลฉู่ขนาดนี้ แว้งกัดอย่างกับงูพิษ เก็บไว้ในตระกูลต่อไปมีแต่หายนะ!”
ฉู่เยี่ยนเอ่ยเหยียดหยาม
สีหน้าของผู้อาวุโสดูลังเลแล้วเขาก็เงียบมักพักหนึ่งแล้ว
หลังจากตกใจ เขาคิดอย่างรอบคอบ แต่ต้องการตกปากรับคำกับเรื่องนี้ทันที
เหนือสิ่งอื่นใด ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉู่หนิงและลูกสาวของเขาย่ำแย่มานานเหมือนมีกำแพงแทรกอยู่ตรงกลาง หากจะบอกว่าพวกเขาไม่รู้สึกเกลียดชังเขาเลย เขาไม่เชื่ออย่างแน่นอน
หากฉู่หลิวเยว่อยู่ในตระกูลฉู่ต่อไป ในอนาคตนางก็จะได้รับการยกย่องอย่างสูงแน่นอน
หากวันใดเมื่อนางเติบโตขึ้นจริงๆ เกรงว่าวันนั้นเขาคงตกที่นั่งลำบากเป็นแน่
เพียงแต่ว่าทางด้านท่านประมุขนั้น…เขาคงรับมือไม่ไหวแน่นอน
“ผู้อาวุโส แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แต่นางก็มีนิสัยดื้อรั้นและร้ายกาจ นางอยู่ที่ตระกูลนี้ต่อไปไม่ได้จริงๆ! ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากออกจากตระกูลไปแล้ว อนาคตของนางคงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกเกินไป ส่วนฉู่หนิง…ก็แค่คนพิการจะต้องไปสนใจทำไม”
ฉู่เยี่ยนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
ผู้อาวุโสสูงสุดในตระกูลได้แต่กัดฟันกรอดๆ
“ใครก็ได้ เอากระดาษกับพู่กันมา!”
เรื่องนี้ฉู่หลิวเยว่เป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง ในอนาคตเมื่อท่านประมุขออกจากบำเพญตบะแล้ว หากต้องหาผู้รับผิดชอบ ก็ต้องเป็นความผิดของฉู่หลิวเยว่!
“ไม่ต้อง ข้าได้เขียนคำชี้แจงตัดขาดกับตระกูลและรายละเอียดการแบ่งทรัพย์สินเอาไว้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พูดพลางหยิบกระดาษสองแผ่นจากแขนของนางแล้วยื่นมันออกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
“ผู้อาวุโสประทับรอยนิ้วมือแล้วก็เป็นอันเสร็จสรรพ”
มีเสียงหัวเราะบาๆ ดังมาจากฝูงชน
ฉู่หลิวเยว่คนนี้น่าทึ่งจริงๆ และนางก็เตรียมมาพร้อมหมดทุกอย่าง!
ใบหน้าของผู้อาวุโสแดงก่ำ เขาโกรธจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว!
เขาคว้ากระดาษทั้งสองแผ่นในคราวเดียวแล้วมองดูอีกครั้งด้วยความโมโห หลังจากพบว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็บรรจงกัดนิ้วจนเลือดสีแดงชาดซึมออกมาเป็นดวง จากนั้นก็กดประทับลงไปอย่างแรง!ฃ
“รับไปซะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่าได้เอ่ยว่าเจ้าเป็นคนในตระกูลฉู่ของข้าอีก!”
ผู้อาวุโสโยนกระดาษสองแผ่นนั้นกลับไปให้ฉู่หลิวเยว่ด้วยความโกรธ
ฉู่หลิวเยว่หาได้แยแสไม่ นางมองดูรอยนิ้วมือสีแดงสดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ริมฝีปากแดงระเรื่อยกยิ้มเล็กน้อย และชูกระดาษสองแผ่นนั้นขึ้นด้วยความพึงพอใจ
“จากนี้ไป ข้าจะเดินบนถนนหยางกวน ส่วนเจ้าเดินบนสะพานไม้แผ่นเดียวของเจ้า แต่ช่วยรบกวนเจ้าอย่าลืมเอาสิ่งของที่เขียนเอาไว้ในนี้ไปส่งให้ข้าภายในสามวัน ของของข้า ข้าไม่ชอบให้ไปอยู่ในมือของผู้อื่น”
“ไสหัวไปซะ!”
ในที่สุดผู้อาวุโสก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาตวาดลั่นด้วยความโกรธจัด จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วหันกลับเข้าไปทันที
“ปิดประตู!”
ทันทีที่สิ้นเสียงเขา ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดูประหลาดใจดังขึ้นมาไม่ไกล
“อ้าว ทำไมคนเยอะแยะจังเลย มาทำอะไรกันตรงนี้หรือ”
เมื่อทุกคนหันไปมองก็พบว่าผู้ที่มานั้นมีใบหน้าขาวผ่องและสวมชุดขุนนางมาจากพระราชวัง เขาเป็นคนในวังจริงๆด้วย!
ฝูงชนจึงรีบหลีกทางให้เขา
ชายผู้นั้นก้าวไปข้างหน้าด้วยความแปลกใจ และในที่สุดก็เห็นฉู่หลิวเยว่และผู้อาวุโสสุดของตระกูลยืนอยู่หน้าประตู
เขายินดีทันที
“ไอ้ย๊ะ นี่คือเจ้าหนูใหญ่ตระกูลฉู่มิใช่หรือ ได้ยินว่าวันนี้ท่านสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้ ฝ่าบาททรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่งเลยรู้ไหม”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มแล้วคำนับทักทาย
“คารวะหมิ่นกงกง[1] วันหน้าหลิวเยว่ต้องไปที่วังเป็นการส่วนตัวเพื่อขอบพระทัยฝ่าบาทแน่นอนเจ้าค่ะ”
หมิ่นกงกงคือขันทีรับใช้ข้างกายฝ่าบาท เขามีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าขุนนางคนอื่นๆ ในวังเสียอีก ใครก็มิอาจล่วงเกินเขาได้ง่ายๆ
ผู้อาวุโสกระแอมไอปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว และยิ้มออกมา
“หมิ่นกงกง ลมอะไรถึงหอบท่านมาที่นี่ได้ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งกระไรหรือ”
“ไอ้หยา! ข้ามารายงานเรื่องที่น่ายินดีต่างหาก วันนี้จวนของทั้งมีเรื่องยินดีสองเรื่องซ้อนเลยเชียวนะ!”
“เรื่องยินดีสองเรื่องซ้อนหรือ ไม่รู้ว่าหมิ่นกงกงหมายความว่าอย่างไร”
หมิ่นกงกงยิ้มหน้าบานแล้วทำท่าจีบนิ้วจีบมือกล่าวว่า
“เรื่องยินดีประการแรก แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่เจ้าหนูใหญ่สอบเข้าสำนักเทียนลู่สำเร็จ อีกทั้งยังคว้าอันดับสองของการสอบปรมาจารย์และอันดับที่หนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์ได้อีกด้วย ส่วนเรื่องยินดีประการที่สองคือ ใต้เท้าฉู่หนิงหายจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังแล้วบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ห้าได้สำเร็จ! ฝ่าบาททรงพอพระทัยมากจึงมีรับสั่งให้แต่งตั้งใต้เท้าฉู่หนิงเป็นหัวหน้าองครักษ์กรมวังหลวง ข้ามาที่นี่เพื่อรายงานเรื่องยินดีให้ท่าน ท่านดูสิ นี่ถือเป็นเรื่องยินดีสองเรื่องพร้อมกัน ช่างทำให้คนนึกอิจฉาจริงเลยเชียว!”
[1] กงกง สรรพนามเรียกขันทีในวัง