ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 9 สั่งสอน
ดูเหมือนอากาศจะเย็นเฉียบขึ้นฉับพลัน
เดิมทีคนที่อยู่ทั้งข้างนอกและข้างในเรือนต่างเตรียมดูตัวตลกอย่างฉู่หลิวเยว่ ทว่าทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ไปกินดีหมีหัวใจเสือที่ใดมา ถึงได้กล้าตบฉู่เหลียนเซิงสองฉาดจนหน้าหันเช่นนี้!
ท่ามกลางบรรยากาศหนาวยะเยือกและน่าอึดอัดแบบนี้ ฉู่เหลียนเซิงเป็นฝ่ายได้สติก่อน
ความเจ็บแสบปวดร้อนบนใบหน้า กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งในปาก ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเตือนสติเขาว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น!
“นังสารเลว เจ้ากล้าตบหน้าข้า!”
ดวงตาของฉู่เหลียนเซิงเบิกโตด้วยความโกรธโมโหจนถึงขีดสุด ยามนี้เขาชักมีดพกออกมาจากเอว และพุ่งเข้าไปหมายจะฟันฉู่หลิวเยว่ด้วยความเดือดดาล
สายตามองไปที่คบมีดพกเล่มนั้น หมายมาดจะฟันฉู่หลิวเยว่ให้ขาดสะบั้น
เมื่อใช้มีดพกฟันเข้าไป ฉู่หลิวเยว่ไม่ตายก็พิการ!
ถึงกระนั้นฉู่หลิวเยว่กลับไม่ขยับตัวเลยสักนิด นางเงยหน้าขึ้นจ้องฉู่เหลียนเซิงด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ฉู่เหลียนเซิง เจ้าคิดจะฟันคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนั้นหรือ!”
ประโยคนี้ช่างน่าตกตะลึงราวกับเสียงสายฟ้าฟาดที่ข้างหูของฉู่เหลียนเซิง!
เพียงแค่ประโยค “คุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่” ไม่กี่คำดั่งคำสาปที่ทำให้เขาหยุดการกระทำทุกอย่างแน่นิ่ง!
คมมีดพกเล่มนั้นห่างจากร่างของฉู่หลิวเยว่ไม่ถึงคืบ!
เขามองหน้าฉู่หลิวเยว่อย่างไม่รู้ตัว และสบเข้ากับนัยน์ตาดำขลับสงบนิ่งคู่นั้นพอดี
ขณะนั้นเอง เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังแข็งแกร่งที่น่าทึ่งและน่าประหลาดใจ!
สายตาของฉู่หลิวเยว่เฉียบคมราวกับกระบี่ ที่แฉลบผ่านร่างกายของเขาทุกกระเบียดนิ้ว
ขวับ!
ฉู่เหลียนเซิงได้สติขึ้นมาอย่างมึนงง
ก็ใช่น่ะสิ!
เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าซอมซ่อ ร่างกายผอมแห้งอ่อนแอ ทว่า…ถึงอย่างไรนางก็มีสถานะเป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่!
ส่วนเขา…ก็แค่คนรับใช้ที่อาศัยอำนาจของฉู่เซียนหมิ่นคุ้มกะลาหัวเท่านั้น!
“ตบฉาดแรก เพราะเจ้าไม่เจียมตัว”
ฉู่หลิวเยว่เยื้องกรายไปข้างหน้า
ฉู่เหลียนเซิงก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“ส่วนฉาดที่สอง เพราะเจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
ฉู่หลิวเยว่ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด
มือข้างที่ถือมีดพกอยู่ของฉู่เหลียนเซิงสั่นระริก
“แม้ข้าจะเกิดมาเป็นคนไร้ค่า แต่เลือดในกายของข้าก็คือสายเลือดของตระกูลฉู่ หลายปีมานี้ ข้าปกป้องตัวเองให้ปลอดภัย ไม่เคยหาเรื่องใคร แล้วพวกเจ้าล่ะ ต่างพากันกลั่นแกล้งข้าให้เกิดความอับอายุถึงที่สุด พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า พวกเจ้า…มีคุณสมบัติใดกัน!”
ฉู่หลิวเยว่จี้ถาม ในที่สุดฉู่เซียนเซิงก็ทนไม่ไหว แล้วโต้กลับด้วยความไม่พอใจ
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้ามันก็แค่คนไร้ค่าตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นความอัปยศให้กับทั้งตระกูลฉู่ เจ้ายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีกหรือ บนโลกใบนี้ผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นที่เคารพนับถือ ที่เจ้ามีวันนี้ มันก็สมควรที่เจ้าจะได้รับ!”
แม้ว่าคำพูดจะฟังดูแข็งกร้าว แต่น้ำเสียงของฉู่เหลียนเซิงกลับสั่นเครือเล็กน้อย
เขารู้ดี มักไม่มีใครสนใจเอาความกับคนที่กลั่นแกล้งรังแกฉู่หลิวเยว่ แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับทั้งตระกูลฉู่ล่ะก็ เช่นนั้นคงอับอายน่าดู
เขาระมัดระวังในการทำสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ แต่คราวนี้ไม่รู้ว่าพวกซ่งเหลียนจะเป็นตายร้ายดีเช่นไรจึงทำให้ร้อนรนกระวนกระวาย นอกจากนี้หลังฉู่หลิวเยว่กลับมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจนทำให้รู้สึกไม่สบายใจ เขาจึงวู่วามพาคนบุกเข้ามาที่นี่
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคาดคิดว่าฉู่หลิวเยว่ผู้ที่อ่อนแอมาตลอดจะกล้าต่อต้านเขาถึงเพียงนี้!
เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินเช่นนั้น นางก็ยกยิ้มมุมปากทันที
“ก็จริงอยู่ที่ข้าเป็นคนไร้ความสามารถ แต่ดูเหมือนพวกเจ้าจะลืมไปว่า ท่านพ่อของข้าเป็นใคร ยิ่งไปกว่านั้นคู่หมั้นของข้าคือใคร”
เหงื่อเย็นชื้นของฉู่เหลียนเซิงผุดขึ้นทันที
แน่นอนว่าตอนนี้ท่านปู่ของฉู่หลิวเยว่คือประมุขตระกูลฉู่ ยิ่งไปกว่านั้นคู่หมั้นของนางก็คือ…องค์ชายรัชทายาท!
อย่างไรก็ตามในสายตาของผู้คน ฉู่หลิวเยว่ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะได้อภิเษกสมรสกับองค์ชายรัชทายาท แต่ถึงอย่างไร สัญญาแต่งงานนั้นยังคงมีอยู่!
พวกเขาสามารถนินทาถึงเรื่องนี้ลับหลังได้ แต่ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าได้!
“เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งด่าข้าว่านังสารเลว”
ฉู่หลิวเยว่ยิ่งยิ้มอ่อนโยนมากขึ้น
“เช่นนั้น เจ้าก็ด่ารวมถึงท่านปู่และองค์ชายรัชทายาทด้วยน่ะสิ”
เคร้ง!
มีดพกของฉู่เหลียนเซิงร่วงลงกับพื้น เข่าทั้งสองข้างอ่อนฮวบ และใบหน้าของเขาพลันซีดเผือดจนแทบล้มตึงไปกองกับพื้น
แน่นอนว่าความจริงนั้นฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เห็นท่านปู่และคู่หมั้นของเจ้าของร่างเดิมอยู่ในสายตา ตราบใดที่พวกเขามีความสงสารและห่วงใยนางสักนิด เจ้าของร่างกายเดิมก็คงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น!
ยามนี้หยิบยืมมาอ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่มีเสียสิ่งใดหาย
“ข้า…ข้าเปล่านะ…”
ฉู่เหลียนเซิงพูดตะกุกตะกัก
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เพื่อรักษาหน้าตาชื่อเสียงตนเองแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลฉู่หรือองค์ชายรัชทายาทก็คงไม่ปล่อยเขาเอาไว้แน่!
ฉู่หลิวเยว่กล่าวด้วยท่าทางสบายๆ
“ตอนนี้เจ้าจะยอมทำโทษด้วยการตัดแขนขวาของตนเอง หรือว่า…จะให้ข้าเชิญท่านปู่กับองค์ชายรัชทายาทมาให้ความยุติธรรมดีล่ะ”
ฉู่เหลียนเซิงตกตะลึง ฉู่หลิวเยว่ต้องการให้เขาชดใช้อย่างเจ็บปวดขนาดนี้จริงหรือ!
ตัดแขนข้างขวาด้วยตนเอง นั่นหมายความว่าชีวิตการเป็นผู้ฝึกพลังต้องจบสิ้นเสียแล้วหรือ!
เขาขบกรามแน่น แล้วลอบส่งสายตาให้กับคนข้างๆ
ตอนนี้ เพียงแค่ถ่วงเวลา เพื่อรอให้คุณหนูสามรับหน้าแทน…
“ในเมื่อเจ้าไม่กล้าลงมือเอง เช่นนั้น ข้าก็จะสงเคราะห์ให้!”
ฉู่หลิวเยว่กลับไม่ให้เวลาเขาแม้แต่วินาทีเดียว จากนั้นจึงหยิบมีดพกคู่กายของเขาที่ตกลงบนพื้นขึ้นมาฟันลงไปโดยไม่ลังเลสักนิด!
ฉู่เหลียนเซิงเป็นนักรบระดับสาม หากพูดตามเหตุผลแล้วเขาสามารถหลบมีดพกของฉู่หลิวเยว่ได้แน่นอน
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในระหว่างที่แสงสะท้อนของมีดพกวูบไหว เขามิทันเห็นได้ชัดว่าฉู่หลิวเยว่เคลื่อนไหวด้วยกระบวนท่าใดกันแน่!
ฉับ!
แขนข้างขวาของฉู่เหลียนเซิงถูกตัดจนขาดสะบั้น!
เลือดพุ่งกระจายเต็มพื้น!
“อ๊ากกก!”
เพราะความเจ็บปวดอันแสนสาหัสจึงทำให้ฉู่เหลียนเซิงกรีดร้องทุรนทุรายจนสุดเสียง!
ทุกคนรู้สึกสั่นสะท้านในอก แล้วหันไปมองฉู่หลิเยว่อย่างอดไม่ได้
เด็กสาวร่างผอมบางยืนหลังตรงตระหง่านและถือมีดพกในมือด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ราวกับว่าเมื่อครู่นี้นางเพิ่งจะตัดกิ่งไม้ท่อนหนึ่งไป เหมือนไม่ได้ตัดแขนข้างขวาของคนเลยสักนิด!
นี่ยิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดผวามากขึ้นไปอีก!
…ฉู่หลิวเยว่ นางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจริงๆ
แม้กระทั่งคนที่ล้อมรอบฉู่หลิวเยว่ไว้ตอนแรก เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ต่างก็ถึงกับล้มเลิกความคิดที่จะจัดการนาง
น่าขำสิ้นดี!
นางเพิ่งอ้างถึงประมุขตระกูลกับองค์รัชทายาท ยังจะมีใครกล้าแตะต้องนางอีก
บางคนกำลังลังเลอยู่ว่าจะช่วยประคองฉู่เหลียนเซิงดีหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้าขยับแม้แต่ก้าวเดียว
หากฉู่หลิวเยว่เกิดบ้าขึ้นมาแล้วฟันพวกเขาจะทำเยี่ยงไร
ขณะนั้นเอง ภายใต้เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งยิ่งใหญ่ ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่าฉู่หลิวเยว่คนไร้ความสามารถจะสามารถจัดการกับฉู่เหลียนเซิงได้อย่างราบคาบเช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่โยนมีดพกทิ้งอย่างไม่ใยดี แล้วมันก็กลิ้งมาอยู่แขนข้างที่ขาดของฉู่เหลียนเซิง สภาพเลือดเจิ่งนอง และกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งช่างดูน่าสยดสยองเหลือเกิน
“ไสหัวไป!”
นางพูดแล้วหันหลังเดินกลับไปหายาสมุนไพรที่กองพะเนินอยู่เต็มเรือน
เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นเพียงการเชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้น
เจ้าของร่างเดิมเคยมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ไม่ได้รับความยุติธรรม นางจะต้องเอาคืนคนพวกนี้เป็นร้อยเท่าพันเท่า!
หนี้สองแสนตำลึงนับเป็นสิ่งใด
แขนข้างเดียวนับเป็นสิ่งใด
หากเทียบกับชีวิตของฉู่หลิวเยว่แล้ว มันยังไม่สาสมด้วยซ้ำ!
ทุกคนด้านในและด้านนอกเรือนต่างพากันสบตามองหน้า
คราแรกแค่อยากมาดูเรื่องตลกขบขันของฉู่หลิวเยว่เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่า…
ในขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันแสนคุ้นเคยดังขึ้นมาจากข้างนอก
ทันใดนั้นเสียงอุทานด้วยความตกใจของหญิงสาวก็ดังขึ้น
“เหลียนเซิง เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า!”
ทุกคนหันกลับไปมอง สีหน้าต่างก็ดูมีสีสันมากขึ้น
คนที่เข้ามานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้านายของฉู่เหลียนเซิง…คุณหนูสามฉู่เซียนหมิ่น!
ก่อนหน้านี้ฉู่เซียนหมิ่นเพิ่งจะขาดทุนย่อยยับ คิดอย่างไรก็มิอาจทำใจได้ แน่นอนว่านางคงไม่ปล่อยให้ฉู่หลิวเยว่ได้มีชีวิตอย่างสุขสงบ นางจึงส่งฉู่เหลียนเซิงมาจัดการให้ก่อน
ประการแรก นางอยากรู้ว่าตกลงฉู่หลิวเยว่ซื้อยาสมุนไพรใดมาบ้าง และประการที่สองคือนางอยากหาโอกาสสั่งสอนฉู่หลิงเยว่
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เรื่องราวยังไม่ทันบานปลาย ลูกน้องก็นำข่าวมารายงานว่าทุกอย่างได้กลับตาลปัตรแล้ว
นางจึงตะลีตะลานตามมา ก็เห็นสภาพฉู่เหลียนเซิงล้มกองกับพื้นร้องโอดโอยทุรนทุราย แล้วแขนข้างขวาของเขาก็ถูกฟันขาดสะบั้นไปเสียแล้ว!
ฉู่เหลียนเซิงตะเกียกตะกาย ร้องไห้น้ำตาไหลพรากอย่างเจ็บปวด
“คุณหนูสาม คุณหนูสามท่านต้องจัดการให้ข้าน้อยนะ! นังสาระเลวนั่น…คุณหนูใหญ่เป็นคนฟันแขนข้างขวาของข้าน้อยขาด!”
ทันใดนั้นไฟแห่งโทสะของฉู่เซียนหมิ่นก็ปะทุขึ้น
ใครไม่รู้บ้างว่าฉู่เหลียนเซิงเป็นคนของนาง ฉู่หลิวเยว่ทำเช่นนี้เหมือนกับเป็นการตบหน้านางอย่างไม่ต้องสงสัย!
นางมองไปที่ฉู่หลิวเยว่แล้วพยายามข่มอารมณ์โกรธแค้นของตนเอง
“ท่านพี่ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ ท่านพี่คงจะให้คำตอบน้องได้ใช่หรือไม่”