ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 117 วิกฤต
เสวียเสวี่ยมองฉู่หลิวเยว่ตาละห้อย ดูเหมือนมันจะทำอะไรไม่ถูก หัวโตๆ ของมันติดคาอยู่ที่หน้าต่าง ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก
“ถึงอย่างไรมันก็พังแล้ว เจ้าเข้ามาเลยเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่กุมขมับ นางกวักมือเรียกมันทั้งโกรธทั้งขำ
ด้วยขนาดของเสวียเสวี่ยค่อนข้างยากที่จะเข้าทางหน้าต่าง บวกกับความแข็งแกร่งเรื่องพละกำลังนั้น จึงทำให้ไม้ตรงขอบหน้าต่างปริแตกได้
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้โกรธ เจ้าเสวียเสว่ยก็โล่งใจ จากนั้นก็กระโดดพุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของฉู่หลิวเยว่ทันที
ฉู่หลิวเยว่รับมันไว้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมายืนได้อย่างมั่นคง
เจ้าก้อนนุ่มตัวโตที่อยู่ในอ้อมกอดทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของฉู่หลิวเยว่ในตอนแรกผ่อนคลายลงไปมาก
นางกอดเสวียเสวี่ยแล้วชั่งน้ำหนักก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“เอ๋ เสวียเสวี่ย ดูเหมือนเจ้าจะผอมลงนะ”
ดูเหมือนว่าจะผอมลงกว่าตอนที่เจอกันครั้งแรกไปเยอะเลย
เสวียเสวี่ยถูไถใบหน้าของนางอย่างออดอ้อน ฉู่หลิวเยว่รู้สึกจั๊กจี้จนต้องถอยหลังหนี
“พอแล้วๆ เสวียเสวี่ยอย่าซน ข้าจั๊กจี้…”
แต่เสวียเสวี่ยก็คลอเคลียนางอยู่นานถึงจะหยุดแล้วนอนอยู่ข้างเท้านางอย่างเชื่อฟัง แถมยังแกว่งหางไปมาไม่หยุด ดูท่าทางเชื่องมาก
ฉู่หลิวเยว่อดยิ้มไม่ได้ หากใครมาเห็นภาพนี้เข้าก็คงเข้าใจผิดคิดว่าเสวียเสวี่ยเป็นสัตว์อสูรของนาง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อารมณ์ของฉู่หลิวเยว่ก็อ่อนไหวขึ้นมา
จะว่าไปก็แปลก หรงซิวถึงจะเป็นเจ้าของของเสวียเสวี่ย แต่มันกลับดูสนิทกับนางมากกว่าเขาเสียอีก
ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ นางก็สนิทใกล้ชิดกับเสวียเสวี่ยอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับสัมผัสได้ว่าเสวียเสวี่ยจะไม่มีทางทำร้ายนาง
สัตว์อสูรนั้นดุร้ายโดยเฉพาะสัตว์อสูรระดับสูงเช่นนี้ยิ่งเย่อหยิ่งทระนง ตามเหตุผลแล้วมันจะไม่ศิโรราบให้ใครนอกจากผู้เป็นเจ้าของ
“แต่เสวียเสวี่ย…”
“ช่วงนี้ข้าไม่เห็นหน้าเจ้าเลย ไปไหนมา หืม”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามพลางเอามือลูบขนมัน
เสวียเสวี่ยหลับตาลงด้วยความสบาย
ตอนอยู่กับเจ้านาย มันเคยได้นอนสบายๆ แบบนี้หรือ
แต่อย่างว่าหลายวันมานี้มันออกไปทำภารกิจอยู่ข้างนอก
เมื่อเห็นสีหน้าเพลิดเพลินสบายอุราของเสวียเสวี่ย ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ยินคำถามของนาง นางก็เลยไม่เก็บมาใส่ใจ
ช่วงเวลานี้มีเสวียเสวี่ยอยู่เป็นเพื่อน นางก็คลายความเหงาลงมาได้บ้าง
“แต่จะว่าไป เจ้ากับเจ้านายเจ้ามีส่วนคล้ายกันมาก”
เสวียเสวี่ยขยับลืมตามองนาง
ฉู่หลิวเยว่ใช้นิ้วเรียวขาวจิ้มไปที่จมูกสากๆ ที่เปียกชื้นของมัน
“ชอบบุกเข้าห้องคนอื่นกลางดึกเหมือนกัน!”
เสวียเสวี่ยหลับตาลงอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิด มันดันมือของฉู่หลิวเยว่แล้วทำจมูกฟึดฟัดสองที
ฉู่หลิวเยว่ลอบถอนหายใจ
ยิ่งท่าทางแบบนี้ยิ่งเหมือนเข้าไปใหญ่…
“เยว่เอ๋อร์ ลูกกลับมาแล้วหรือ”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของฉู่หนิงดังมาจากด้านนอกประตู
ฉู่หลิวเยว่ลุกไปเปิดประตูด้วยความดีใจ ทว่าเสวียเสวี่ยยังเร็วกว่านางมาก มันลุกขึ้นแล้วกระโดดออกจากทางหน้าต่างไปแล้ว
จึงทำให้รอยแตกของหน้าต่างบานนั้นใหญ่กว่าเดิม…
ฉู่หลิวเยว่ได้แต่มองตาปริบๆ และพูดอะไรไม่ออก
นางยังไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมเสวียเสวี่ยถึงได้รู้สึกผิดขนาดนี้…
นางเปิดประตูออกไป และคนที่อยู่ด้านนอกประตูคือฉู่หนิง ซึ่งไม่ได้พบเห็นมาหลายวันแล้ว
ตอนนี้เขาสวมชุดเกราะสีดำของราชองครักษ์ที่ตามเนื้อตัวเปื้อนไปด้วยฝุ่นมอมแมม
ทว่าทันทีที่เขาเห็นฉู่หลิวเยว่ดวงตาที่เหนื่อยล้าของเขากลับสดใสขึ้นมาในฉับพลัน
“เยว่เอ๋อร์กลับมาแล้วจริงๆ ด้วย”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ ยากนักที่นางจะออดอ้อน
“พรุ่งนี้สำนักหยุดเรียน พอลูกเลิกเรียนก็เลยกลับมาทันที ไม่เจอกันหลายวัน เยว่เอ๋อร์คิดถึงท่านพ่อจังเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดชโลมใจของบุตรสาว ฉู่หนิงก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาพลันหายไปหมดเกลี้ยงและชื่นใจขึ้นมา
“พ่อก็คิดถึงเยว่เอ๋อร์เช่นกัน! ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นๆ พ่อไม่มีเวลาไปส่งลูกที่สำนักเลย”
ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านพ่อ บ้านเราอยู่ใกล้สำนักแค่นี้เอง ท่านไม่เห็นจำเป็นต้องไปส่งเลย ตอนนี้ท่านเพิ่งกลับมารับหน้าที่ จะต้องมีเรื่องให้จัดการมากมาย ดูท่าทางท่านพ่อคงไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันเลยใช่ไหมเจ้าคะ”
ขณะพูดหลิวเยว่เชิญฉู่หนิงเข้ามานั่งข้างในและรินชาให้เขา
“ไม่หรอก นอกจากรับช่วงต่อจากกรมราชองครักษ์แล้ว ยังมีเรื่องขององค์หญิงสี่ที่ต้องจัดการ ก่อนหน้านี้องค์หญิงสี่ประสบอุบัติเหตุระหว่างการล่าสัตว์ จึงทำให้หยวนตันหรือแก่นพลังแตกสาลาย ฝ่าบาททรงสงสารนางยิ่งนัก ช่วงนี้จึงต้องสืบสวนตลอดและจัดการลงโทษไปสิบกว่าคนแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ตอบ “อ้อ” ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“หากหยวนตันเสียหายแล้วต่อไป…ก็คงไม่มีทางกลับมาฝึกยุทธ์ได้อีกแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่ เรื่องนี้ทำให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่กับองค์หญิงสี่ ในวังหลวงก็วุ่นวายโกลาหลมากเช่นกัน นางยังบอกอีกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับสัตว์อสูรตัวนั้นที่ทำร้ายนางมาให้ได้ แต่น่าเสียดาย วันนั้นเป็นนางเองที่ตามล่าสัตว์อสูรตัวนั้นจนต้องพลัดตกหน้าผาไป และไม่มีใครอยู่ในเหตุการณ์ แม้กระทั่งสัตว์อสูรตัวนั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดทราบ แล้วจะตามหาเจอได้อย่างไร”
“ถ้ามีเพียงองค์หญิงสี่ที่เคยเห็น ทำไม่ไม่ให้นางบอกรูปพรรณสัณฐานมาให้ ก็น่าจะตามหาได้ง่ายขึ้นมิใช่หรือ”
“องค์หญิงสี่เองก็เห็นไม่ชัด กอปรกับตกใจมาก จึงอธิบายไม่ชัดเจน หากอยากตามหาให้เจอ มันยากพอๆ กับการได้ขึ้นสวรรค์เชียวล่ะ”
ฉู่หนิงถอนหายใจเพราะไม่มีความหวังในเรื่องนี้เลย
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจ
หรงเจินถูกตามใจจนเสียนิสัย โดยคิดว่าตนเองเป็นองค์หญิงที่ถือกำเนิดจากฮองเฮาจึงคิดที่จะทำอะไรก็ได้ จนสุดท้ายกลายมาเป็นคนพิการโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด และความเป็นที่โปรดปรานเหมือนอดีตก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่รอคอยนางอยู่คืออนาคตอันขมขื่นและอ้างว้าง
คนในราชวงศ์โหดเหี้ยมไร้ความปรานีมากที่สุด หากไม่มีผลประโยชน์และไม่มีค่าใดๆ แล้วก็จะถูกตัดหางปล่อยวัด
น่าเสียดายที่ดูเหมือนหรงเจินจะยังไม่สำนึกในเรื่องนี้
ฉู่หลิวเยว่เท้าคางแล้วถามเรื่อยเปื่อย
“ข้าได้ยินมาว่าฉู่เซียนหมิ่นแต่งเข้าจวนรัชทายาทไปเมื่อสองวันก่อน ช่างรวดเร็วเสียนี่กระไร คราวนี้รัชทายาทและฉู่เซียนหมิ่นคงได้กันสมปรารถนาแล้ว”
อ่อ บางทีฉู่เซียนหมิ่นอาจจะไม่ได้อะไรเลย
ตอนที่นางคิดจะจับรัชทายาทให้อยู่หมัด นางน่าจะไม่เคยคาดคิดว่าตนเองจะแต่งเข้าไปในฐานะอนุภรรยาหรือนางสนมตัวเล็กๆ
นางเข้าไปเรียนในสำนักแค่มากี่วัน ในเมืองหลวงก็เกิดเรื่องมากมาย
ฉู่หนิงมีสีหน้าเรียบตึงขึ้นมา
“เยว่เอ๋อร์ ลูกไม่ต้องคาดหวังเรื่ององค์ชายรัชทายาทมากนัก ไม่ง่ายเลยกว่าเราจะได้ขีดเส้นแบ่งให้ออกห่างจากรัชทายาท ต่อไปเราอย่าได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเขาอีก”
ปฏิกิริยานี้ทำให้ฉู่หลิวเยว่แปลกใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทางหวาดระแวงของฉู่หนิง ความคิดของฉู่หลิวเยว่ก็เปลี่ยนไปทันที
“…มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับรัชทายาทหรือเจ้าคะ”
ฉู่หนิงไม่คิดว่าฉู่หลิวเยว่จะฉลาดขนาดนี้ และนางก็เดาสถานการณ์ได้เพียงแค่เขาพูดประโยคเดียว
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้พัวพันกันหลายคน เยว่เอ๋อร์ไม่ต้องถามมากจะยิ่งดี กล่าวคือให้ระมัดระวังในคำพูดและการกระทำของลูกเอาไว้ให้ดี”
ฝ่าบาททรงเรียกพบรัชทายาท หลังจากรู้เรื่องนี้เขาก็ตกตะลึงพร้อมกับมีเหงื่อที่เย็นยะเยือกซึมไปทั่วทั้งร่าง
โชคดีที่พวกเขาตัดขาดออกมาจากตระกูลฉู่และยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับองค์ชายรัชทายาทก่อนแล้ว มิฉะนั้นพวกเขาสองคนพ่อลูกต้องถูกลากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นหรงจิ้น แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงคำอวยพรให้เขาโชคดีเท่านั้น
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง เยว่เอ๋อร์ทราบดีเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่พูดเช่นนั้นไปก่อน แต่นางกำลังคิดอยู่ในใจว่ารัชทายาททำอะไรถึงได้ทำให้ฉู่หนิงมีปฏิกิริยาเช่นนี้
วันนี้นางออกจากสำนักก็ไม่ได้ยินเรื่องใดเลย เห็นทีคงต้องเก็บเรื่องในวังเป็นความลับ
แต่สถานการณ์ของรัชทายาท…อาจไม่ปลอดภัย
ในฐานะผู้บัญชาการราชองครักษ์ ฉู่หนิงก็เปรียบเสมือนมีดที่อยู่ในมือของจักรพรรดิจยาเหวิน
แต่ตอนนี้ปลายมีดได้หันเข้าหาองค์ชายรัชทายาทแล้ว ใช่หรือไม่