ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 119 ขูดเลือดขูดเนื้อ
“คิดบัญชีหรือ”
ผู้อาวุโสโกรธจนหัวเราะเย้ยหยันออกมา
“นางต้องการคิดบัญชีอันใดอีก!”
เด็กรับใช้หดตัวถอยหนีไปข้างหลัง
“นาง…นางบอกว่าก่อนหน้านี้ท่านเคยทำสัญญาแยกตระกูลฉบับนั้นว่าจะยกมรดกส่วนนั้นให้นาง แต่ยังไม่ได้ให้สักชิ้น…แล้วก็ยังมีสินสอดทองหมั้นของมารดานางที่นำติดตัวมาด้วยในตอนนั้น วันนี้นางก็จะเอาไป…”
ประโยคนี้ทำให้ผู้อาวุโสตกใจอย่างยิ่ง
เขาเกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
เวลานั้นฉู่หลิวเยว่ทำเขาโกรธจนแทบสิ้นสติ เขาจึงลงนามในสัญญาโดยไม่ทันได้ดูอย่างถีถ้วน
ตอนนี้พอคิดดูคราวๆ แล้วไม่ว่าอย่างไรก็นับเป็นเงินก้อนโต!
ลำพังแค่สินสอดทองหมั้นของมารดาฉู่หลิวเยว่ก็มากมายมหาศาลแล้ว!
หากต้องคืนทุกอย่างให้ฉู่หลิวเยว่จริงๆ เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าเป็นการขูดเลือดขูดเนื้อตระกูลฉู่น่ะสิ!
ผู้อาวุโสเดินงุ่นง่านด้วยความหงุดหงิด เมื่อมองดูบัญชีที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะจากหางตา อารมณ์ของเขายิ่งแย่ลงไปอีก
ยามนี้รายได้ของตระกูลฉู่ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย หากนำเงินส่วนนี้ออกไป สถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นไปอีก
…ทำไมฉู่หลิวเยว่ถึงมาขอกันหน้าด้านๆ เยี่ยงนี้!
“ผู้อาวุโส ท่านรีบออกไปดูดีกว่า ฉู่หลิวเยว่ยังบอกอีกว่า ถ้าวันนี้ไม่ได้เงินสักตำลึง นางก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น…ข้าน้อยเห็นพวกเขาเข้ามาขว้างกั้นประตูใหญ่เอาไว้แล้วขอรับ…”
“ไร้ประโยชน์!”
ผู้อาวุโสตะคอกด่าเข้า แล้วรีบก้าวเท้าพรวดพราดออกไปข้างนอก
แค่ฉู่หลิวเยว่กระจอกๆ คนเดียว จะสามารถทำลายตระกูลฉู่ให้ย่อยยับได้จริงหรือ!
…
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลฉู่รีบเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ เมื่อเห็นฉากที่อยู่ตรงหน้าเขาก็แทบจะลมจับด้วยความโกรธ
เขาเห็นฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูนั่น ทั้งยังมีชาวบ้านมากมายมามุงดูสถานการณ์ข้างๆ อีกด้วย
นางพูดกับคนที่เข้ามามุงล้อมด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“…ก็ใช่น่ะสิ ท่านแม่ของข้าขึ้นสวรรค์ตั้งแต่ข้ายังเยาว์วัย เหลือเพียงข้ากับท่านพ่อที่พึ่งพาอาศัยกัน อย่างที่พวกท่านทราบกันดี ตอนนั้นท่านพ่อข้าบาดเจ็บจากการอารักขาฝ่าบาท จึงทำให้ไม่สามารถฝึกยุทธ์อีกต่อไปได้ คนในตระกูลฉู่ก็พูดว่าพวกข้าสองคนไร้ความสามารถในการดูแลสินสอดของท่านแม่ ทั้งยังให้ข้าเอาของเหล่านี้ให้ลู่เหยาเป็นคนจัดการแทนอีก…หลายปีผ่านไป ในที่สุดข้ากับท่านพ่อก็ได้ลืมตาอ้าปาก ข้าคิดว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าสินสอดของท่านแม่ เพราะนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้าเป็นของดูต่างหน้า หากข้าไม่ได้นำกลับคืน ข้าคงไม่สบายใจแน่ๆ…”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็พยักหน้าติดๆ กัน
ฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่ก็ถือว่าเป็น ‘คนดัง’ ของเมืองหลวง ทุกคนต่างกล่าวขานนินทากันไม่น้อย หลายคนก็รู้ดีว่าสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่เล่าเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริง
ความจริงนั้นไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้ดีว่าที่ตระกูลฉู่ทำเยี่ยงนี้ก็เพราะต้องการฮุบสมบัติที่เป็นสินสอดของมารดาฉู่หลิวเยว่
ดูผิวเผินตระกูลฉู่เหมือนจะมีกิจการใหญ่โต แต่ภายในกลับโลภโมโทสันกันทั้งนั้น
“ใช่ๆ! สินสอดนี่เป็นของเจ้า คนอื่นไม่มีสิทธิ์ได้! เจ้าต้องเอาคืนกลับมาให้ได้เชียวนะ!”
“จริงด้วย! ตระกูลฉู่เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง หากไม่เอาของของเจ้ามาคืนให้ เช่นนั้นก็ทำเกินไปหน่อยแล้วกระมัง”
“เจ้าพูดถูก…หากตระกูลฉู่ทำเช่นนั้นจริงก็หน้าไม่อายแล้ว”
เมื่อผู้อาวุโสมาได้ยินทุกคนบริเวณนั้นกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันก็มีสีหน้ามืดหม่น ก่อนจะตวาดลั่น
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้ากำลังทำอะไร!”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตายียวน
“โอ้ ผู้อาวุโสตระกูลฉู่ ท่านไม่ทราบหรือว่าข้ามาทำอะไรที่นี่ ก่อนหน้านี้ท่านเคยสัญญาว่าจะเอาสิ่งของที่เป็นของข้าและท่านพ่อส่งคืนกลับไป แต่ข้ารอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครมาถึงหน้าบ้านสักที แม้กระทั่งเงาสิ่งของของข้ายังไม่เห็นเลย ข้าก็คิดว่าท่านเป็นคนใหญ่คนโตมีเรื่องให้ต้องทำมากมาย ก็เลยไม่มีเวลามาจัดการเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้ ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงพาคนมาด้วยเป็นการพิเศษไงล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือชี้นิ้วไปทางพรรคพวกที่อยู่ด้านหลัง
“สองท่านนี้เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีที่ดีที่สุดของเจินเป่าเก๋อ ประเดี๋ยวจะมาช่วยตรวจสอบสิ่งของเล็กน้อย รับรองว่าไม่มีผิดพลาดอย่างแน่นอน ส่วนอีกสี่คนนี้เป็นเด็กรับใช้ในเจินเป่าเก๋อ แข็งแรงเอาการเอางาน จะมาช่วยขนย้ายออกไปจะได้ไม่ต้องรบกวนคนของตระกูลฉู่ ผู้อาวุโสว่าดีหรือไม่”
ผู้อาวุโสพูดไม่ออก
คราวนี้ฉู่หลิวเยว่วางแผนมาอย่างดีจริงๆ!
ครั้งนี้นางพาคนมาขวางประตูก็เพื่อต้องการนำสิ่งของพวกนั้นกลับไปด้วย
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้แล้ว หากเขาไม่ทำตามสัญญา นางคงต้องเข้ามาแย่งไปเป็นแน่
“เจ้าบังอาจ! ที่นี่คือตระกูลฉู่ ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาวางกร่างป่าเถื่อนได้!”
ฉู่หลิวเยว่ย้อนถาม
“ข้าจะบังอาจได้อย่างไร ในเมื่อข้าแค่มาเอาของของข้ากับท่านพ่อคืน ไม่ได้หรือ หรือท่านจะผิดสัญญา หึ! ครั้งก่อนกับครั้งนี้มีพยานหลายคน ท่านทำเช่นนี้ไม่ดีกระมัง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางลงไปเล็กน้อย
“แน่นอนข้ารู้ว่าที่นี่คือตระกูลฉู่ หากไม่ใช่เพราะพวกท่านอิดออดไม่ทำตามสัญญาสักที ข้าจะมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ข้ายังนึกกลัวอยู่เลยว่าถ้ามาหลายครั้งจะทำให้ลูกตาข้าสกปรกน่ะ”
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้าว่าอะไรนะ!”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ลู่เหยาซึ่งตามมาทีหลังก็ตำหนินางทันที ในแววตาของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น
ตอนนี้เมื่อเห็นหน้าฉู่หลิวเยว่ เขาก็จะนึกถึงใบหน้าของบุตรสาวตนเองที่ถูกทำร้ายจนเสียโฉม ทั้งยังต้องแต่งงานไปด้วยความอัปยศอดสูอีก
“ตอนนี้เจ้ากับตระกูลฉู่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กันอีกแล้ว ยังดีก่อนหน้านี้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเป็นผู้อาวุโส เจ้าออกจากตระกูลฉู่ไปก็ไม่มีแม้กระทั่งการศึกษาเชียวหรือ”
ลู่เหยายังคงมีเหตุผลสุดท้ายที่เหลืออยู่ และนางก็ไม่ได้ตะโกนใส่ฉู่หลิวเยว่ เพราะรู้ว่ามีคนจำนวนมากกำลังจับตาดูสถานการณ์นี้อยู่ ถึงอย่างไรการใช้ไม้อ่อนก็ย่อมดีกว่าไม่แข็ง
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่หลงกลลูกไม้ตื้นๆ เช่นนี้ และขี้เกียจแม้แต่จะทำแบบขอไปทีด้วยซ้ำ
“ลู่เหยาหรือ เจ้ามาพอดีเลย สินสอดทองหมั้นของท่านแม่ข้าอยู่กับเจ้า ต่อให้ต้องตรวจสอบจำนวนอย่างละเอียดแน่ชัด ช่วงระยะเวลานี้ก็เพียงพอให้พวกเจ้าได้จัดการ ไหนๆ วันนี้ข้าก็มาเองแล้ว เช่นนั้นก็คืนทุกอย่างให้ข้าเลยสิ หรือว่า…เจ้าไม่อยากให้”
ลู่เหยาไม่สามารถปฏิเสธต่อหน้าคนจำนวนมาก จึงทำได้เพียงฝืนฉีกยิ้มมุมปาก
“จะเป็นไปได้อย่างไร อย่าว่าแต่ตระกูลฉู่มีกิจการใหญ่โตเลย เพราะข้าก็คือลู่เหยา มากจากตระกูลลู่ ข้าจะไปชอบพออยากได้ของของเจ้าทำไม”
“งั้นก็ดี”
ฉู่หลิวเยว่ตัดบทนางแล้วหยิบรายการบัญชีออกมาจากแขนเสื้อของตัวเอง
“นี่คือรายการสินสอดที่ท่านแม่ของข้านำมาที่ตระกูลฉู่ในตอนนั้น เดี๋ยวข้าจะให้ผู้ดูแลบัญชีอู๋และผู้ดูแลบัญชีจางเป็นคนตรวจสอบ นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ท่านแม่ข้าเหลือไว้ หากขาดไปชิ้นเดียว ข้าไม่ให้อภัยแน่”
ฉู่หลิวเยว่พูดพลางยื่นรายการทรัพย์สินนั้นให้กับสองคนที่อยู่ด้านหลัง
ลู่เหยาถลึงตา
รายการทรัพย์สินนั้นผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ฉู่หลิวเยว่ยังเก็บมันไว้อีกหรือ
ลู่เหยารู้สึกราวกับมีอะไรมาจุกที่ลำคอพร้อมทั้งเสียวสันหลังวาบ
หลายปีที่ผ่านมา นางได้เคลื่อนย้ายของพวกนั้นไปจริงๆ…
ตอนแรกนางคิดว่าฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่คงไม่มีวันได้เชิดหน้าชูคออีกแล้ว นางจึงคิดที่จะฮุบสมบัติเหล่านั้นเป็นของตนเอง ใครจะไปรู้ว่าจะมีวันที่พวกมันพลิกวิกฤตกลับขึ้นมาได้
แล้วตอนนี้ยังจะมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกด้วย!
แล้วนี่นางจะทำเช่นไรดี
ฉู่หลิวเยว่เห็นสีหน้าท่าทางของนางก็รู้ทันหมดแล้ว ฉู่หลิวเยว่จึงแอบยิ้มเย็นชาในใจไม่ได้
หากวันนี้นางไม่ทำให้ตระกูลฉู่ล้มไม่เป็นท่าล่ะก็ พวกเขาก็คงไม่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่คนนี้มิใช่คนที่ใครจะมารังแกได้
“เสี่ยวเหวิน ไปยกเก้าอี้มาให้ข้าสิ”
เมื่อฉู่หลิวเยว่ออกคำสั่ง ชายหนุ่มร่างกำยำที่อยู่ข้างหลังก็ตอบทันที เขารีบเดินไปที่รถม้าข้างๆ ก่อนจะหยิบเก้าอี้ไม้จันทน์สีแดงออกมาแล้ววางไว้ด้านหลังฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่นั่งลงด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยและสบายอารมณ์ไม่น้อย
“ผู้อาวุโสตระกูลฉู่ ลู่เหยา รีบหน่อยนะ ข้าวของมากมายขนาดนั้น วันนี้ข้ามีวันหยุดแค่วันเดียว ดังนั้นต้องรีบตรวจนับจำนวนเข้าล่ะ”