ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 120 เปิดโปง [รีไรท์]
หากผู้ที่มามุงดูไม่มากมายเช่นนี้ ผู้อาวุโสต้องพุ่งเข้าไปสั่งสอนฉู่หลิวเยว่ด้วยน้ำมือตนเองเป็นแน่
ท่าทางเย่อหยิ่งจองหองเช่นนี้มันทำให้คนเห็นแล้วโมโหจนเลือดขึ้นหน้าได้จริงๆ
“ลู่เหยา เจ้าเป็นคนดูแลทรัพย์สินของตระกูลมาตลอดหลายปี เจ้าเอารายการทรัพย์สินไปเทียบดู สิ่งไหนที่ควรให้ก็ให้พวกเขาไปซะ ส่วนสิ่งไหนไม่ควรให้ก็อย่าได้ให้เป็นอันขาด”
ลู่เหยาตกใจกับเสียงตวาดลั่นของเขา เมื่อเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของผู้อาวุโส นางก็ตอบรับโดยไม่รู้ตัว
“…เจ้าค่ะ”
ผู้อาวุโสตระกูลฉู่ยังคงไม่พอใจ เขาตะโกนใส่ผู้จัดการของเจินเป่าเก๋ออีกว่า
“และพวกเจ้าก็ไปดูพร้อมกันด้วย บัญชีนี้ห้ามตกหล่นแม้แต่เพียงสลึงเดียว!”
พวกเขาจึงรีบรับปากในทันที
ลู่เหยาตึงเครียดไปทั้งสรรพางค์กาย นางเดินจ้ำอ้าวด้วยฝีเท้าหนักแน่น กระนั้นนางกลับเข้าใจดี ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้ไม่ยินยอมแต่ก็ต้องทำตาม
ส่วนฝั่งผู้จัดการอู๋และผู้จัดการจางก็ได้เริ่มทำการตรวจสอบทรัพย์สินตามรายการที่เขียนเอาไว้
“โคมแก้วแปดสีหนึ่งคู่ หยกขาวเดือนสิบสองสองชุด กุณโฑทองคำหนึ่งคู่ พิณโบราณวาดลวดลายสองตัว…”
ลู่เหยาอับจนหนทางจึงได้แต่กัดฟันกรอดๆ
“ไม่ได้ยินหรือ ยังไม่รีบไปหยิบของในคลังอีก!”
บรรดาคนรับใช้ตอบรับแล้วรีบไปทันที
เมื่อพวกเขานำสิ่งของออกมาทีละชิ้นๆ บรรดาลูกสมุนที่ฉู่หลิวเยว่พามาก็รีบก้าวไปรับของข้างหน้าแล้วตรวจสอบอย่างละเอียดจริงจังก่อนจะจัดวางใหม่ในเกี้ยวรถม้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มจนตาหยีโค้ง
“คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในเจินเป่าเก๋อ แม้ตำแหน่งการงานไม่สูงนัก แต่สายตาเฉียบแหลม ยืนยันสมบัติมีค่าได้ดียิ่ง ชิ้นใดของจริง ชิ้นใดของปลอม พวกเขาเพียงปราดตามองก็รู้แล้ว เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้ ในภายภาคหน้าจะได้สะดวกกับทุกคนมากขึ้นมิใช่หรือ”
ประโยคนี้ได้ทำลายความหวังสุดท้ายในใจของลู่เหยาไปจนหมดสิ้น
นางหลับตายอมรับชะตากรรม
เพราะวันนี้…ฉู่หลิวเยว่มาเพื่อต่อสู้กับพวกเขาให้ถึงที่สุด!
…
ณ โรงน้ำชาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลฉู่ มีใครคนหนึ่งเห็นฉากนี้เต็มสองตา
“ยังมีนิสัยเหมือนเดิมจริงๆ ด้วย…”
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำคอดังแว่วลอดผ่านม่านลูกปัด
“คนพวกนั้นมาจากเจ้าเองหรือ”
เมื่อเหยียนเก๋อได้ยินดังนั้นก็โน้มตัวลงมาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบอย่างพินอบพิเทา
“ขอรับนายใหญ่ วันนี้ฮูหยินมาเจินเป่าเก๋อตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วบอกแค่ว่าจะขอยืมคน คิดไม่ถึงว่า…”
ตอนนั้นเขายังสงสัยอยู่เลย เพราะไม่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่ต้องการเรียกใช้ผู้จัดการบัญชีไปทำการอันใด ใครจะไปรู้ว่านางพามาสร้างปัญหาถึงตระกูลฉู่!
เหยียนเก๋อถือได้ว่าเป็นคนที่เห็นตลาดและค้าขายมานาน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นวิธีการเยี่ยงนี้
ฉู่หลิวเยว่ตั้งใจมาทวงหนี้เสียที่ไหนล่ะ!
สิ่งสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธไม่ได้คือสิ่งที่นางทำนั้นสมเหตุสมผล
ตระกูลฉู่มีบริวารและอำนาจล้นฟ้า หากฉู่หลิวเยว่มาผู้เดียว นางคงต้องเป็นนกปีกหักบินกลับรังอย่างแน่นอน
ดังนั้นนางจึงตั้งใจพาคนมาด้วยหลายคน และทำเรื่องให้ใหญ่โตและชัดเจนต่อหน้าสาธารณชน เช่นนี้ก็จะเป็นการบีบให้ตระกูลฉู่ทำตามความต้องการของนางอย่างช่วยไม่ได้เพราะกลัวอับอายขายหน้า
ถึงอย่างไรตระกูลฉู่เป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวง พวกเขาจึงต้องรักษาหน้าตาชื่อเสียงเอาไว้
“เรื่องนี้เจ้าจัดการได้ดี”
เมื่อได้ยินความชื่นชมในน้ำเสียงของนายใหญ่ เหยียนเก๋อก็รู้สึกปลื้มใจ
เขาอยู่รับใช้นายใหญ่หลายปีแล้ว ทว่าคำชมเช่นนี้ไม่ค่อยได้ฟังมากเท่าไรนัก!
แต่ที่วันนี้เขาส่งคนพวกนั้นไปรับใช้ฉู่หลิวเยว่ก็เพราะต้องการให้นายใหญ่มีความสุข ถือว่าได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
“นายใหญ่ชมเกินไปแล้ว อันที่จริงข้าน้อยก็ไม่ได้ออกแรงเรื่องนี้มากมายอะไร ทุกสิ่งล้วนเป็นการตัดสินใจของฮูหยินขอรับ”
ดูเหมือนคนที่อยู่หลังม่านลูกปัดนั้นกำลังส่ายหน้า พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ความคิดเช่นนี้ ย่อมมีแต่นางเท่านั้นที่คิดได้ และมีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถทำมันได้อย่างง่ายดายที่สุด”
หากเป็นผู้อื่นจะมีใครกล้ามาเผชิญหน้าต่อสู้กับตระกูลฉู่เพียงลำพังกันเล่า
เหยียนเก๋อครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
“นายใหญ่ขอรับ ดูเหมือนตอนนี้ฮูหยินจะยังไม่รู้ตัวตนของท่าน แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดท่านถึงทำเพื่อนางถึงเพียงนี้ ท่านจะ…”
“นางจะรู้เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องรู้ เจ้าแค่จัดการหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็พอ”
เหยียนเก๋อก้มหน้าตอบรับ
“ขอรับ”
…
ผู้จัดการอู๋และผู้จัดการจางกำลังดูรายการทรัพย์สินอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของจวนตระกูลฉู่
“ชามหูจับสองหูทรงพระจันทร์เสี้ยวคู่นี้เป็นของปลอม และขลุ่ยไม้ไผ่หยกเขียวนี้ก็เป็นของปลอมเช่นกัน”
คนที่ฉู่หลิวเยว่พามาต่างทำหน้าที่ด้วยท่าทางเรียบง่ายสบายๆ พวกเข้าย้ายของพร้อมทั้งยืนยันสิ่งไหนเป็นของจริงของปลอมไปด้วย แล้วนำสิ่งของที่เป็นของปลอมแยกออกมาวางไว้อีกที่หนึ่ง
ของปลอมแต่ละชิ้นที่นำออกมานั้นเทียบเท่ากับการตบหน้าลู่เหยาหนึ่งฉาดแรงๆ
คนอื่นๆ ในตระกูลฉู่ก็รู้สึกอับอายเช่นกัน และบางคนก็อดไม่ได้ที่จะมองลู่เหยาด้วยสายตาขุ่นเคือง
ใครจะไปคาดคิดว่าผู้จัดการทรัพย์สินของตระกูลอย่างลู่เหยาจะกล้าแอบยักยอกสิ่งของของผู้อื่นเข้ากระเป๋าตัวเองเช่นนี้
หากในวันนี้ไม่มีการตรวจสอบนับทรัพย์สินเหล่านี้อย่างจริงจัง พวกเขาจะไม่รู้ว่าลู่เหยาจะยักยอกทรัพย์สินของตระกูลฉู่ไปมากแค่ไหน
นี่มันสินสอดทองหมั้นที่มารดาของฉู่หลิวเยว่ทิ้งเอาไว้ให้แท้ๆ อีกอย่างสมบัติในตระกูลก็มีเยอะแยะมากมายขนาดนั้น ไม่รู้ว่านางจะโลภเอาไปได้ตั้งเท่าไหร่!
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาเหล่านั้น ลู่เหยาก็มีสีหน้าซีดเผือดทันที นางสั่นไหวไปทั้งร่างราวกับใบไม้ที่ลอยไปตามสายลมแล้วพร้อมที่จะถูกพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ
หากเป็นไปได้ นางก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียเดี๋ยวนี้!
ทุกเวลาและทุกนาทีที่ยืนอยู่ตรงนี้ช่างทรมานเสียเหลือเกิน!
ฉู่หลิวเยว่ยกมือกุมแก้มข้างหนึ่ง แล้วกวาดสายตามองของปลอมที่ถูกหยิบออกมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง นางมีสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็มิได้ยิ้ม
“ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมา ครอบครัวของพวกเจ้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ข้าว่าแล้วว่าทำไมฉู่เซียนหมิ่นถึงได้ใจกว้างซื้อเครื่องประดับราคาสองแสนตำลึงได้ แล้วยิ่งทำมาจากหยกแดง ที่คนธรรมดาไม่มีปัญญาซื้ออีกด้วย”
ลู่เหยาอยากจะฉีกปากฉู่หลิวเยว่จนแทบทนไม่ไหว!
เป็นแน่แท้แล้วว่าฉู่หลิวเยว่ใส่ความฉู่เซียนหมิ่น แต่นางก็อับอายเกินกว่าจะพูดออกไปและกลับดำให้เป็นขาวได้
นางยังไม่ทันจะเอ่ยปากพูดสิ่งใด ก็สัมผัสได้ถึงสายตาของคนรอบข้างที่ฉายแววโกรธเคืองมากยิ่งขึ้น
หัวใจของนางดำดิ่ง นางรู้ดีว่าพวกเขาเชื่อคำพูดของฉู่หลิวเยว่ไปแล้ว
มีของปลอมผุดออกมามากมายเช่นนี้ พวกเขาจะยังเชื่อนางได้อย่างไร
เกรงว่าต่อให้ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกเขาก็คงอยากจะฉีกทึ้งนางเป็นชิ้นนับตั้งแต่บันนี้แล้วกระมัง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉู่หลิวเยว่ก็ยังคงนั่งสบายใจอยู่บนเก้าอี้
ระหว่างนั้น ผู้จัดการอู๋ก็ยกน้ำชามาให้นางโดยเฉพาะ พร้อมทั้งขนมของว่างจัดจานนำมาวางให้ เพราะเกรงว่านางจะหิว
ไม่ว่าจะสิ่งใดนางจะสะดวกสบายไปเสียหมด
ท่าทางของฉู่หลิวเยว่เยี่ยงนี้ หากให้มาขอยืมเงิน ก็ไปตายเสียยังดีกว่า!
ตลอดจนเลยหลังเที่ยงวันไป การตรวจสอบรายการสินสอดพวกก็เสร็จสิ้นไปด้วยดี
หลังจากนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ร้องขอให้แบ่งมรดกตามที่สัญญากันในวันนั้น ซึ่งยิ่งเป็นการขูดเลือดขูดเนื้อตระกูลฉู่เข้าไปอีก
ตอนที่เงินถูกขนย้ายขึ้นรถม้า ผู้อาวุโสตระกูลฉู่ที่จิตใจแกร่งดั่งหินผาก็ยังหางตากระตุกด้วยความเสียดายอย่างอดมิได้
พวกผู้จัดการบัญชีต่างมองเขาตาปริบๆ ยิ่งนึกถึงบัญชีของตระกูลที่ยุ่งเหยิงมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อชาวบ้านที่ยืนมุงเห็นสมบัติมากมายก่ายกองก็ต่างตกตะลึงตาลุกวาว
“คิดไม่ถึงเลยว่าตอนแม่ของฉู่หลิวเยว่ตบแต่งเข้าตระกูลฉู่จะมีสินสอดทองหมั้นมากมายขนาดนี้”
“เขาลือกันไปทั่วว่าฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่อยู่ในตระกูลฉู่อย่างยากลำบาก บางทีของกินของใช้ของพวกบ่าวไพร่ยังดีกว่าพวกเขาเสียอีก หากขายสมบัติพวกนี้ได้ พวกเขาคงมีเงินพอเพื่ออยู่รอดต่อไปกระมัง”
“ฉู่หนิงและภรรยารักกันมาก คงตัดใจขายไม่ได้หรอก…อีกอย่าง หากคนอื่นได้ครอบครองสิ่งของเหล่านี้ อย่าว่าแต่เคยเห็นเลย นับประสาอะไรกับการขายทอดไป”
“เป็นดั่งท่านว่า คราวนี้ตระกูลฉู่เสียเงินมากมหาศาลจริงๆ”
พวกเขาลากรถม้าขยับไปมาอยู่นานกว่าจะขนของออกไปได้
บริเวณด้านหน้าประตูตระกูลฉู่จึงเหลือเพียงแค่ของปลอมที่ถูกเตะออกมาระเนระนาด ยิ่งทำให้รู้สึกอับอายมากกว่าเดิมเสียอีก
คราวนี้ฉู่หลิวเยว่จึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
นั่งมาครึ่งค่อนวันแล้ว นางเมื่อยขบไปหมด
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
ผู้อาวุโสตระกูลฉู่หนังตากระตุก หมายความว่าอย่างไร นี่นางยังจะมาอีกหรือ!
ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่รู้ทันว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ นางจึงโบกมือให้ด้วยท่าทางสบายๆ เป็นธรรมชาติ
“สบายใจได้ ต่อไปข้าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก แต่ว่าผู้จัดการอู๋ได้จดบัญชีของปลอมเอาไว้หมดแล้ว ต่อไปพวกเจ้าค่อยเอามาชดใช้ จะส่งไปที่บ้านข้าหรือจะให้ข้าส่งคนมารับไปก็ย่อมได้”
ผู้อาวุโสมองลู่เหยาด้วยแววตาโกรธเกรี้ยวอย่างปิดไม่มิด
“นี่เป็นกรรมที่เจ้าก่อเอาไว้ เจ้าชดใช้เองก็แล้วกัน!”
ลู่เหยาสั่นสะท้าน
ฉู่หลิวเยว่ยิ่งเหยียดยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ผู้อาวุโสตระกูลฉู่โกรธเรื่องใดกัน นี่ก็แค่ของเล็กๆ น้อยๆ ต่อให้ตระกูลฉู่ไม่มีปัญญาชดใช้ แต่ตระกูลลู่ที่รวยล้นฟ้า สินทรัพย์เพียงเท่านี้ขนหน้าแข้งก็คงไม่ร่วงหรอกกระมัง เจ้าว่าไหม ลู่เหยา”