ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 122 มอบกาย
ฉู่เซียนหมิ่นต้องกลับมาแน่นอนอยู่แล้ว
ตอนนี้นางทนทุกข์ทรมานจึงทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
เมื่อรัชทายาทและลู่เหยาเกิดเรื่องขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่รู้ว่าฉู่เซียนหมิ่นจะกลับมาด้วยความรู้สึกเช่นไร
“หมินหมิ่น ทำไมเจ้าไม่เห็นชวนพวกเราไปงานแต่งเลยเล่า พวกข้าอุตส่าห์รอส่งตัวเจ้าสาว บรรยากาศจะได้คึกคักๆ ยังไงล่ะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากบริเวณหัวมุม
ฉู่หลิวเยว่และมู่หงอวี๋สบตากันแล้วเดินเข้าไปดู ผู้ที่พูดประโยคนั้นคือลู่เฟยเยี่ยนจริงดั่งคาด
ซึ่งตอนนี้นางพาเพื่อนฝูงแม่นางทั้งหลายเข้ามาล้อมรอบคนคนหนึ่ง
หญิงสาวผู้นั้นสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ดูเงาร่างแล้วน่าจะเป็นฉู่เซียนหมิ่น
“จริงด้วย! ข้าไม่เห็นได้รับจดหมายเชิญของเจ้าเลย ขนาดวันเวลายังไม่ทราบแน่ชัด ขอแค่เจ้าเอ่ยปาก พวกข้าก็พร้อมลาหยุดเพื่อไปร่วมงานเจ้าแน่นอน!”
“พวกเราล้วนเป็นสหายสนิทกัน ทำไมเจ้าต้องปิดบังพวกข้าด้วยเล่า”
อันที่จริงลู่เฟยเยี่ยนโกรธในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
ตอนแรกนางหวังจะได้เจอหน้าองค์ชายรัชทายาทในงานวันนั้นสักหน่อย แต่ฉู่เซียนหมิ่นกลับไม่ได้ชวนพวกนางไปด้วย
หากไม่มีจดหมายเชิญก็ทำสิ่งใดไม่ได้
เมื่อโอกาสอันใหญ่หลวงหลุดมือไป ลู่เฟยเยี่ยนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าฉู่เซียนหมิ่นจงใจเพราะอยากครอบครององค์ชายรัชทายาทไว้เพียงผู้เดียวหรือไม่
แม้เวลานี้ใบหน้าของนางยังคงเปื้อนรอยยิ้ม ทว่าสายตากลับฉายแววไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ด้วยเวลากระชั้นชิด ทั้งยังมีเรื่องมากมายที่จัดการไม่ทัน ดังนั้น…ก็เลยลืมพวกเจ้าไป…ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”
ฉู่เซียนหมิ่นกัดฟันพูด
นางรู้ทันความคิดของพวกนางดี
อยากจะหัวเราะสมน้ำหน้านางมากซินะ แต่ไม่มีโอกาสนั้นหรอก!
ฉู่เฟยเยี่ยนจงใจอย่างขบขันขำ
“รัชทายาททรงโปรดเจ้ามาโดยตลอด ครั้งนี้ยังทรงอนุญาตให้เจ้าได้กลับมาเรียนที่สำนักอีก หมินหมิ่น เจ้าอยู่ในจวนรัชทายาทคงสุขสบายดีกระมัง”
ฉู่เซียนหมิ่นกล้ำกลืนฝืนตอบออกไป
“ข้าไม่ได้มาหลายวัน มีธุระต้องไปหาอาจารย์ เอาไว้ค่อยคุยกับพวกเจ้าวันหลัง”
เมื่อพูดจบนางก็เดินผ่านคนเหล่านั้นไป
ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็บังเอิญเห็นคนที่เป็นดั่งหนามยอกอก!
ฉู่หลิวเยว่!
ไฟที่สุมอยู่ในทรวงของฉู่เซียนหมิ่นปะทุขึ้นมา นางก็จิกเล็บเข้าไปในอุ้งมือลึกจนเป็นรอย
หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่คงได้แหลกเป็นจุณแน่!
มู่หงอวี๋จ้องนางด้วยสายตาเป็นการเตือนกลายๆ
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
แต่ฉู่เซียนหมิ่นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางก้าวขาแล้วเดินผ่านฉู่หลิวเยว่และมู่หงอวี๋ไป
“แปลกยิ่ง หากเป็นเช่นก่อนนางคงไม่ยอมรามือเป็นแน่ พอแต่งเข้าจวนรัชทายาทแล้วทำไมนิสัยถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้”
มู่หงอวี๋บ่นพึมพำ
ฉู่หลิวเยว่มองเงาหลังของฉู่เซียนหมิ่นที่เดินลับไปด้วยความคิดสะกิดใจ ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ภายภาคหน้ายังมีอะไรสนุกๆ รออยู่ เราไปกันเถิด”
…
ดูเหมือนบรรยากาศภายในเมืองหลวงจะกลับมาสุขสงบดั่งเคย แต่ทว่ากลับมีคนสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เหมือนว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับองค์รัชทายาทเสียแล้ว
จุดที่สังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือฎีกาต่างๆ ที่เคยส่งไปยังจวนรัชทายาท บัดนี้ได้ถูกตีกลับมาที่พระราชวังทั้งหมด
แม้จยาเหวินตี้จะเปิดเผยต่อหน้าธารกำนัลออกไปว่าตอนนี้รัชทายาทกำลังอยู่ในช่วงบรรลุระดับยุทธ์จึงไม่อยากให้เขามีเรื่องฟุ้งซ่านได้
ทว่าความเป็นจริงนั้น ทุกคนต่างรู้อยู่เต็มอกว่าองค์ชายรัชทายาทถูกริบอำนาจ
ทั้งระยะนี้รัชทายาทเอาแต่เก็บตัวและปฏิเสธทุกคำเชิญ ชัดเจนยิ่งว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมใน
แต่ภายในวังกลับปิดข่าวได้อย่างเงียบสนิทจึงไม่มีใครสามารถสืบสาวราวเรื่องจากในรั้วในวังได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแอบคาดเดาในใจและตัดสินใจรอดูสถานการณ์เงียบๆ ไปก่อน
อีกประการหนึ่ง ใครหลายคนเริ่มมีการเคลื่อนไหวโยกย้ายเพื่อความอยู่รอดของตนเอง จึงแอบเคลื่อนไหวกันอย่างลับๆ
…
“พี่สาม เสด็จพ่อทรงคิดกระทำการสิ่งใดกันแน่ รัชทายาทส่งคนมาลอบสังหารพี่ หลักฐานก็แน่นหนาขนาดนี้ เหตุใดเสด็จพ่อถึงลงโทษเพียงแค่ให้รัชทายาททบทวนตัวเองในจวนล่ะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้เขาเป็นรัชทายาทที่อำนาจล้นมือ แต่เกิดเรื่องถึงขนาดนี้ก็ไม่ควรปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ เช่นนี้มิใช่หรือ”
หรงเฟิงขมวดคิ้วไม่พอใจ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
หลังจากได้รับของกำนัลชิ้นใหญ่จากน้องเจ็ด เขากับหรงจิ่วก็เข้าใจสถานการณ์ในทันที
ในวันต่อๆ มา พวกเขาก็ร่วมมือกันหาพยานหลักฐาน โดยหรงจิ่วเป็นผู้รวบรวมทุกสิ่งพร้อมทั้งถวายให้เสด็จพ่อทอดพระเนตร
หลักฐานมัดตัวแน่นหนา รัชทายาทไม่มีทางดิ้นหลุดแน่!
แต่เสด็จพ่อกลับปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ นี่มันมีใครอันใดกันแน่!
หรงจิ่วมีสีหน้าสงบนิ่ง
“หลักฐานพวกนั้นสามารถมัดตัวรัชทายาทได้อยู่หมัด แต่หากต้องการอาศัยพวกนี้โค่นล้มรัชทายาท มันก็จะดูธรรมดาใสซื่อไปเสียหน่อย”
“แต่ก็ไม่สามารถปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้มิใช่หรือ”
หรงเฟิงลุกพรวดพราดด้วยความร้อนรนกังวลใจ แล้วเดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่น
“แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจลงมือพี่สามจริงๆ แต่ทางด้านพี่เจ็ดเขากลับแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แต่เรื่องนี้แค่เอาชื่อพี่สามมาอ้างเฉยๆ เหตุใดเสด็จพ่อจึงลำเอียงกับเขาขนาดนี้ด้วย ผู้ที่เป็นกษัตริย์ถือคติความผิดพวกนี้มิใช่หรือ”
“เป็นเช่นนั้นจริง แต่เจ้าอย่าลืมคิดสิว่า ถ้ารัชทายาทลงมือกับข้าจริง แม้จะทำให้เสด็จพ่อทรงเกลียด แม้จะผิดแต่ก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ ด้วยเหตุนี้บทลงโทษของเขาจึงสถานเบามากอย่างไรเล่า”
หรงจิ่วพูดพลางหัวเราะเย้ยหยันตนเอง
เสด็จพ่อเก็บเขาเอาไว้ใกล้ตัวที่เมืองหลวงนานถึงเพียงนี้ ก็เพราะต้องการทำเช่นนี้เหมือนกันมิใช่หรือ
ตอนนี้รัชทายาทได้ลงมือแทนเขาไปแล้ว แล้วยังทำให้เขาสบายขึ้นมาก
ดังนั้นเรื่องราวในครานี้ยังคงมิอาจทำให้ตำแหน่งรัชทายาทของหรงจิ้นสั่นคลอนได้อยู่ดี
หรงเฟิงมองการแสดงออกทางสีหน้าของเขาแล้วก็เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้ว
“พี่สาม พี่หมายความว่าเสด็จพ่อ…แต่ว่า ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว นี่ไม่ใช่โอกาสดีที่จะโค่นรัชทายาทหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่วปิดเปลือกตาแนบสนิท
“ไม่รีบ”
…
โลกภายนอกกำลังเกิดความเคลื่อนไหวดั่งคลื่นใต้น้ำ แต่ฉู่หลิวเยว่เองกลับใช้ชีวิตอย่างสงบสุขภายในสำนัก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็สิ้นเดือนแปดแล้ว เทศกาลล่าสัตว์อสูรก็ใกล้เข้ามา บรรยากาศในสำนักจึงดูคึกคักขึ้นมา ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ได้ยินแต่เสียงพูดคุยกันถึงเรื่องดังกล่าว บรรดานักเรียนทั้งหลายก็ขยันฝึกฝนวรยุทธ์กันมากขึ้น
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่ามีคนมาหอคอยจิ่วโยวมากขึ้นอย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่นางไม่รู้คือเวลาที่เข้าไปฝึกในหอคอยจิ่วโยวนั้นช่างหายากยิ่งนัก ดังนั้นหลายคนจึงต้องจำใจมาฝึกทุกวัน มีแค่ตอนที่กำลังจะบรรลุขั้นระดับยุทธ์หรือมีเหตุการณ์สำคัญที่ใกล้เข้ามาเท่านั้นถึงจะมาบ่อยมากขึ้น
เดิมทีฉู่หลิวเยว่พยายามจะทะลวงด่านผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สองให้ได้ แต่กลับล้มเหลวอีกครั้ง ดังนั้นนางจึงล้มเลิกความคิดนี้ไปก่อน
เมื่อกลับมาถึงที่พำนักของตนเอง ทันทีที่ฉู่หลิวก้าวพ้นประตูเข้ามาก็เห็นเงาร่างอันแสนคุ้นเคยของใครคนหนึ่ง
ไม่สิ สองร่างต่างหากเล่า!
หรงซิวและเสวียเสวี่ยนั่นเอง
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“โอ๊ะ ทำไมวันนี้องค์ชายถึงได้เสด็จมาเงียบๆ”
ดูเหมือนช่วงนี้หรงซิวกำลังยุ่งมาก แม้จะแวะมาหาอยู่หลายครั้ง ทว่าส่วนใหญ่ก็มักจะเสด็จมากลางดึกแล้วกลับไปยามรุ่งสาง
บางครั้งนางก็ไม่ได้เห็นหน้าเขา เพียงแต่ได้กลิ่นหอมเย็นอันเบาบางทำให้ได้รู้ว่าเขามาที่นี่อีกแล้ว
วันนี้ช่างผิดแผกไปอย่างยิ่ง
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากอกแล้วยื่นให้กับนาง
“เจ้าเปิดดูสิ”
ฉู่หลิวเยว่รับเอาไว้แล้วหมุนเบาๆ ก็ได้ยินเสียงเปิดของกล่องใบนั้น
มีดสั้นเล่มหนึ่งวางอยู่ในนั้นแน่นิ่ง
นางชัดฝักมีดสีดำออกมา ทันใดนั้นแสงเย็นวาบก็ส่องประกายวูบไหวทันที
มีดเล่มนี้คมกริบยิ่งนัก!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกตื่นเต้นดีใจ แต่เมื่อพินิจมองมันอย่างละเอียดจึงเห็นว่ามีมีดบินบางเฉียบราวกับใบหลิวสองใบติดกันแนบสนิทบนใบมีด
เพียงแค่มองดูฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันทรงพลังที่อยู่ในกล่องใบนั้น!
นางช้อนสายตามองด้วยความประหลาดใจ
“นี่คือ…”
“ของเล่นของเจ้าพวกนั้นใช้การอะไรมิได้หรอก ดังนั้นข้าจึงเตรียมสำหรับสิ่งที่ถนัดมือกว่าเจ้าโดยเฉพาะ”
คราวนี้ฉู่หลิวเยว่จึงนึกขึ้นได้ว่าเหมือนก่อนหน้านี้หรงซิวจะเคยพูดเอาไว้ประมาณนี้จริง
ตอนแรกนางคิดว่าเขาแค่ล้อเล่น คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอามาให้จริงๆ
นางเกิดความรู้สึกหวั่นไหว
“ช่วงนี้องค์ชายทรงงานตั้งแต่เช้ายันค่ำ คงจะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้หรอกกระมัง”
หรงซิวขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ดวงตาของเขาล่ำลึกราวกับราตรีที่พร่างพรายไปด้วยดวงดาว เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเย้ายวน
“เช่นนั้น…เยว่เอ๋อจะตอบแทนอย่างไรดี หรือว่าจะมอบกายใจให้…”
ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูด แล้วหลุบตามองฝักมีดที่ยันค้ำหน้าอกของตนเองเอาไว้
“…เช่นนั้นข้ามอบกายใจให้เจ้าเองก็ได้”