ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 125 บรรพตวั่นหลิง
เจ้านายและทาสคู่นี้ หนึ่งคนกับอีกหนึ่งสัตว์อสูร ช่างมีนิสัยเหมือนกันราวกับแกะเสียจริง
หลังจากที่รู้ว่านางกำลังจะไปบรรพตวั่นหลิงในวันนี้ พวกเขาก็เริ่มส่งเสียงโวยวายขึ้นมา!
หากนางไม่ห้ามเอาไว้ เกรงว่าประตูบานนั้นคงถูกเสวียเสวี่ยข่วนจนพังเป็นแน่
ดูเหมือนเสวียเสวี่ยจะไม่พอใจเรื่องนี้มาก ทั้งลงไปกลิ้งกับพื้นและร้องโวยวายไม่หยุด
กว่าฉู่หลิวเยว่จะเกลี้ยกล่อมได้ก็เปลืองแรงและเวลาไปมากโข
สำหรับหรงซิว…
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกหูร้อนวูบวาบ นางปิดเปลือกตาลง
มีผู้ที่ไร้ยางอายอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ!
“หลิวเยว่ ทำไมเจ้าหูแดงขนาดนี้”
มู่หงอวี๋ถามด้วยความแปลกใจ
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าพัลวัน
“เปล่า เมื่อครู่นี้ข้ารีบวิ่งมาเฉยๆ”
มู่หงอวี๋พยักหน้าอย่างเข้าใจและย่นจมูก
“เจ้านี่จริงๆ เลย รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้ต้องรีบเดินทางตั้งแต่ไก่โห่ ทำไมถึงมาสายถึงเพียงนี้ได้ หากมาไม่ทันจริงๆ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
ฉู่หลิวเยว่สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก มู่หงอวี๋จึงสบายใจ
ในขณะที่มู่หงอวี๋แนะนำสมาชิกในกลุ่ม ฉู่หลิวเยว่ก็ได้พบกับเลี่ยวจงซู เฉินหู่และกู้หมิงเฟิง
พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามตามที่มู่หงอวี๋เคยกล่าวไว้ข้างต้น โดยเฉพาะกู้หมิงเฟิงที่ลมปราณกำลังผันผวนที่มีสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังจะบรรลุขั้น
มู่หงอวี๋ไปต่อแถวรอรับสิ่งของในฐานะหัวหน้ากลุ่ม
ซุนจ้งหยวนเป็นผู้นำและดูแลกิจกรรมที่จัดในครั้งนี้ ภายใต้การดูแลของเขายังมีผู้อาวุโสอีกหลายท่านพร้อมอาจารย์หลายสิบคนร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วย
ซุนจ้งเหยียนซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าไม่พูดจนกว่าทุกกลุ่มจะมารวมกันเรียบร้อย
“นักเรียนทุกคน ข้าเชื่อว่าทุกคนคงรอคอยการเดินทางไปบรรพตวั่นหลิงมาเนิ่นนานแล้ว โดยครั้งนี้มีข้าเป็นหัวหน้า นอกจากข้าแล้ว ทางสำนักเทียนลู่ยังส่งผู้อาวุโสอีกสามท่านมารับผิดชอบนักเรียนของตนเองในแต่ละรุ่น และภายใต้การกำกับดูแลของผู้อาวุโสทุกท่านจะมีอาจารย์อยู่ด้วยกันสิบคน อาจารย์ทุกท่านต้องรับผิดชอบนักเรียนสามกลุ่มย่อยด้วยกัน สิ่งของที่ให้พวกเจ้าเมื่อครู่นี้ มีกระบอกพุส่งสัญญาณ หากมีอันตรายเกิดขึ้นสามารถดึงมันออกมาส่งสัญญาณ”
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่กระบอกจิ๋วสีดำขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือในมือของนาง โดยมีเชือกสองเส้นห้อยลงมา
“ดึงเชือกเส้นแรก หมายถึงหากเผชิญอันตรายถึงแก่ชีวิต อาจารย์จะไปช่วยพวกเจ้า หากดึงออกมาทั้งสองเส้น ผู้อาวุโสของสำนักจะรีบระบุตำแหน่งแล้วไปช่วยชีวิตพวกเจ้าทันที!”
ซุนจ้งเหยียนกล่าวอย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เข้าใจกันหรือไม่”
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
ซุนจ้งเหยียนหยุดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังกว่าเดิม
“บรรพตวั่นหลิงมีลักษณะเป็นเขาสูงชัน ในช่วงสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งจะยิ่งมีแต่ภัยอันตราย ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เสียชีวิตได้! ดังนั้น ไม่ว่าพวกเจ้าต้องการล่าสัตว์อสูรที่ต้องการครอบครองมากแค่ไหน อย่าลืมว่าความปลอดภัยต้องมาก่อน!”
ทุกคนตอบรับพร้อมเพรียงกัน
“ศิษย์จะจำคำสอนเอาไว้!”
ซุนจ้งเหยียนพยักหน้าอย่างพอใจ
“เดินทางได้!”
…
ด้วยจำนวนคนมากมาย ทั้งยังไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเดินทางเท้าเป็นธรรมดา
โชคดีที่นักเรียนสำนักล้วนมีสมรรถภาพที่แข็งแรงดี ดังนั้นความเร็วในการเดินก็ไม่ช้าจนเกินไป
ประกอบกับมีเพื่อนร่วมทางมากมายจึงทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะตลอดทาง
หัวข้อที่ทุกคนพูดคุยกัน เห็นได้ชัดว่าหนีไม่พ้นบรรพตวั่นหลิงและการล่าสัตว์อสูร
เหล่ารุ่นพี่หนุ่มสาวบางคนที่เคยไป มักจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างล่าสัตว์อสูรเมื่อปีสองปีก่อนให้รุ่นน้องหน้าใหม่ฟัง ยิ่งทำให้อยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
“หากข้าบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่ได้แล้วก็คงจะดี”
มู่หงอวี๋เดินไปพลางบ่นไปพลาง
ช่วงนี้นางฝึกฝนอย่างหนัก จนกระทั่งสัมผัสถึงเพดานที่จะทะลวงด่านได้แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเหมือนมีบางอย่างที่ทำให้ผ่านไปไม่ได้สักที
เดิมทีนางวางแผนว่าหากสามารถบรรลุขั้นได้อย่างราบรื่น เมื่อพลังของนางเพิ่มระดับมากขึ้นก็จะสามารถล่าสัตว์อสูรที่ดีกว่าและน่าพึงพอใจกว่าในเทศกาลล่าสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งครั้งนี้ได้
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้นางคงไม่มีหวังแล้วล่ะ
“หงอวี๋ อย่ารีบร้อนเรื่องฝึกยุทธ์ไปเลย” เลี่ยวจงซูเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้ารู้ดีน่า! แต่ใครไม่อยากจะบรรลุขั้นบ้างล่ะ หรือเจ้าก็ไม่อยาก”
เลี่ยวจงซูไม่คิดจะทะเลาะกับนาง เขาเพียงยิ้มและส่ายหน้ากลับไป
มู่หงอวี๋ถอนหายใจ
“ทำไมข้าไม่เห็นเหมือนฉู่หลิวเยว่เลยล่ะ แม้นางจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง แต่พลังกลับเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สาม หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ!”
ฉู่หลิวเยว่อมยิ้มโดยไม่พูดอะไร
อันที่จริงนางก็อยากเหมือนกัน…
มู่หงอวี๋จึงหันไปทางกู้หมิงเฟิง
“ว่าแต่ ก่อนหน้านี้เจ้าก็ใกล้จะบรรลุขั้นแล้วมิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ถึงยังไม่กระเตื้องเลยล่ะ”
กู้หมิงเฟิงผู้ซึ่งเงียบขรึมอยู่เสมอ เขาจึงพูดนิ่งๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา
“น่าจะยังไม่ถึงเวลากระมัง”
ฉู่หลิวเยว่พิศมองเขาอย่างขบคิด
เหมือนกู้หมิงเฟิงคนนี้…จะไม่ได้ดูธรรมดาตื้นเขินอย่างที่คิด
ทันใดนั้นสายตาเย็นชาคู่นั้นก็หันมามองนางเช่นกัน
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่วูบไหวเล็กน้อย เพราะหันไปเจอฉู่เซียนหมิ่นที่กำลังถอนสายตากลับไปพอดี
ในแววตาคู่นั้นยังคงมีความอาฆาตแค้นที่ไม่มีวันจางหาย!
ฉู่เซียนหมิ่นไม่คิดว่าฉู่หลิวเยว่จะมีประสาทสัมผัสไวปานนี้ นางจึงละสายตาจากไปอย่างรวดเร็ว
คราวนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย กว่านางจะขอโอกาสจากองค์ชายรัชทายาทมาได้ นางไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปเด็ดขาด…
ฉู่หลิวเยว่แอบหัวเราะเยาะในใจเบาๆ
ฉู่เซียนหมิ่นไม่ยอมรามือจริงดั่งที่คาด
ครั้งนี้หรงจิ้นไม่ได้มาด้วย เห็นได้ว่าเรื่องราวของเขาคราวนี้สาหัสเหนือความคาดหมายไปมาก
ก็แค่ไม่รู้ว่าหลังจากนางกลับไปแล้วจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่เมืองหลวงอีก
หลังจากการเดินทางอันยาวนานตลอดสองวัน ในที่สุด ทุกคนก็มาถึงบรรพตวั่นหลิงยามเช้าวันที่สาม
…
เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปก็จะเห็นเขาสูงชันเรียงรายกันเป็นเทือกเขาที่ตั้งตระหง่านสง่างาม ทั้งแนวทิวเขาและที่ราบเต็มไปด้วยพืชไม้นานาพรรณเขียวขจีดูสดชื่นสวยงาม
เมื่อยืนอยู่จุดนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันลุ่มลึก
ซุนจ้งเหยียนยังคงสาธยายให้นักเรียนฟังทีละน้อย
“สัตว์อสูรคลุ้มคลั่งจะปรากฏตัวภายในสองวันนี้ ทุกคนจงเตรียมตัวให้ดี จงจำไว้หากเข้าไปในบรรพตวั่นหลิงแล้วจงทำเท่าที่ทำได้ แต่ห้ามเข้าไปเขตใจกลางของบรรพตวั่นหลิงเป็นอันขาด หลังจากนี้อีกสามวันจะต้องออกจากบรรพตวั่นหลิงทันที!”
“ขอรับ!”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อมาถึงเชิงเขา สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง บรรดานักเรียนทั้งหลายตอบรับเสียงดังหนักแน่นมากขึ้น
แต่ละกลุ่มเริ่มแยกย้ายกันออกไป และร่างของพวกเขาก็ทยอยหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
“พวกเราก็ไปกันเถิด!”
ดวงตากลมโตของมู่หงอวี๋เป็นประกายพร้อมอยากลองเปิดประสบการณ์ล่าสัตว์
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้ามอง
บรรพตที่สูงตระหง่านและสงบเงียบราวกับสัตว์อสูรแสนร้ายกาจกำลังหลับใหลอยู่ในนั้น ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นใจ
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มความหวาดหวั่นในใจเอาไว้ แล้วเดินตามหลังมู่หงอวี๋กับคนอื่นๆ เข้าไปยังลำเนาไพรเบื้องหน้า
…
บรรพตวั่นหลิงช่างกว้างใหญ่ไพศาล ดังนั้นพรรคพวกของฉู่หลิวเยว่ก็แยกตัวจากกลุ่มอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
สภาพแวดล้อมค่อยๆ เงียบสงัด ยกเว้นเสียงฝีเท้าของพวกเขาที่เหยียบย่ำใบไม้ที่ทับถมกันหนาทึบ
ใบไม้ปลิวไสวตามสายลมและแสงตะวันเจิดจ้าสาดส่องลงมา
หลังจากเดินกันมาหนึ่งชั่วยามแล้ว ในที่สุดมู่หงอวี๋ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า
“อาจารย์ตงฟังเคยบอกว่าตอนที่เทศกาลล่าสัตว์อสูรมาถึง สัตว์อสูรก็จะมาปรากฏตัวทีละตัวรอบนอกเชิงเขา แต่พวกเรามาถึงได้สักพักหนึ่งแล้ว ทำไมถึงยังไม่มีสัตว์อสูรมาให้เห็นสักตัวล่ะ”
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังจะพูด ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงปราณอันเย็นยะเยือกลอยปะทะเข้ามา!
แววตานางดูเฉียบคมและมองไปที่ไหนสักแห่ง
“ไสหัวออกมา!”