ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 129 ได้รับบาดเจ็บ
ราชาหมาป่าตระหนักถึงอันตรายเบื้องหลัง มันจึงต้องหยุดโจมตีกู้หมิงเฟิงชั่วคราว และหันกลับมาตั้งรับฉู่หลิวเยว่!
กระบี่ของฉู่หลิวเยว่ตวัดผ่านหลังของมัน ขนหัวของราชาหมาป่าตั้งชันราวกับเข็มแหลมคม!
เมื่อกระบี่ฟันลงไปจึงทำให้เห็นรอยเลือดจางๆ เท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากแน่น
แม้ว่าราชาหมาป่าชื่อเฟิงตัวนี้เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับสาม แต่ความแข็งแกร่งของมันนั้นเกือบจะเทียบได้กับสัตว์อสูรระดับสี่เลยทีเดียว!
สิ่งที่เป็นปัญหายากที่สุด…ก็คือขนของมัน!
แต่ทว่าการโจมตีของฉู่หลิวเยว่ครั้งนี้ทำให้ราชาหมาป่าโกรธจนถึงขีดสุด!
หลังจากที่ปะทะกับฉู่หลิวเยว่ มันก็กระเด็นร่วงบนพื้นไม่ไกล แล้วแววตาก็เต็มไปด้วยความอาฆาตอันเย็นยะเยือก
“อาวู้วววว”
ราชาหมาป่าเงยหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงหอนลากยาว ก่อนที่จะพุ่งเข้าหาฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง!
ฉู่หลิวเยว่ยกกระบี่ขึ้น คนหนึ่งคนกับสัตว์อสูรหนึ่งตัวกำลังต่อสู้กันในระยะประชิด
ราชาหมาป่าตรงเข้าไปกัดคมกระบี่ของฉู่หลิวเยว่ทันที
เคร้ง!
กระบี่เล่มยาวขาดสะบั้นสองท่อน!
ฉู่หลิวเยว่จึงเหลือเพียงแค่กระบี่หักเล่มเดียวในมือเท่านั้น
ราชาหมาป่าตามประกบติด แล้วกำลังจะพุ่งเข้าไปขย้ำคอฉู่หลิวเยว่
เมื่อกู้หมิงเฟิงที่อยู่ข้างกันเห็นฉากนี้ สมองของเขาพลันว่างเปล่าขาวโพลน
ฉู่หลิวเยว่ไม่คิดถอยหนีแต่กลับก้าวเข้าไป แทงคมกระบี่ที่หักครึ่งท่อนเข้าไปในปากของราชาหมาป่าทันที!
ราชาหมาป่าส่งเสียงครวญครางในลำคอ!
วินาทีถัดมา ราวกับว่ามันสิ้นไร้ความปรานีแล้วกัดคมกระบี่นั้นจนแตกละเอียด
เลือดพุ่งกระจายไปทั่วสารทิศ
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกถึงเหลวอุ่นหยดแหมะลงบนใบหน้าของตนและได้กลิ่นคาวเลือดน่าสะอิดสะเอียน!
นางรีบปล่อยมือจากกระบี่แล้วถอยไปข้างหลัง
ราชาหมาป่าย่างก้าวมาข้างหน้าอีกครั้ง!
ทว่าคราวนี้มันกลับเร็วมากกว่าเดิม!
ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถหลบได้ทันเวลา และเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมอง นางก็เห็นเขี้ยวอันแหลมคมของราชาหมาป่าอยู่ตรงหน้าแล้ว!
นางขยับศีรษะหลีกหนีการโจมตีของราชาหมาป่าได้อย่างหวุดหวิด!
วินาทีต่อมา ไอสังหารอันเย็นยะเยือกก็แวบผ่านเข้ามาในดวงตาของนาง!
นางคุกเข่าและยกขาขึ้น จากนั้นก็เตะเข้าที่ท้องของราชาหมาป่าอย่างแรง!
การเตะครั้งนี้อาจเป็นการจู่โจมที่ร้ายแรงมากสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับราชาหมาป่าที่มีพลังกายแข็งแกร่งนั้นกลับไม่มีความหมายใดเลย
ราชาหมาป่าหยุดชะงักการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะแล้วกลับมาสู้ต่อไปอีกครั้ง!
กรงเล็บแหลมคมแทงทะลุหัวใจของมัน เมื่อถูกโจมตีก็จะตายอย่างมิต้องสงสัย
เมื่อกู้หมิงเฟิงที่เพิ่งลุกขึ้นด้วยความยากลำบากเห็นฉากนี้ เขารู้สึกราวกับถูกควักหัวใจออกมาพร้อมกับรูม่านตาของเขาก็หดตัวลง!
ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีแสงวูบไหวแล่นผ่าน!
ราชาหมาป่ารู้สึกถึงเพียงแสงวูบไหวผ่านหน้า ฉับพลันมันก็สัมผัสถึงความเย็นเฉียบที่ขาหน้าของมัน
ในที่สุดมันก็หยุดขยับ แล้วเห็นมีดสั้นในมือของฉู่หลิวเยว่ประชิดเข้ามาตรงหน้าอก
แต่แล้วข้าหน้าของมันที่กำลังจะโจมตีฉู่หลิวเยว่นั้นกลับถูกนางตัดขาดโดยไม่รู้ตัว!
วินาทีนั้น ความเจ็บปวดแสนสาหัสได้แล่นเข้ามาอย่างรุนแรง
ฉู่หลิวเยว่ยกเท้าขึ้นแล้วเตะมันกระเด็นออกไปอีกครั้ง!
ราชาหมาป่าสูญเสียอุ้งเท้าของมันไป แล้วล้มลงกับพื้นอย่างแรง!
ร่างกายที่เปื้อนฝุ่นและเลือดของมันช่างดูน่าเวทนายิ่งนัก
“หมิงเฟิง! หลิวเยว่! รีบหน่อย! พวกเราจะสกัดกั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว”
ทันใดนั้นมู่หงอวี๋ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา
ฉู่หลิวเยว่เหลียวหน้ามองด้านข้างก็เห็นว่าทั้งสามกำลังตกอยู่ในวงล้อมของฝูงหมาป่าโดนกลบเงาร่างจนแทบมิด
นางรีบก้าวไปข้างหน้าและกระโดดขึ้นโดยไม่ลังเล!
พร้อมมีดในมือที่กำลังจะแทงลงไป
นางแทงมีดเข้าที่หัวของราชาหมาป่า!
มีโพรงเลือดปรากฏขึ้นบนหัวของราชาหมาป่าในทันที ลูกตาของมันถลนพร้อมเลือดไหลอาบออกมา
มันกำลังดิ้นทุรนทุราย แต่กู้หมิงเฟิงที่อยู่ข้างกันรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วกระหน่ำแทงลงไปที่บาดแผลนั้นของมันทันที
ร่างของมันกระตุกสองครั้ง ก่อนจะสิ้นลมหายใจ
ทันทีที่ราชาหมาป่าสิ้นชีวิต หมาป่าในฝูงที่เหลือก็ตระหนักและความโกลาหลก็เกิดขึ้นในทันที
ด้วยเวลาอันรวดเร็ว ฝูงหมาป่าที่ปิดล้อมพวกมู่หงอวี๋ก็วิ่งหนีและหายตัวไปในป่ามืดอย่างไร้ร่องรอย
ในที่สุด บรรยากาศก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
มีเพียงคราบเลือดบนพื้นและซากศพของราชาหมาป่าเท่านั้นที่พิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่เมื่อครู่นี้
ฉู่ หลิวเยว่มั่นใจว่าวิกฤตได้จบสิ้นลงแล้ว จากนั้น นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะถอยหลังไปพิงต้นไม้แล้วหอบกายใจอย่างหนัก
พลังความสามารถของนางในตอนนี้หากเทียบกับฉู่เซียนหมิ่นถือว่าไม่เลว แต่การต่อกรกับสัตว์อสูรระดับสี่อย่างราชาหมาป่าชื่อเฟิงนั้นกลับเป็นการฝืนกำลังอย่างมาก
การต่อสู้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านี้แต่กลับทำให้พละกำลังของนางหายเกือบหมด
ถ้าไม่ได้สกัดกั้นการโจมตีของราชาหมาป่าด้วยมีดสั้นเล่มนั้น เกรงว่าตอนนี้นางคง…
ฉู่หลิวเยว่มองมีดสั้นในมือของนาง
ใบมีดที่บางเฉียบและแหลมคม มีแสงจันทราที่ใสสะอาดเคลื่อนผ่านและไม่มีร่องรอยของเลือด
แต่นางเพิ่งได้สัมผัสแสนยานุภาพของมันเมื่อครู่ที่ผ่านมานี่เอง
ครั้งนี้ในท้ายที่สุดก็คงต้องขอบคุณหรงซิว
หากเป็นมีดสั้นเล่มเก่าของนางเมื่อก่อน ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าราชาหมาป่าอย่างง่ายดายเยี่ยงนี้
หรงซิวได้ช่วยชีวิตนางอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
ฉู่หลิวเยว่มองมีดสั้นเล่มนั้นด้วยสติที่เหม่อลอย
“หลิวเยว่ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!”
มู่หงอวี๋รีบเข้ามาหา แล้วมองสำรวจไปทั่วตัวฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ได้สติกลับคืนมาพร้อมกับส่ายหน้า
“ข้าไม่เป็นอะไร”
“ไอ้หยา! แขนเจ้าถูกข่วนจนเป็นแผลหมดแล้ว!”
ตอนแรกมู่หงอวี๋อยากจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เมื่อลองมองดีๆ ก็เห็นว่ามีคราบเลือดติดอยู่ที่แขนขวาของฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองแต่กลับไม่ได้สนใจ
“เมื่อครู่นี้ข้าไม่ทันระวังเลยโดนกรงเล็บมันข่วนเข้า แต่ไม่มีอะไรมากหรอก ว่าแต่พวกเจ้าโดนฝูงหมาป่าล้อมเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อเห็นสีหน้าสงบนิ่ง และน้ำเสียงที่หนักแน่น คราวนี้มู่หงอวี๋จึงโล่งอกจริงๆ
เมื่อได้ยินคำถามของฉู่หลิวเยว่ สีหน้าของนางก็หมองหม่น
“ข้าไม่เป็นอะไรมาก แต่ตอนนี้เลี่ยวจงซูได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปกป้องข้าและเฉินหู่…”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเลี่ยวจงซูนั่งอยู่บนพื้นโดยมีเฉินหู่กำลังประคองเขาเอาไว้ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดและมีรอยแผลสยดสยองที่ต้นขาของเขา ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะโดนหมาป่ากัดเข้าเนื้ออย่างแรง…
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเดินไปหาทางนั้น
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สีหน้าของเลี่ยวจงซูซีดมากจนแทบไร้สีเลือด
“ข้า…ข้าไม่เป็นไร…”
“ไม่เป็นไรได้อย่างไร!”
สีหน้าเฉินหู่ที่ประคองอยู่ข้างๆ เขาเต็มไปด้วยความกังวล และดวงตาของเขาฉายแววหงุดหงิด
“มันเป็นความผิดของข้าเอง! ตอนที่หมาป่ากรูกันเข้ามา ข้าไม่สามารถสกัดพวกมันได้ จงซูเข้ามาช่วยข้า เขาถึงได้…”
เลี่ยวจงซูส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงแผ่ว
“เดิมทีเจ้าก็บาดเจ็บอยู่แล้ว จะสกัดมันไม่ไหวก็มิใช่เรื่องแปลก เจ้าอย่าโทษตัวเองอีกเลย…พวกเราคือกลุ่มเดียวกันมิใช่หรือ”
เสียงเขาเขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ดูเหมือนจะหมดสติได้ทุกเมื่อ
ดวงตาของมู่หงอวี๋แดงก่ำฉายชัด
“หลิวเยว่ ทำอย่างไรดี เจ้าเป็นหมอเทวดา เจ้าพอมีทางรักษาหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่โน้มตัวลงมาตรวจดูบาดแผลเขาอย่างละเอียด นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า
“เขาบาดเจ็บสาหัสเกินไป”
“แม้แต่เจ้าก็ไม่มีวิธีเลยหรือ”
ขอบตาของมู่หงอวี๋เริ่มร้อนผ่าว นางรีบหันหน้าไปเช็ดหางตา
ในกลุ่มของพวกเขา ผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดคือหลิวเยว่ และตอนนี้แม้แต่นางก็ยังพูดว่าไม่มีทางรักษา…
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เลี่ยวจงซูก็กระตุกมุมปากและฝืนยิ้ม แต่ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวนี้ ก็ยิ่งทำให้น่ากังวลมากขึ้นไปอีก
“ร่างกายข้า ข้าย่อมรู้ดี…”
“ข้าช่วยเจ้าห้ามเลือดก่อนดีกว่า เฉินหู่ เจ้ารีบดึงพลุสัญญาณของเลี่ยวจงซูออกมา ให้อาจารย์มาพาเขากลับไป สถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่สามารถไปต่อได้แล้ว”
บรรพตวั่นหลิงมีความเสี่ยงอันตรายสูงมาก และยิ่งหลังจากฤดูสัตว์อสูรคล้มคลั่งมาถึง ที่นี่จะยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
อาการของเลี่ยวจงซูนั้นจำเป็นต้องกลับไปรักษาโดยด่วน
ทุกคนสบตากันแล้วนิ่งเงียบ
เฉินหู่ก้มหน้าก้มตา ในที่สุดเขาก็เอาพลุสัญญาณของเลี่ยวจงซูออกมาแล้วดึงเชือก
ปุ้ง!
ทันใดนั้น ประกายดอกไม้ไฟก็ทะยานสู่ท้องฟ้า