ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 137 พุ่งเป้าหมายมาที่นาง
ฉู่หลิวเยว่เอื้อมมือแตะหัวเล็กๆ ของมัน
“ไม่ต้องเปรียบเทียบกับผู้อื่นเสมอไปหรอก”
เจ้าตัวน้อยสะดุ้งเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ราวกับว่าคิดไม่ถึงฉู่หลิวเยว่จะพูดจาหักหาญน้ำใจเยี่ยงนี้
มันแค่อ้อนขอสัมผัสเท่านั้นเอง!
หรือว่าคำขอนี้มีอะไรผิดแผกไป!
มันจับนิ้วของฉู่หลิวเยว่มาแนบหูของมัน
…เจ้าลูบสิ!
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ตัวจิ๋วแต่แจ๋วเสียจริง…
นางไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลูบหูที่มีขนนุ่มฟูของมัน
อืม มือนุ่มจังเลย
คราวนี้พวกเจ้าตัวน้อยพึงพอใจแล้ว มันหันหลังให้อย่างแง่งอน ก่อนจะยกหางขึ้นมาปิดใบหน้า
ฉู่หลิวเยว่อดหัวเราะไม่ได้
“คราวนี้เจ้าปล่อยข้าไปได้หรือยัง”
จู่ๆ กู้หมิงจูก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เห็นได้ชัดว่าใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่มัดนางทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตา
“เจ้าฝันอยู่หรือ เจ้าทำให้พวกข้าต้องเผชิญกับความเป็นความตาย เจ้าคิดว่ามันจะจบง่ายๆ เช่นนี้หรือ”
“แต่พวกเจ้าก็ได้ลูกหมีไปแล้ว! พวกเจ้า…”
“พวกข้าสมควรได้รับมันเพราะเอาชนะหมีแผงคอทองคำได้ อันที่จริงใช้หยวนตันตามหาเบาะแสก็ได้ ไม่ช้าก็หาที่นี่จนเจอ การที่ให้เจ้านำทางก็แค่เพื่อการประหยัดเวลาเท่านั้น เจ้าคงไม่คิดว่านี่เป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงกระมัง”
ฉู่หลิวเยว่พูดช้าๆ สั้นๆ ไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้กู้หมิงจูถึงกับจุกจนพูดไม่ออก
เมื่อเรื่องมาถึงตรงนี้ นางก็ตระหนักได้ว่าดูเหมือนว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้มีความคิดจะปล่อยนางไปง่ายๆ อย่างนั้นจริงๆ!
“แล้วพวกเจ้าต้องการทำอะไรกันแน่ ฉู่หลิวเยว่ เจ้าอย่าได้เหิมเกริมเด็ดขาด! ข้ายังมีพลุสัญญาณอยู่ หากเจ้ากล้าคิดไม่ดีกับข้า ข้าจะต้องขอความเป็นธรรมจากอาจารย์และผู้อาวุโสแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่มองกู้หมิงจูด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ข้าจะได้ถือโอกาสถามอาจารย์ว่าคนที่สร้างความเดือดร้อนจนมีศิษย์ร่วมสำนักตายสองคน หายสาบสูญสองคน ทั้งยังทำให้พวกข้าต้องตกอยู่ในอันตราย…คนที่ก่อเรื่องเหล่านี้ควรจะถูกลงโทษอย่างไรดี”
กู้หมิงจูขบริมฝีปากแน่น
ตู้ม ต้าม!
ทันใดนั้นก็มีเสียงอึกทึกสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น!
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วและรีบเดินออกไปนอกถ้ำทันที!
เมื่อนางยืนอยู่กลางภูผาแล้วมองลงมาก็ตกใจจนสติแทบหลุด
“เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้น นี่มัน…”
เฉินหู่เป็นคนแรกที่ตามออกมา และเมื่อเขามายืนข้างฉู่หลิวเยว่ก็เห็นว่านางมีสีหน้าผิดปกติ เขาก็จึงมองตามสายตานางอย่างอดมิได้
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างทันที
ท่ามกลางผืนป่าบริเวณเชิงเขา สัตว์อสูรฝูงหนึ่งกำลังวิ่งขึ้นมาทางเขาลูกนี้!
“กวางลู่ลมขนนกสีเงิน สัตว์อสูรระดับสอง
เมื่อเฉินหู่มองอย่างละเอียดและเห็นขนคล้ายขนนกสีเงินบนหัวของพวกมันก็จำได้ในทันที
สัตว์อสูรชนิดนี้พบได้ทั่วไปมาก มีนิสัยเชื่องและวิ่งเร็ว พวกขุนนางมักขี่เป็นพาหนะล่าสัตว์
แต่พวกมันมักจะอยู่ตัวเดียวโดดเดี่ยวมาโดยตลอด เหตุใดยามนี้ถึงมารวมตัวกันเยอะแยะไปหมด!
มองดูผิวเผิน อย่างน้อยก็มีประมาณสามสิบหรือสี่สิบตัว!
แต่นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมด!
ข้างหลังพวกมัน ยังมีฝูงค้างคาวดำบินว่อนตามกันมาพึ่บพั่บ
ใบหน้าของเฉินหู่กระตุกหงึกๆ
“ค้างคาวสายฟ้าสีม่วง สัตว์อสูรระดับสามหรือ!”
สัตว์มีพิษร้ายแรงเช่นนี้มักจะออกหากินเฉพาะตอนกลางคืนมิใช่หรือ ตอนนี้กลางวันแสกๆ ไฉนจึงออกมาได้!
ที่สำคัญ…พวกมันยังมีจำนวนไม่น้อยกว่ากวางลู่ลมขนนกสีเงิน!
มือของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ กำหมัดในแขนเสื้อ นางกวาดตามองสำรวจโดยรอบอย่างรวดเร็วเดียวด้วยแววตาดำดิ่ง
ขณะนั้นเอง มู่หงอวี๋และผู้อื่นก็ตามมาติดๆ เมื่อพวกเขาเห็นสถานการณ์ที่อยู่ข้างล่างหุบเขาแล้วต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึง
“ช้าก่อน! ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็มี นั่นคือ…เสือดาวอัคคีเมฆาใช่หรือไม่!”
“ยังมีสัตว์อสูรเนตรสีทองมาจากทางทิศใต้ด้วย”
ทุกคนต่างหันมาสบตากัน
มู่หงอวี๋ถามอย่างอดมิได้
“หรือว่า…นี่ก็คือฤดูสัตว์อสูรอาละวาด”
มิฉะนั้นจะไม่มีทางอธิบายได้ว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงมีสัตว์อสูรจำนวนมากปรากฏขึ้นพร้อมกัน ทั้งพฤติกรรมของพวกมันก็สอดคล้องกับชื่อกิจกรรมนัก!
“แต่พวกมันไม่น่าจะเข้าไปในเขตใจกลางบรรพตวั่นหลิงใช่หรือไม่ ตอนนี้พวกเรายังอยู่เขตรอบนอก ทำไมพวกมันถึงพุ่งมาทางพวกเราล่ะ”
เฉินหู่ไม่เข้าใจ
มือของฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ในแขนเสื้อค่อยๆ กำหมัดแน่น
“พวกเราถูกล้อมเอาไว้หมดแล้ว”
…
ในเวลาเดียวกัน คนอื่นๆ ในบรรพตวั่นหลิงก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ณ ที่ใดสักแห่งในบรรพตวั่นหลิง ซือถิงและพรรคพวกกำลังเผชิญกับสัตว์อสูรระดับสามอย่างพยัคฆ์เพลิงแดงล้อมโจมตี
การสู้รบระหว่างทั้งสองฝ่ายมาสู่ทางตัน โดยได้รับความเสียหายทั้งคู่
ซือหยางเช็ดเลือดออกจากใบหน้า ก่อนจะกัดฟันพูดว่า
“พี่ใหญ่ ดูเหมือนพยัคฆ์เพลิงแดงฝูงนี้จะถ่วงพวกเราอยู่ เราจะทำเยี่ยงไรดี”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาโชคร้ายเช่นกัน พวกเขาเคยเจอแต่พยัคฆ์เพลิงแดงตัวหนึ่งมาก่อน จากนั้นพวกเขาช่วยเพื่อนในกลุ่มล่ามัน
ผู้ใดจะไปรู้เล่าว่าฝูงพยัคฆ์เพลิงแดงได้เดินตามกลิ่นเพื่อตามหาพวกเขา การต่อสู้ครั้งนี้จึงปะทุขึ้น
หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด พลังของพวกเขาแทบจะหมดตัว แต่ฝูงพยัคฆ์เพลิงแดงนี้ดูเหมือนจะไม่ยอมรามือไปจากพวกเขา
พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสัตว์อสูรแห่งบรรพตวั่นหลิงนั้นจะรับมือยากถึงเพียงนี้!
ซือถิงขมวดคิ้วเป็นปม
“พวกโจวอวิ๋นสามคนบาดเจ็บสาหัสกันหมด จำเป็นต้องส่งตัวกลับไป”
ซือหยางยิ้มขมขื่น
“เมื่อครู่นี้เราดึงพลุสัญญาณไปแล้ว แต่อาจารย์ยังไม่รีบมาสักที พี่ใหญ่ ดูเหมือนสถานการณ์ครั้งนี้จะมีบางอย่างผิดปกติ”
ซือถิงเม้มริมฝีปากบาง
อันที่จริง พวกเขาต่างมีลางสังหรณ์นี้เช่นกัน
ดูเหมือนสัตว์อสูรเหล่านี้จะถูกกระตุ้นจากบางสิ่งบางอย่าง พลังโจมตีของพวกมันเองก็แข็งแกร่งนัก!
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยพบกับกลุ่มอื่น และสถานการณ์ก็ช่างน่าหดหู่ เพราะหลายคนต้องออกจากฤดูล่าสัตว์ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส
อาจารย์ยังมาไม่ถึงเสียที ละคาดว่าเขาคงมาล่าช้าระหว่างทาง
“โฮกกกก…”
จู่ๆ พยัคฆ์เพลิงแดงก็คำรามเสียงต่ำ!
ซือหยางและคนอื่นจ้องมองที่พวกมันอย่างประหม่ามากขึ้น เพราะกลัวว่าพวกมันจะพุ่งเข้ามาพร้อมกันทั้งหมด
หลังจากนั้น สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจก็คือ พยัคฆ์เพลิงแดงก็หันหลังวิ่งกลับเข้าไปในป่าอย่างกะทันหัน!
พยัคฆ์เพลิงแดงตัวอื่นก็วิ่งตามกันไปติดๆ
ในชั่วพริบตาทุกอย่างก็หายไป!
“นี่มัน…เกิดเรื่องสิ่งใดขึ้น”
ซือหยางสติเหม่อลอย
“หรือว่า…สัตว์อสูรจะออกอาละวาดแล้ว!”
ตามที่อาจารย์บอก เมื่อได้เวลาสัตว์อสูรแห่งบรรพตวั่นหลิงจะรีบไปยังที่แห่งหนึ่ง
ซือถิงกระวนกระวายขึ้นมา
“ไม่ใช่! ทิศทางที่พวกมันไปไม่ใช่ใจกลางของบรรพตวั่นหลิง!”
…
ณ บริเวณเชิงเขา สัตว์อสูรจำนวนมากกำลังมารวมตัวกัน!
พวกเขาที่ยืนอยู่บนยอดเขาตกอยู่ในความเงียบอย่างน่าพิศวง
พวกเขาต่างตระหนักดีว่าความอันตรายขั้นสุดท้ายกำลังจะมาถึง!
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ทำไมพวกมันถึงพุ่งเป้าหมายมาที่พวกเรา”
ลูกหมีแผงคอทองคำในอ้อมแขนของมู่หงอวี๋เกิดอาการกระสับกระส่ายเล็กน้อย ทั้งดิ้นไปมาเพราะความรู้สึกไม่ปลอดภัย นางต้องกอดปลอบและกล่อมอยู่ครู่หนึ่งถึงจะยอมสงบลง
ฉู่หลิวเยว่ไม่เอ่ยปากพูดสิ่งใด
สัตว์อสูรพวกนี้ไม่ได้พุ่งเป้าหมายมาที่พวกเขาหรอก
แต่เป็น…นางต่างหาก!