ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 141 ยอมศิโรราบ
ฉู่หลิวเยว่เดินไปตามทางเพียงลำพัง และยิ่งนางเข้าใกล้ด้านนอกมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกถึงพลังของการโจมตีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
และสามารถจินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกได้
มีก้อนหินที่ตกมาจากผนังถ้ำกระทบด้านข้างนางตลอดเวลา
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่หยุด ทั้งเดินออกไปด้วยฝีก้าวที่มั่นคง
ต่อให้หนทางข้างหน้าอันตรายแค่ไหน นางจำเป็นต้องฝ่าออกไปให้ได้!
ประการสำคัญ…นางอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมสัตว์อสูรในบรรพตวั่นหลิงถึงได้พุ่งเป้าหมายมาที่นางนัก!
นางรู้สึกจั๊กจี้ที่คอเล็กน้อย นางจึงก้มหน้ามองเพียงพอนโลหิตที่วางแหมะบนไหล่ของนาง
“ข้างนอกมันอันตราย เจ้าอย่าตามข้ามาจะดีกว่า”
เจ้าตัวน้อยส่ายหน้า
ไม่!
มันอยากตามนางไปด้วย!
ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้ม ก่อนจะลูบหัวมันแผ่วเบา
“เจ้าขี้ขลาดมิใช่หรือ ภัยอันตรายก่อนหน้านี้เจ้าวิ่งเร็วกว่าใครเชียว เหตุใดตอนนี้ถึงดื้อรั้นตามข้ามาเล่า ข้าไม่ได้ล้อเล่น สถานการณ์ข้างนอกเป็นเยี่ยงไรเจ้าก็น่าจะรู้ดี ไม่จำเป็นต้องตามข้ามาก็ได้ จริงๆ นะ”
ดูเหมือนเจ้าตัวน้อยจะเสียใจกับคำพูดของนาง มันพองแก้มอย่างแง่งอน ถลึงตามองนาง แล้วหันก้นใส่นางดื้อๆ
บอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไปอย่างไรเล่า!
มันไม่ได้เป็นสัตว์ขี้ขลาดแบบนั้นสักหน่อย
หรือว่าในสายตาของนาง มันมีภาพพจน์เป็นสัตว์อสูรเช่นนี้เองหรือ
ก็มันอยากไปกับนางด้วยนี่นา!
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่นางกลับรู้สึกอุ่นวาบในใจเล็กน้อย
“หากเจ้าอยากตามข้าออกไปจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าต้องเผชิญกับอันตราย เจ้าต้องรีบหนีเอาชีวิตรอดทันที ได้ยินไหม”
เจ้าเพียงพอนน้อยยกหางขึ้นมาอุดหูเอาไว้
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจ แล้วเดินออกไปข้างนอกต่อไป
…
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ทางด้านอื่นของบรรพตวั่นหลิง ผู้อาวุโสซุนและคนอื่นเมื่อเห็นนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างกะทันหันก็ตั้งรับมือไม่ทันเช่นกัน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน นาคาปีกทมิฬกลืนเวหามาปรากฏตัวที่นั่นได้อย่างไร!”
ผู้อาวุโสซุนตกใจเป็นอย่างยิ่ง
บรรดาอาจารย์อีกหลายท่านมองหน้ากันอย่างตกตะลึง
“ผู้อาวุโสซุนขอรับ ท่านทราบหรือไม่ว่าที่แห่งนี้มีนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา”
ผู้อาวุโสซุนพยักหน้าตอบอย่างเคร่งขรึม
“บรรพตวั่นหลิงนี้เป็นอาณาเขตของมัน ที่เรียกกันว่าฤดูล่าสัตว์คลุ้มคลั่ง แท้จริงแล้วสาเหตุมาจากมันนี่แหละ การบำเพ็ญเพียรของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหานั้นจำต้องการกลืนกินพลังมากมายมหาศาล รวมถึงสัตว์อสูรระดับต่ำพวกนั้นด้วย เนื่องจากชนชั้นของระดับสัตว์อสูร สัตว์อสูรระดับต่ำเหล่านั้นจึงต้องรวมตัวกันและปล่อยให้มันทำหน้าที่”
“สามปีก่อน ข้ากับอาจารย์ลุงก็เห็นมันที่นี่โดยบังเอิญ แต่ในเวลานั้น ขั้นบำเพ็ญสูงสุดของมันยังอยู่ที่ระดับหก แต่ข้าคิดไม่ถึงว่ามันจะทะลวงไปถึงระดับเจ็ดได้ในเวลาเพียงสามปี!”
ทุกคนต่างสะทกสะท้าน
ผู้อาวุโสซุนขมวดคิ้วเป็นปม
“ภูเขาลูกนั้นที่อยู่ตรงกลางบรรพตวั่นหลิงคือรังของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตัวนี้ มันไม่เคยออกจากที่นั่นมาก่อน แต่ทว่าตอนนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดมันถึงได้มาปรากฏตัวที่ชายป่า…ชิงเยี่ย ตอนนี้ยังมีลูกศิษย์อยู่ในบรรพตกี่คน”
อาจารย์ที่อยู่ข้างกันนับจำนวนในใจ ก่อนจะรายงานว่า
“สองวันแรก มีสัตว์อสูรออกอาละวาดในป่าไม่น้อย ทั้งยังมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง นักเรียนหลายคนถอยออกมาเพราะได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้มีไม่ถึงหนึ่งในสามที่ยังคงอยู่ข้างในขอรับ”
ผู้อาวุโสซุนจ้องไปที่ร่างใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวและพึมพำว่า
“มิน่าล่ะที่คราวนี้ถึงได้แปลกประหลาด ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าตัวนี้…”
แม้มองจากระยะไกล เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงเจตนาฆ่าที่พลุ่งพล่านในตัวนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา!
มันพยายามจะทำอะไรกันแน่
เขาระงับความวิตกกังวลในใจและสั่งการออกไปว่า
“ทุกคนแยกย้ายนำศิษย์ที่เหลือทั้งหมดกลับไป! จำไว้ ระวังอย่าไปยั่วโมโหนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาเด็ดขาด!”
“ขอรับ!”
…
ฉู่หลิวเยว่ออกมาจากรังของหมีจำศีลแล้วกลับมาที่ถ้ำอย่างรวดเร็ว
ที่ตรงนี้ นางได้ยินถึงปราณอันทรงพลังที่หลั่งไหลเข้ามาจากภายนอกต่อเนื่องอย่างชัดเจน
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินออกไปข้างนอก
เมื่อร่างของนางปรากฏขึ้นที่ปากทางเข้าถ้ำ ดวงตาของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาที่อยู่เหนือท้องนภาฉายแววเย็นยะเยือก จากนั้นมันก็ชูคอขู่คำราม!
สัตว์อสูรที่กำลังวิ่งยกโขยงเข้ามา เมื่อได้ยินคำสั่ง พวกมันจึงพากันหยุดอย่างพร้อมเพรียง
ทว่าพวกมันแทบจะยึดครองพื้นที่ภูเขาทั้งลูกแล้ว สัตว์อสูรเนตรทองอยู่ด้านหน้าสุด มันปีนขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว และกำลังประจันหน้าฉู่หลิวเยว่
ไม่สิ ควรจะพูดว่าฉู่หลิวเยว่ถูกปิดล้อมไว้หมดแล้วต่างหาก!
ฉู่หลิวเยว่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าตามเสียงนั้น และเมื่อนางเห็นร่างมหึมาของสัตว์อสูรชัดเจน นางก็ตื่นตระหนกตกใจทันที!
นาคาปีกทมิฬกลืนเวหา สัตว์อสูรระดับเจ็ดหรือ!
ไม่น่าแปลกใจเลยที่สัตว์อสูรเหล่านี้ยอมศิโรราบ ที่แท้ก็เป็นเพราะมันนั่นเอง
หนึ่งคนกับสัตว์อสูรหนึ่งตนมองหน้ากัน!
ฉู่หลิวเยว่มองเห็นม่านตาแนวตั้งคู่นั้นเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันเย็นยะเยือกอย่างชัดเจน!
มันพุ่งเป้ามาที่นางเพื่อปลิดชีวิตนางจริงๆ ด้วย!
หัวใจของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ ดำดิ่ง
ในเวลานี้ แสงพระอาทิตย์กำลังอบอุ่นพอดี แต่ร่างกายของนางกลับหนาวสะท้านยิ่งนัก
ถ้าหากเป็นนางในอดีตชาติ นางก็คงไม่แยแสสัตว์อสูรระดับเจ็ด ทว่ายามนี้…นางจะรับมือกับมันได้อย่างไร!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีสัตว์อสูรมากมายที่รายล้อมรอคอยนางอยู่
ฉู่หลิวเยว่ไม่สงสัยเลยสักนิดว่าเพียงแค่นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาสั่งการลงไป พวกสัตว์อสูรเหล่านี้จึงปรี่เข้ามาหมายจะฉีกทึ้งนางเป็นชิ้นๆ
ท่ามกลางอากาศที่ดูเหมือนจะเย็นยะเยือก นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาก็เคลื่อนตัวเข้ามาทางฉู่หลิวเยว่
เมื่อมันเข้ามาใกล้ สัตว์อสูรเนตรทองล้วนยอมเบี่ยงกายหลีกทางให้ และสัตว์อสูรตัวอื่นที่อยู่ยอดเขาก็ยิ่งดูน่าเกรงขามมากขึ้นเรื่อยๆ
นาคาปีกทมิฬกลืนเวหามองลงมาที่ฉู่หลิวเยว่
เมื่อมันมองเพียงปราดเดียว
แรงกดดันที่มองไม่เห็นก็ตกกระทบลงมาที่นาง!
นั่นคือพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่มาจากสัตว์อสูรระดับสูงเท่านั้น!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างกดทับร่างกายเอาไว้ และร่างกายของนางก็เจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส!
สีหน้าของนางพลันซีดเผือด หน้าผากของนางมีเหงื่อไหลซึม!
เพียงพอนโลหิตที่เกาะบนไหล่ของนางก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน มันส่งเสียงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด
เพียงพอนโลหิตก็เป็นสัตว์อสูร เมื่อมันได้รับแรงบีบอัดเส้นเลือดชีพจรอันทรงพลังจากนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา มันก็หนีไปไหนไม่ได้เช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองและเห็นว่ามันสั่นไปทั้งตัว เห็นได้ชัดว่ามันกลัวความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทว่าอุ้งเท้าทั้งสองข้างของมันกำเสื้อผ้าของนางแน่นไม่ยอมปล่อย
นางพยุงตัวเอง มองย้อนกลับไปที่นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาแล้วเอ่ยถามชัดถ้อยชัดคำ
“หากเจ้าต้องการชีวิตข้า ก็มิใช่ว่าจะไม่ได้ แต่อย่างน้อย เจ้าต้องบอกเหตุผลให้ข้าเข้าใจว่าทำไมถึงอยากให้ข้าตาย”
นาคาปีกทมิฬกลืนเวหามองมาที่นางอย่างเฉยเมย มันไม่พูดอะไรแต่เพิ่มพลังอัดเข้าไปอีก!
ครืด!
พื้นปฐพีใต้ฝ่าเท้าของฉู่หลิวเยว่แตกแยกทันที!
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายจนทำให้ฉู่หลิวเยว่เกือบหน้ามืด!
นางกัดฟันและยืนนิ่ง แต่จู่ๆ ก็เกิดประกายแสงวาบในหัวใจ
อยากฆ่านางให้ตาย คิดว่าง่ายนักหรือ
แต่นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตัวนี้กลับไม่ได้โจมตีนางโดยตรง!
ยิ่งกว่าต้องการชีวิตนาง ดูเหมือนมัน…อยากให้นางยอมศิโรราบมากกว่า!