ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 142 ไปด้วยกัน
นางไม่รู้จักนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตนนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมัน เหตุใดมันถึงทำเยี่ยงนี้
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดร้อยตลบแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
และดูเหมือนมันไม่คิดที่จะอธิบาย เพียงแค่จ้องนางตาเขม็ง พร้อมเพิ่มแรงบีบอัดใส่ฉู่หลิวเยว่มากขึ้น
ฉู่หลิวเยว่กรีดร้องออกมา โลหิตหยดออกมาจากมุมปากของนาง
ถึงกระนั้น นางก็ยังคงยืนอกผายไหล่ผึ่ง
นางยกมือขึ้นค่อยๆ เช็ดเลือดตรงมุมปาก มองดูนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาอีกครั้งด้วยสายตาหนักอึ้ง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งนางก็เผยรอยยิ้ม
“…เจ้าอยากให้ข้าคุกเข่า หากข้าคุกเข่า เช่นนั้นข้าก็คงเสียเกียรติแย่น่ะซิ”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ร่องรอยของความโกรธก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา
ตู้ม!
เมื่อมันกวาดหางจึงมีพายุโหมกระหน่ำเข้ามา
ร่างกายของฉู่หลิวเยว่กระเด็นออกไปกระทบผาหินอย่างแรง!
ปัง!
เสียงกระแทกดังขึ้น มีเลือดไหลซึมที่แผ่นหลังของนาง ฉู่หลิวเยว่ไอโขลกๆ เพื่อกระอักเลือดออกมา ริมฝีปากที่ขาวซีดกลับเปื้อนเลือดแดงสด ดูแล้วน่าเศร้ารันทด
กระดูกสะบักหลังของนางแตกไปแล้ว
แต่ก่อนที่นางจะกลับมายืนมั่นคง พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็โจมตีมาที่นางอีกครั้ง!
ปัง!
ฉู่หลิวเยว่ถูกเหวี่ยงกระเด็นอีกครั้ง!
แต่ทว่าครั้งนี้กลับรุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก!
เพียงพอนตัวน้อยที่เกาะเสื้อนางเอาไว้แน่นก็ร่วงลงมาพร้อมกัน
มันมองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยความตื่นกลัวทั้งน้ำตา
สักพักกว่าฉู่หลิวเยว่ประคองตัวขึ้นพิงก้อนหินที่อยู่ข้างๆ พยายามข่มความเจ็บปวดแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าตอนนี้ลมหายใจของนางรวยรินเหลือเกิน ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ดูแล้วช่างน่าเศร้าสลดยิ่งนัก
…ไม่ใช่ว่านางไม่อยากตอบโต้ แต่มันไม่ได้ให้โอกาสนางเลย!
ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรระดับเจ็ดนั้นยากจะหยั่งถึง ขั้นระดับยุทธ์ปัจจุบันของนางไม่มีความสามารถพอที่จะต่อสู้กับมัน!
ทว่า…มันเป็นเพราะเหตุใดกันแน่
เจ้าเพียงพอนน้อยเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วด้วยอุ้งเท้าของมัน ก่อนหันไปมองตัวการทำร้าบมันด้วยความโกรธ
มันขบกรามดังกรอดๆ ในที่สุดมันก็กระโดดเข้าใส่นาคาปีกทมิฬกลืนเวหา!
มันจะฆ่าสัตว์อสูรระดับเจ็ดหรือ!
“กลับมา!”
ฉู่หลิวเยว่ตกใจสุดขีด นางอยากเข้าไปขวางแต่ก็สายไปเสียแล้ว
นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาหันไปมองเพียงพอนโลหิตที่พุ่งเข้าหามันด้วยสายตาราวกับว่ามันกำลังดูสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้วก็มิปาน
ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
ด้วยพลังมหาศาลทำให้เจ้าตัวน้อยแข็งทื่อ จากนั้นก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง!
มันนอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อนไม่รู้ว่ามันมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
รูม่านตาของฉู่หลิวเยว่หดเข้าทันที!
ดวงตาอันแสนเย็นเยียบจับจ้องมาที่นาง
นางแหงนหน้าขึ้นมอง
นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาก้มมองต่ำมาที่นาง ราวกับว่ากำลังมองมดที่กำลังดิ้นรนอย่างไร้ความหมาย
…
หลังจากคำสั่งของผู้อาวุโสซุนถ่ายทอดลงไป อาจารย์ที่มาพร้อมกันก็เริ่มปฏิบัติภารกิจทันที ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็พบลูกศิษย์ที่หลงเหลืออยู่ในป่า พร้อมกับรีบส่งพวกเขาออกไป
ทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่น ก่อนจากไป ผู้อาวุโสซุนเตือนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าห้ามเข้าไปยังจุดศูนย์กลางของบรรพตวั่นหลิง
ดังนั้นนักเรียนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในพื้นที่รอบนอก ซึ่งสะดวกต่อการอพยพในครั้งนี้
ในขณะที่อาจารย์หลายท่านกลับมารายงานว่านักเรียนส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปแล้ว แต่ผู้อาวุโสซุนกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ทำไมรวดเร็วขนาดนี้”
“ขอรับ ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้ถลำลึกเข้าไป แม้จะอยู่กันกระจัดกระจาย แต่ยังตามเจอได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาหรือไม่ ดูเหมือนสัตว์อสูรในป่าจะถูกมันเรียกออกมาทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่เจอการขัดขวางใดๆ ขอรับ”
คณาจารย์โชคดีมาก
ผู้อาวุโสซุนพยักหน้า ในที่สุดก็รู้สึกสงบจิตสงบใจขึ้นมาบ้าง
“เหลือศิษย์กี่คนที่ยังไม่ได้ออกมา”
“นอกจากมีศิษย์สามคนที่เสียชีวิต ศิษย์ทุกคนที่เหลือออกมาหมดแล้ว” ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ศิษย์ของพวกเรา…ตายไปสี่คน ยังมีอีกหนึ่งคนที่หายสาบสูญ ส่วนคนอื่นๆ ออกไปจากที่นี่กันหมดแล้ว” ผู้อาวุโสอีกท่านกล่าวด้วยสีหน้าสลดหดหู่
ซุนจ้งเหยียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ครั้งนี้เกรงว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่น่าสลดใจที่สุดในสำนัก
ถ้าหากเขารู้ว่าเหตุการณ์จะลงเอยเช่นนี้…
“ไป๋เชิน นักเรียนใหม่ล่ะ”
เขาระงับความรู้สึกในใจ ก่อนจะถามต่อ
สีหน้าของไป๋เชินดูย่ำแย่
“…กลุ่มของกู้หมิงจูมีคนตายสองคน เราเจอศพของพวกเขาในป่า ส่วนที่เหลืออีกสามคนตอนนี้ยังไร้ร่องรอย และยังมี…กลุ่มของฉู่หลิวเยว่อีกสี่คนที่ยังไม่ได้ข่าวคราวขอรับ”
ซุนจ้งเหยียนตกตะลึง
“เหตุใดจึงไม่มีข่าวคราว บริเวณรอบนอกนั้นกว้างใหญ่มาก ถึงอย่างไรพวกเขาพกพลุสัญญาณติดตัวไปด้วย ไม่น่าจะหาตัวไม่เจอ…”
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ น้ำเสียงของเขาจึงเหือดหายในลำคอ
ไป๋เชินหัวเราะอย่างขมขื่น
“เราค้นหาที่อื่นจนทั่วหมดแล้ว แต่ไม่พบเลยขอรับ เหลืออีกที่หนึ่งที่ยังไม่ได้ไป…”
ทุกคนรู้ว่าเขากำลังจะเอ่ยถึงสถานที่แห่งใด
ภารกิจของพวกเขาเมื่อครู่นี้ พวกเขาได้พยายามหลีกเลี่ยงภูเขาลูกนั้นที่นาคาปีกทมิฬกลืนเวหากำลังครอบงำอยู่
“…พวกเขาน่าจะอยู่ที่นั่น!”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น ทุกคนต่างพากันเงียบกริบ
นาคาปีกทมิฬกลืนเวหานั้นอันตรายมากเพียงนั้น ถ้าพวกเขาอยู่ตรงนั้นจริง เกรงว่าอาจจะโชคร้าย!
ซุนจ้งเหยียนขมวดคิ้วเป็นปม สักพักเขาก็พูดอย่างเด็ดขาด
“พวกเจ้าออกไปจากที่นี่ก่อน ข้าจะไปดูด้วยตนเอง!”
“ผู้อาวุโสซุนโปรดทบทวนด้วย นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตัวนั้นดุร้ายอันตรายมาก เมื่อดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เรายังไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นอีก ท่านไปตอนนี้ก็เท่ากับว่า…”
“ข้าไม่สนอะไรให้มากความแล้ว หากหาที่อื่นไม่พบ เช่นนั้นพวกเขาก็คงทำได้เพียงหลบอยู่ในนั้น ที่สำคัญ เพราะนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาอันตรายเกินไป ดังนั้นข้าจำเป็นต้องไป!”
ศิษย์เหล่านั้นอยู่ในวงล้อมของสัตว์อสูร เกรงว่าพวกเขาคงจะฝืนทนต่อไปอีกได้ไม่นาน
“ผู้อาวุโสซุน ถ้าหากพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นล่ะ ถ้าอย่างนั้นให้พวกเราไปดูก่อน…”
“ไม่มีเวลาแล้ว”
ซุนจ้งเหยียนส่ายหน้า
ไป๋เชินรีบพูดขึ้นมาว่า
“ข้าจะตามท่านไปด้วย!”
ซือถิงก้าวมาข้างหน้า ใบหน้ารูปงามที่สงบนิ่งของเขา บัดนี้ดวงตากลับมีคลื่นวูบไหว
“ซือฝุ ศิษย์ขออาสาไปด้วยขอรับ”