ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 162 ว่ากล่าวตักเตือน
ฉู่หลิวเยว่แสดงความเห็นอกเห็นใจ
“มิกล้าๆ ฮูหยินกู้มีสถานะสูงส่ง คำขอโทษนี้ของท่านข้ารับเอาไว้ไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ แต่ฮูหยินกู้เจ้าคะ ดูเหมือนเมื่อครู่นี้ท่านคงจะแหกปากร้องไห้มากเกินไปหน่อย ดูสิ คอแหบคอแห้งหมดแล้วเจ้าค่ะ”
เยว่เจินหลิงโกรธจนแทบหายใจไม่ออก
นี่จงใจกระแทกแดกดันนางใช่หรือไม่!
“เจ้า…”
“พอได้แล้ว!”
กู้อวิ๋นเฟยตวาดลั่น แล้วหันไปมองผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลัง
“ยังไม่รีบมาประคองฮูหยินกลับไปอีก ดูแลนางให้ดี!”
“ขอรับ!”
คนพวกนั้นรีบก้าวมข้างหน้าเพื่อกึ่งประคองกึ่งบังคับให้เยว่เจินหลิงเดินออกไป
เมื่อกู้อวิ๋นเฟยอยู่ที่นี่ เยว่เจินหลิงก็ไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาต่อไปแม้ว่าจะโกรธมากแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงตามพวกเขากลับไป
เมื่อเงาร่างของพวกนางหายลับไปแล้ว กู้อวิ๋นเฟยจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไปที
“ผู้อาวุโสซุน หลิวเยว่ คือว่าเรื่องนี้…”
“ท่านประมุขกู้ เมื่อครู่นี้ผู้อาวุโสซุนได้ชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วว่ากู้หมิงจูพยายามทำร้ายข้าแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายก็กรรมตามสนองจนตัวเองต้องตาย อันที่จริง ไม่ได้มีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว ก่อนหน้านี้ก็เช่นกัน นางต้องการขโมยลูกหมีแผงคอทองคำแต่ไม่สำเร็จจนถูกแม่หมีตามฆ่า จากนั้นยังจงใจทำให้กลุ่มของพวกเราต้องเดือดร้อนไปด้วย ซึ่งทำให้กลุ่มของพวกเราถูกหมีแผงคอทองคำคุกคาม ถ้าหากว่าพวกเราไม่โชคดีพอ ครั้งนี้อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้กระทั่งพวกของมู่หงอวี๋ก็อาจจะไม่สามารถหนีรอดความตายได้”
ฉู่หลิวเยว่พูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่กลับทำให้ผู้คนต้องสะเทือนใจและตกตะลึงอีกครั้ง
“สถานะของข้าแสนจะธรรมดา จะบาดเจ็บหรือตายไปก็ไม่ส่งผลอันใดใด แต่มู่หงอวี๋…นางเป็นถึงท่านหญิงหย่งผิง ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับนางด้วยเหตุนี้ ข้าเกรงว่าประมุขกู้คงจะต้องเดือดร้อนไปด้วย”
คำพูดที่เหลือของกู้อวิ๋นเฟยได้มาจุกอยู่ที่ลำคอ
ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉู่หลิวเยว่พูดนั้นจะจริงหรือเท็จ แต่ผู้อาวุโสซุนยืนอยู่ฝ่ายนาง ต่อให้ที่พูดมานั้นเป็นเรื่องเท็จมันก็จะกลายเป็นความจริงได้!
“เดิมทีข้าคิดว่า ในเมื่อกู้หมิงจูไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเอาความเรื่องนี้อีก ถึงอย่างไรผู้ตายก็สำคัญกว่า แต่สิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงก็คือ พอข้าถอยให้หนึ่งก้าว กลับได้ข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลและการถูกใส่ร้ายป้ายสีกลับมาแทน ประมุขกู้ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่เรื่องใดที่ข้าไม่ได้ทำ ข้าก็จะไม่ทางยอมรับเด็ดขาด หากมีผู้ใดคิดใส่ความข้า ข้าไม่สามารถนิ่งดูดายได้ โชคดีที่วันนี้ผู้อาวุโสซุนอยู่ มิฉะนั้น ข้าคงล้างมลทินมิได้ ท่านจะว่าอย่างไรกับเรื่องนี้”
กู้อวิ๋นเฟยเสียวสันหลังวาบ
“เช่นนั้นเจ้าต้องการให้อย่างไร”
ฉู่หลิวเยว่หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ฮูหยินกู้ได้ขอโทษข้าต่อหน้าทุกคนแล้ว แน่นอนว่าข้าเองย่อมไม่ผูกใจเจ็บ ดังนั้นเรื่องนี้ก็ให้เลิกแล้วต่อกันไปก็แล้วกัน”
ในที่สุดก้อนหินที่อยู่ในใจของกู้อวิ๋นเฟยก็หล่นลงพื้นไปสักที
“อย่างนั้นก็ดีๆ…”
“แต่…”
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้า จากนั้นลดเสียงของนางลงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ประมุขกู้ ฮูหยินเสียใจที่สูญเสียบุตรสาวอันเป็นที่รัก ตอนนี้ทั้งโศกเศร้าและผิดหวัง ในยามที่วู่วามก็อาจจะถูกคนยุแยงได้ง่ายๆ หรือบางทีอาจจะถูกหลอกใช้ ก็ไม่แน่หรอกนะ ท่าน…ต้องระวังหน่อยนะเจ้าคะ”
หัวใจของกู้อวิ๋นเฟยเต้นดัง ตึกตัก
…
เรื่องราววุ่นวายได้จบลงไปแล้ว ฉู่หลิวเยว่กลับมาถึงสำนักก็อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ให้ผู้อาวุโสซุนและไป๋เชินฟังพอสังเขป
ทว่านางรอดพ้นจากกระแสน้ำวนสีดำทะมึนนั้นมาได้อย่างไร นางบอกเพียงว่าตอนนั้นตนเองได้หมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองได้มานอนอยู่กลางป่าแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน
ถึงอย่างไรผู้อาวุโสซุนก็ไม่ได้เชื่อทั้งหมด ในเมื่อฉู่หลิวเยว่มีท่าทางไม่อยากอธิบายอะไรไปมากกว่านี้ เขาก็ไม่เซ้าซี้ถามอีก จากนั้นจึงบอกให้นางไปพักผ่อนแล้วปล่อยนางกลับไป
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่ยังไม่ทันเดินถึงที่พักของตน นางก็เจอกับมู่หงอวี๋และเฉินหู่ที่มารอนางอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
ทั้งสองต่างตื่นเต้นและดีใจมากเมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่ตัวเป็นๆ มายืนอยู่ข้างหน้าพวกเขา
“หลิวเยว่ เป็นเจ้าจริงๆ! เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!”
มู่หงอวี๋คว้าตัวเข้ามากอดหมับ ทั้งร้องไห้และหัวเราะประสมปนเป
เฉินหู่ที่อยู่ข้างกันยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขายิ้มดีใจจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว
“ฮ่าๆ! ข้าบอกแล้วว่าฉู่หลิวเยว่ตายยากจะตาย! ตอนนั้นพวกเราสัญญากันแล้วว่าจะเจอกันอีกที่ข้างนอกบรรพต นี่ก็ได้เจอกันแล้วมิใช่หรือ”
ฉู่หลิวเยว่เห็นว่าทั้งสองมีสีหน้าอิดโรย แล้วก็รู้ดีว่าไม่กี่วันมานี้พวกเขาคงจะลำบากน่าดู ดังนั้นนางจึงรู้สึกสงสารขึ้นมา ก่อนจะลูบไหล่มู่หงอวี๋เบาๆ
“ข้ารักษาคำพูดเสมอ แต่ว่าพวกเจ้าดูไม่ค่อยเหมือนจะไม่สบายเลยนะ”
มู่หงอวี๋ปาดน้ำตา
“เปล่าสักหน่อย!”
นางพูดและพยายามกลั้นไม่ให้หลุดขำออกมา
“ข้าได้ยินมาว่านายหญิงกู้มาก่อความวุ่นวายกับเจ้าเมื่อครู่นี้ พวกนางไม่อายบ้างหรือไร”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“จัดการเรียบร้อยแล้วล่ะ คิดๆ ดูแล้วต่อไปในวันข้างหน้าฮูหยินกู้คงจะใช้ชีวิตลำบากแน่”
เฉินหู่ถามด้วยความสงสัย
“เจ้ารู้ได้อย่างไร อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงนายหญิงแห่งตระกูลกู้นี่นา!”
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มมุมปาก
“ก็เพราะว่าเป็นนายหญิงนี่แหละ เรื่องนี้ถึงได้ร้ายแรงมาก”
…
ณ ตระกูลฉู่
หลังจากได้ยินข่าวจากคนรับใช้ ลู่เหยาก็เรียกสติกลับคืนไม่ได้อยู่นานสองนาน นางนั่งอยู่บนเก้าอี้และพึมพำอย่างไม่เชื่อ
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร…แค่นี้ยังไม่พอที่จะล้มนางอีกหรือ”
ไม่เพียงแต่ล้มไม่ได้ แต่ยังกลับเป็นการช่วยให้ฉู่หลิวเยว่กลายเป็นผู้บริสุทธิ์อีกด้วย!
จากคำให้การของผู้อาวุโสซุน ต่อจากนี้ไปจะไม่มีข่าวลือเช่นนั้นในเมืองหลวงอีกแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่ล้างมลทินให้ตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด!
นางพึ่งอะไรให้รอดพ้นจากวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่าได้กันแน่
“ล้วนเป็นเรื่องงามหน้าที่เจ้าทำทั้งนั้น ตอนนี้ดีแล้ว ทุกคนต่างรู้แล้วว่าผู้อาวุโสซุนก็คือภูเขาที่ฉู่หลิวเยว่พักพิง!”
ฉู่เยี่ยนบาดเจ็บสาหัสจึงยังไม่สามารถลงจากเตียงได้ในตอนนี้ แต่อารมณ์ของเขากลับทวีความฉุนเฉียว เขาจึงตวาดลั่นทั้งๆ ที่ยังไม่สามารถขยับตัวได้
ลู่เหยาอึดอัดคับแค้นจนแทบบ้า
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเรื่องมันจะกลายมาเป็นเช่นนี้ไปได้!”
“ก็เพราะเจ้ามันไร้สมองอย่างไรเล่า!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบอยู่ข้างนอก
ลู่เหยาเหลือบมองกลุ่มคนก็วิ่งเข้ามาในบ้าน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้มาดี
“ทำอะไรน่ะ! ที่นี่คือที่ที่พวกเจ้าเข้ามาโดยพละกาลได้หรือ ออกไปเดี๋ยวนี้!”
คนที่เข้ามาคนแรกหัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาทแปลกประหลาด
“ฮูหยินสาม พวกข้าได้รับบัญชามาจากผู้อาวุโสใหญ่ ให้เชิญท่านไปพบที่ห้องโถงใหญ่”
หัวใจของลู่เหยากระตุกวูบ
“ผู้อาวุโสใหญ่เรียกข้าไปทำไม”
“เหอะ ท่านทำเรื่องอะไรไว้ก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ เวลานี้คนของตระกูลกู้ก็มารอท่านอยู่เหมือนกัน เชิญขอรับ…”
เมื่อได้ยินคำว่า ตระกูลกู้ หัวใจของลู่เหยาก็จมดิ่งลงไปอย่างสมบูรณ์!