ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 174 พวกเจ้าสนิทสนมกันหรือ
ชายหนุ่มสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดหมดจด ใบหน้ารูปงามราวกับได้รับการแกะสลักอย่างประณีตจากเทพพระเจ้า
โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น ที่ลุ่มลึกสงบนิ่งราวกับดวงดารายามรัตติกาล ทั้งบริสุทธิ์ใสสะอาด แต่แฝงด้วยความลึกลับอยู่บ้างเล็กน้อย
ริมฝีปากบางสีแดงเข้มยกขึ้นเล็กน้อย ราศีความอ่อนโยนและสง่างามที่มีมาแต่เดิมนั้นมาพร้อมกับกลิ่นอายของทิวทัศน์ยามวสันต์ฤดู
ดวงตาของเขาจ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากบางๆ
มู่หงอวี๋ตกตะลึงครู่หนึ่ง และในที่สุดก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก่อนที่นางจะเบิกตากว้าง
“หลีอ๋องเองหรือเพคะ”
หรงซิวพยักหน้าเบาๆ
“ท่านหญิงหย่งผิง”
นับตั้งแต่ที่มู่หงอวี๋มาถึงเมืองหลวงและเข้าเรียนที่สำนักเทียนลู่ นางก็ถ่อมตนมาโดยตลอด และเอ่ยถึงสถานะของตนเองนับครั้งได้
นางไม่ได้ยินผู้ใดเอ่ยเรียกชื่อเต็มยศของนางว่าท่านหญิงหย่งผิงมานานแสนนานแล้ว
ทว่าเวลานี้เมื่อได้ยินหรงซิวเอ่ยขาน นางก็อดตกตะลึงไปครู่หนึ่งไม่ได้
“พระองค์รู้จักหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ”
หรงซิวยิ้มจางๆ
“ข้าเคยได้ยินคุณหนูหลิวเยว่เอ่ยถึง ครั้งนี้เมื่อได้พบหน้า ท่านหญิงมีน้ำใจกว้างเหมือนผิงเจียงอ๋องยิ่งนัก”
คำเยินยอนี้ทำให้มู่หงอวี๋อารมณ์ดีขึ้นมาทันที
นางชื่นชมศรัทธาในตัวท่านพ่อของนางมาก เมื่อได้ยินเขาเอ่ยชม นางดีใจเสียยิ่งกว่าเป็นผู้โดนชมเองเสียอีก
จากนั้นนางจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“หลีอ๋องเคยเจอท่านพ่อของหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ”
“ถึงแม้ว่าไม่มีโอกาสได้เจอกันสักครั้ง แต่ก็ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว”
มู่หงอวี๋ก็คิดเช่นนั้น
หลีอ๋องพระองค์นี้ร่างกายไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงถูกส่งตัวไปรักษาที่เขาหมิงเยว่เทียน แม้แต่เมืองหลวงยังกลับมาแค่ไม่กี่ครั้ง แล้วเขาจะเคยพบท่านพ่อที่อยู่แดนไหลขนาดนั้นได้อย่างไร
แต่ถึงกระนั้น ดูๆ แล้วหลีอ๋องนี่ก็สายตาไม่เลวทีเดียว!
มู่หงอวี๋ดึงแขนเสื้อของฉู่หลิวเยว่ระริกระรี้ แล้วกระซิบว่า
“หลิวเยว่ สายตาเจ้าไม่มองสูงไปหน่อยหรือ ข้าว่าหลีอ๋องดีมากๆ เลยนะ”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองนางอย่างหมดคำพูด
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มู่หงอวี๋จะเลิกมีนิสัยคิดตื้นๆ สักที หลงกลเพราะน้ำคำเพียงคำเดียว ต่อไปไม่แน่นางคงเต็มใจให้เขาหลอกด้วยกระมัง!
“นี่ เขาบอกว่าเจ้าเคยเอ่ยถึงข้าต่อหน้าเขา แสดงว่าเจ้าสนิทกับเขาน่ะสิ”
จู่ๆ มู่หงอวี๋ก็นึกถึงอะไรบางอย่าง และสายตาของนางที่มองฉู่หลิวเยว่ก็มีเลศนัยขึ้นมา
“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่า…”
“ก่อนหน้านี้องค์ชายเคยช่วยข้าสองสามครั้ง ตอนที่ข้าไปเข้าเฝ้าเพื่อขอบพระทัย องค์ชายทรงถามเรื่องในสำนัก ข้าก็เลยเอ่ยถึงเจ้าไปไม่กี่คำเท่านั้น”
ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างไร้ความเคอะเขิน
มีผู้ใดโกหกไม่เป็นบ้างเล่า
ในเมื่อเขาจงใจเปิดโปง เช่นนั้นนางก็ไม่เกรงใจแล้ว!
มู่หงอวี๋เข้าใจทันที
“มิน่าล่ะ…เขาคงอยากจะมาที่สำนักในตอนนั้นแน่เลย เขาถึงได้ถามเจ้าถึงเรื่องนั้นใช่หรือไม่”
หางตาของฉู่หลิวกระตุกเล็กน้อย
หรงซิวมองดูกล่องหยกในมือของฉู่หลิวเยว่เงียบๆ
“ดูท่าทางพวกเจ้าคงมีธุระต้องจัดการ ถ้าอย่างนั้นข้าไม่รบกวนแล้วล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่ถอนสายบัว
“หลีอ๋องเชิญเสด็จ”
หรงซิวเหลือบมองนางเงียบๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพร้อมกับผู้อาวุโสซุน
มู่หงอวี๋อดลูบแขนตัวเองไปมาไม่ได้
“หลิวเยว่ ทำไมจู่ๆ ข้าถึงได้รู้สึกหนาวขนาดนี้นะ”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอ
“รีบไปเถอะ นานแล้วเดี๋ยวยาก็เย็นชืดหมด”
…
ในไม่ช้าทั้งสองก็มาถึงที่พักของเลี่ยวจงซู
มู่หงอวี๋ก้าวไปข้างหน้าและกำลังจะเคาะประตู แต่มันกลับถูกเปิดออกมาเสียก่อน
ซึ่งจี้อวี้หรงกำลังยืนอยู่ข้างในพอดี
บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มที่อ่อนโยนและไม่มีพิษมีภัยเฉกเช่นยามปกติ
“จงซูบอกว่าพวกเจ้าจะมากันวันนี้ ข้าก็เลยมารอพวกเจ้าอยู่ก่อนแล้ว รีบเข้ามาสิ!”
ฉู่หลิวเยว่ลอบมองสำรวจเขา
เมื่อเทียบกับวันก่อน เขาดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่มันก็พิสูจน์ได้ว่าเขามีความน่าสงสัยจริงๆ
เมื่อวานมู่หงอวี๋แอบตามสืบเขา และไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าเขาไปสืบถามดู ก็ต้องรู้อย่างแน่นอน
แต่วันนี้เขาดูไม่ต่างไปจากเดิมเลย และเห็นได้ชัดว่าเขาพยายามกลบเกลื่อน!
มู่หงอวี๋เอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“โอ้ เกรงใจจังเลย เจ้าดูแลเขาให้ตั้งหลายวัน คงลำบากมากสินะ พวกข้าก็มาเยี่ยมเขาเหมือนกัน เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด!”
สีหน้าของจี้อวี้หรงนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ
“เป็นสหายกันทั้งนั้น อีกอย่างก็พักที่เดียวกัน เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่สมควรทำ ถ้าอย่างนั้น…พวกเจ้าขึ้นกันไปก่อนเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะชงชาให้พวกจ้า เมื่อวานที่พวกเจ้ามา ข้าก็ไม่ได้ต้อนรับพวกเจ้าอย่างดีที่ควร”
“วันนี้เจ้าว่างขนาดนั้นเชียวหรือ” มู่หงอวี๋ยกมือขึ้นกอดอก “ข้าจำได้ว่าวันนี้เจ้ามีเรียนมิใช่หรือ”
ร่องรอยของความตื่นตระหนกฉายผ่านในดวงตาของจี้อวี้หรง
“ฮะ…อ๋อ…วันนี้ข้าขอลาน่ะ ข้าใช้เวลาฝึกฝนที่หอคอยจิ่วโยวหมดแล้ว วันนี้กะว่าจะไปทำภารกิจนิดหน่อย”
มู่หงอวี๋ไม่อยากเชื่อ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าอยากนั้นพวกข้าก็ไม่ถ่วงเวลาเจ้าแล้วล่ะ”
นี่เห็นได้ชัดว่าไล่เขาไป
จี้อวี้หรงเกิดความลังเล
“อันที่จริง…อันที่จริงก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากถึงเพียงนั้น…ข้ากลัวว่าเดี๋ยวจงซูจะ…”
“พวกข้าสองคนก็อยู่ที่นี่ เจ้ากังวลว่าพวกข้าจะดูแลเขาได้ไม่ดีอย่างนั้นหรือ”
“เปล่าๆๆ! ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ พวกเจ้าเชิญตามสบาย”
จี้อวี้หรงรู้ว่าการพูดคุยต่อไปจะทำให้ยิ่งแย่ลงไปเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงจากไปอย่างมิใคร่เต็มใจนัก
ทันทีที่เงาร่างของเขาหายลับไป มู่หงอวี๋ก็เบะปากคว่ำทันที
“ถ้าเจ้าอยากจะสอดแนมพวกข้า เจ้าคิดวิธีอื่นไม่ได้หรือ”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้พูดอะไร นางหันหลังกลับและขึ้นไปชั้นบน
…
วันนี้สีหน้าของเลี่ยวจงซูดูย่ำแย่กว่าวันก่อน และสติก็ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวมากกว่าเดิม
มู่หงอวี๋ตกใจ
“เขาวางยาพิษเจ้าอีกแล้วหรือ”
เลี่ยวจงซูพยายามส่ายหน้าอย่างยากลำบาก
“ข้าไม่ได้แตะต้องสิ่งที่เขาส่งให้ข้าตั้งแต่ที่เจ้าบอกข้าเมื่อวานนี้”
ฉู่หลิวเยว่ตรวจสอบถ้วยยาของเขาและพบว่าสะอาดเกลี้ยงจริงๆ
“กู่สีแดงโลหิตนี้พิษร้ายแรงมาก ต่อให้ไม่เพิ่มขนานยาอีก แต่พิษนี้ก็จะยิ่งร้ายกาจ เมื่อถึงระยะต่อไป ก็จะพ่ายแพ้ราวกับภูเขาถล่ม”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวพร้อมกับนำยาต้มออกจากกล่องหยก
กลิ่นหอมของยาเข้มข้นคละคลุ้งออกมา
มู่หงอวี๋หายใจเข้าลึกๆ และรู้สึกโล่งปลอดโปร่ง
ฉู่หลิวเยว่ยื่นยาให้แก่เลี่ยวจงซู
“ยานี้สามารถช่วยเจ้าระงับความเป็นพิษได้ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนเรื่องขจัดพิษ พวกเราจะหาทางกันอีกที”
เลี่ยวจงซูไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็รับยามาดื่มภายในอึกเดียว
“เจ้าไว้ใจพวกเราได้” ฉู่หลิวเยว่กล่าว
รอยยิ้มที่อิดโรยแต่จริงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของเลี่ยวจงซู
“สภาพข้าตอนนี้ ไม่เชื่อพวกเจ้าแล้วจะเชื่อใจใครได้อีก”
พวกเขาคือสหายร่วมเป็นร่วมตาย ที่สำคัญ นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาสามารถเลือกได้ในตอนนี้
“เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด ข้ากับหงอวี๋จะไปตรวจสอบอีกครั้ง”
เลี่ยงจงซูพยักหน้า
“ลำบากพวกเจ้าแล้ว ข้าไม่รู้จะตอบแทนน้ำใจมิตรภาพนี้อย่างไรจริงๆ…”
“หลิวเยว่! หงอวี๋! พวกเรากลับมาแล้ว!”
ในขณะที่เลี่ยวจงซูยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของเฉินหู่ดังมาจากข้างล่าง
ฉู่หลิวเยว่ปล่อยให้เลี่ยวจงซูพักผ่อนตามลำพัง จากนั้นจึงออกไปกับมู่หงอวี๋
เมื่อเดินลงมาชั้นล่าง นางก็เห็นว่าเฉินหู่พากู้หมิงเฟิงกลับมาแล้ว
ใบหน้าของกู้หมิงเฟิงมีแต่รอยแผลฟกช้ำ และดูเหมือนว่าเขาเผชิญกับเรื่องราวต่างๆ มากมายในช่วงสองวันที่ผ่านมา
มู่หงอวี๋ตกใจแล้วรีบเดินเข้าไปหา
“หมิงเฟิง เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
กู้หมิงเฟิงก้มหน้าเล็กน้อย
“บาดเจ็บเล็กน้อยน่ะ”
“นี่มันเล็กน้อยซะที่ใดกัน”
นี่มันเหมือนถูกทุบตีจนเกือบตายต่างหาก!
กู้หมิงเฟิงไม่ยอมบอกอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก
ตอนแรกเขาไม่อยากให้พวกนางทั้งสองคนเห็นสภาพใบหน้าเช่นนี้ของเขา แต่เฉินหู่ก็ลากมาจนได้
ฉู่หลิวเยว่เพียงชำเลืองมอง จากนั้นก็ถอนสายตาแล้วโพล่งถามตรงๆ ว่า
“คนของตระกูลกู้เป็นผู้ลงมือหรือ”