ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 183 กลัวหรือ
เมื่อฉู่หลิวเยว่มาถึงหอคอยจิ่วโยว ก็เห็นว่ามีเพียงผู้อาวุโสที่เฝ้าประตูอยู่หนึ่งท่าน
เขากำลังนั่งงีบหลับบนเก้าอี้ตามปกติ
ยังไม่ทันที่ฉู่หลิวเยว่จะเอ่ยปากพูด เขาก็ลืมตาขึ้นแล้วหันมามอง
เมื่อเขาตื่นเต็มตาแล้วเห็นชัดว่าเป็นฉู่หลิวเยว่ เขาก็ขยี้ตาด้วยความประหลาดใจ
“หลิวเยว่หรือ เจ้ามาทำไมรึ”
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า
“ศิษย์มาที่นี่ แน่นอนว่าก็ต้องมาฝึกยุทธ์สิเจ้าคะ”
ผู้อาวุโสที่เฝ้าประตูยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ จากนั้นเขาก็มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เจ้าเพิ่งกลับมาจากบรรพตวั่นหลิงมิใช่หรือ เจ้าไม่ต้องพักฟื้นหรือ หากเจ้าลากสังขารมาฝึกที่หอคอยจิ่วโยวก็จะเกิดผลเสียต่อร่างกายเอาน้า!”
“ขอบคุณผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นที่เป็นห่วง แต่ศิษย์หายดีแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวพร้อมยื่นป้ายชื่อบนหน้าอกซ้ายของนางให้แก่เขา
เว่ยอวิ๋นรับมาด้วยความลังเล
“จริงหรือ เจ้าพวกนั้นถูกคุ้มกันแล้วส่งกลับมาอย่างดี แถมยังบาดเจ็บกันไม่น้อย เจ้าบุกออกมาเพียงลำพัง เจ้ากลับไม่เป็นอะไรเลยรึ”
ฉู่หลิวเยว่กระแอมไอ
“น่าจะเป็นเพราะ…ศิษย์โชคดีกระมัง ก็เลยไม่ได้สาหัสมากมาย อีกอย่างอาจเป็นเพราะร่างกายของข้าก็ฟื้นฟูเร็วด้วยกระมังเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่านางคงไม่บอกว่านางได้รับบาดเจ็บจริงๆ แต่เป็นเพราะร่างกายของนางมีชีพจรตี้จิง ดังนั้นจึงฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ประกอบกับนางเองก็เป็นหมอเทวดา นางเอายาจากเจินเป่าเก๋อมากินนิดๆ หน่อยๆ ประเดี๋ยวก็หายดีแล้ว
เว่ยอวิ๋นมองสีหน้าแดงระเรื่อดูมีเลือดฝาดของนาง เลือดลมไหลเวียน ซึ่งไม่เหมือนสภาพของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเลย ดังนั้นเขาจึงยินดีอย่างอดมิได้
“เฮ้อ แม่หนูคนนี้เก่งจริงๆ! เข้าไปสิ!”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็รูดป้ายชื่อฉู่หลิวเยว่กับศิลาหยกสีดำ แล้วยื่นคืนกลับไปให้ฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็เดินเข้าไปในประตูใหญ่ของหอคอยจิ่วโยว
ในขณะที่นางเดินมาจนถึงประตู นางก็สัมผัสได้ถึงปราณอันเย็นยะเยือกอีกครั้ง
นางเงยศีรษะขึ้นไปเล็กน้อยก็เห็นว่าพญาอินทรีที่แกะสลักบนประตูยังไม่ลืมตา แต่ปราณที่ไหลเวียนทั้งร่างกับเย็นเฉียบน่าสะพรึงกลัว
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไป
ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ ปราณอันเย็นยะเยือกหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏมาก่อน
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ช่างดูสงบนิ่ง จากนั้นนางก็เข้าไปในห้องที่อยู่ชั้นล่างสุด
อันที่จริงมีเพียงครั้งแรกเท่านั้นที่พญาอินทรีลืมตาขึ้นมา ซึ่งคราวนั้นเกือบจะพรากชีวิตของนางไปแล้ว
ครั้งต่อๆ มาที่นางมาก็ไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก
บางทีอาจเป็นเพราะว่าหยดน้ำในตำแหน่งตันเถียนของนางเคยผ่านการต่อสู้กันมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงทำให้อีกฝ่ายเกิดความเกรงกลัวเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเมื่อนางมาที่แห่งนี้อีก อันที่จริงก็ไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นอีกแล้ว
ทว่าวันนี้…
ดูเหมือนสัตว์อสูรของหอคอยจิ่วโยวตัวนี้จะคลุ้มคลั่ง…
ฉู่หลิวเยว่พึมพำในใจ
มิทราบว่าเพราะเหตุใด นางมักจะรู้สึกถึงลางสังหรณ์ว่าต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
หยดน้ำในตำแหน่งตันเถียนยังคงลอยตัวอยู่อย่างสงบ ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กระนั้นก็มิได้เปลืองสมองคิดอะไรให้มากมายอีก จากนั้นนางจึงรวบรวมสมาธิแล้วเริ่มฝึกบำเพ็ญทันที
ช่วงนี้นางแอบสังเกตว่ามีสัญญาณของการบรรลุขั้น แต่รอยบนหยดน้ำยังคงขึ้นเพียงแค่ขีดเดียวเท่านั้น
เรื่องเช่นนี้ใจร้อนมากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงอดทนรวบรวมพลังแห่งฟ้าดินต่อไป แล้วมุ่งมั่นตั้งใจให้บรรลุขั้นยุทธ์ได้โดยเร็ว
นางก็อยากเห็นเหมือนกัน พลังความสามารถของนางจะสามารถเพิ่มขึ้นไปถึงขั้นไหน หยดน้ำหยดนี้ถึงจะยอมให้นางบรรลุขั้นยุทธ์ขึ้นไปได้
…
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่เข้าไปในหอคอยจิ่วโยวแล้ว ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นก็หลับตาลงแล้วงีบหลับต่อไปอีกครั้ง
แต่ไม่นานนักที่เขาจะสังเกตเห็นใครบางคนกำลังมาที่นี่ จากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นบุคคลที่ปรากฏต่อหน้าเขา คือใบหน้าของคนผู้หนึ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ชายหนุ่มผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม มีสง่าราศีที่สูงส่ง เมฆามงคลที่ปักด้วยด้ายสีทองตรงชายเสื้อผ้าของเขาแสดงถึงสถานะที่ไม่ธรรมดาของเขา
ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นมีท่าทีตอบสนองเล็กน้อย แล้วเขาก็แอบคาดเดาว่าคนผู้นี้คือใคร
“เจ้าคือ…”
“ข้าคือหรงซิว ขอคารวะผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋น”
ใช่จริงๆ ด้วย
ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นพิศมองเขาครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับคลี่ยิ้ม
“ข้าเดาแล้วว่าต้องเป็นเจ้า เจ้ากับหรูเยว่เด็กคนนั้น มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันจริงๆ”
หรูเยว่คือพระสนมหวั่นเฟย แม่ผู้ให้กำเนิดหรงซิว
หรงซิวยิ้มให้เขา
“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นจะยังจำเสด็จแม่ของข้าได้”
“แน่นอนว่าข้าจำได้! ตอนนั้นนางมีพรสวรรค์โดดเด่นเหนือผู้ใด…ช่างเถิดๆ ทุกอย่างล้วนเป็นอดีตหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามาที่สำนักเพื่อทำพิธีไหว้นางใช่หรือไม่”
อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นชื่นชมในตัวพระสนมหวั่นเฟยมาก ดังนั้นสายตาของผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นที่มองหรงซิวจึงดูอ่อนโยนอย่างยิ่ง
“ขอรับ ได้ยินมาว่าตอนนั้นเสด็จแม่ทรงโปรดที่จะมาฝึกฝนที่นี่ ดังนั้น…ข้าอยากขอเข้าไปดูสักหน่อย”
แววตาแห่งความคะนึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเว่ยอวิ๋น
“จริงด้วย ตอนนั้นถึงแม้ว่านางจะเป็นปรมาจารย์ แต่พรสวรรค์ด้านผู้ฝึกยุทธ์ก็ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน หากมีเวลาว่างก็ต้องมาที่นี่ทุกที ทว่า…พักหลังสุขภาพของนางมิใคร่แข็งแรง นางจึงไม่ได้มาที่นี่อีกเลย”
“แต่ถึงกระนั้น หากต้องการเข้าไปในหอคอยจิ่วโยวนั้นมีเงื่อนไข เจ้า…”
“ข้อนี้ข้าเคยได้ยินผู้อาวุโสซุนบอกมาคร่าวๆ แล้ว ข้ามิใช่ศิษย์สำนักนี้ จึงไม่มีคุณสมบัติเข้าไปข้างใน ทว่า ข้าแค่อยากเห็นสถานที่ที่เสด็จแม่เคยอยู่ในตอนนั้น ดูแค่แวบเดียวก็จากไป มิทราบว่าผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นจะอนุญาตหรือไม่”
“เอาเถิด ในเมื่อเจ้าเป็นโอรสของหรูเยว่ เจ้าก็มีสิทธิ์เข้าไปเป็นธรรมดา เพียงแต่ว่า ข้าได้ยินมาว่าร่างกายของเจ้าก็มิค่อยแข็งแรง ภายในหอคอยจิ่วโยวแห่งนี้ พลังแห่งฟ้าดินแกร่งกล้ามหาศาล หากเจ้าอยู่ในนั้นนานเกินไป อาจจะเกิดภัยอันตรายได้”
หรงซิวโค้งคำนับเล็กน้อย
“ขอบคุณผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นมากขอรับ ข้าจะเข้าไปเพียงแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น ข้าอยู่ไม่นานหรอก”
ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นพยักหน้า
“เจ้าไปเถิด!”
หรงซิวกล่าวขอบคุณผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นอีกครั้ง ก่อนจะหันกายเดินเข้าไปในหอคอยจิ่วโยว
ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นลูบเคราด้วยความรู้สึกปลงตกเมื่อมองแผ่นหลังของเขา
ช่างน่าเสียดาย…
ตอนนั้นหรูเยว่มีความสามารถโดดเด่นเหนือผู้ใด ถ้าหากว่าร่างกายของหรงซิวแข็วแรงกว่านี้ มิแน่ว่าอาจจะสืบทอดพรสวรรค์มาจากนางก็เป็นได้
จวบจนวันนี้ บางทีอาจจะกลายเป็นอัจฉริยะที่หายากก็ได้
ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับทำได้เพียงจินตนการเท่านั้น
หรงซิวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตู มือเรียวขาวผ่องของเขาวางทาบบนประตู
เมื่อมือสัมผัสกับความเย็นเฉียบ เขาก็รู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก
ทันใดนั้น ลำแสงก็พุ่งมาที่ปีกของพญาอินทรีทันที! และดูเหมือนว่ามันกำลังจะสยายปีกออกมา!
ไฟแห่งกรรมที่อยู่ข้างใต้ก็เผาไหม้อย่างบ้าคลั่ง แผ่อุณหภูมิที่ร้อนแรงไปที่ฝ่ามือของหรงซิว!
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างตรงหน้านี้กำลังจะเคลื่อนไหว ราวกับว่ามันกำลังจะฟื้นคืนชีพแล้วออกมาจากประตูทองสัมฤทธิ์!
หรงซิวยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง แววตาลุ่มลึก พลังเกิดการไหลเวียนแล้วพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา
ตู้ม!
พลังทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรงและระเบิดอย่างเงียบเชียบ!
เปลวเพลิงดับลงและลำแสงบนปีกของนกอินทรีก็หรี่ลงทันที
ในชั่วพริบตา ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ!
หรงซิวเหลือบมองเล็กน้อย การปะทะกันเมื่อครู่นี้ ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋น
เข้าเดินเข้าประตูไป
ภายในหอคอยจิ่วโยวมีผู้คนบางตา หลังจากที่เขาเดินเข้ามาแล้วมองสำรวจรอบๆ จากนั้นก็เดินตรงไปยังตำแหน่งที่เป็นจุดศูนย์กลางมากที่สุด
เมื่อมองขึ้นไปจะเป็นบันไดเวียนที่นำไปสู่ชั้นบนของหอคอยจิ่วโยว
หรงซิวมองไปยังชั้นบนสุด ดวงตาของเขาลึกล้ำราวกับค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดารา และแฝงไปด้วยความกดดันที่น่ากลัว
บรรยากาศเงียบสงบ และทุกอย่างก็เป็นปกติ
หรงซิวยกเท้าก้าวเหยียบชั้นบันได
จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดแหลมดังเข้าหูเขา!
ทั้งบ้าคลั่งและน่าหวาดผวา
เขาหรี่ตาลงอย่างระแวดระวัง
“กลัวหรือ”
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองข้างบนอีกครั้ง!
ในขณะเดียวกัน ฉู่หลิวเยว่ที่กำลังฝึกฝนอยู่ก็เบิกตาขึ้นและตกใจ
“สัตว์อสูรดุร้ายตัวนั้นกำลังคำราม!”