ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 185 ออกรับหน้าแทน
ตอนที่หรงซิวเดินออกมาจากหอคอยจิ่วโยว ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นยังคงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“เหตุใดถึงออกมาเร็วนัก เจ้าเดินชมทั่วแล้วหรือ”
หรงซิวยิ้มบางๆ พร้อมกับพยักหน้าตอบ
“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าสถานที่ที่เสด็จแม่โปรดปรานเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่เป็นเช่นไรก็เท่านั้น จึงเข้าไปแค่เดี๋ยวเดียว ถึงอย่างไรข้าก็หาได้เป็นลูกศิษย์ของสำนักไม่ ท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไป ข้าก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว”
ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นแอบนึกในใจ
ด้วยร่างกายที่อ่อนแอของหรงซิว เกรงว่าคงขึ้นไปดูได้แค่ชั้นแรกเท่านั้น ไม่มีทางขึ้นไปข้างบนได้ ดังนั้นจึงใช้เวลาอันสั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แน่นอนว่าคำพูดนี้มิสามารถพูดออกไปได้ตรงๆ
“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะขอบคุณอะไรกัน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะพักในสำนักระยะหนึ่ง ถ้าหากต้องการมาเยี่ยมอีกก็มาได้เลย!”
นึกย้อนกลับไปสมัยนั้น หรูเยว่ก็ได้ช่วยเหลือสำนักไปไม่น้อย หรงซิวในฐานะสายเลือดเพียงผู้เดียวของนาง แน่นอนว่าพวกเขาต้องดูแลเป็นอย่างดี
“ขอบคุณผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นมาก”
หรงซิวกล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ไอโขลกๆ
ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นเห็นสีหน้าซีดเซียวของเขา ในใจก็คิดว่าร่างกายของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่แข็งแรงจริงๆ ด้วย ดังนั้นเขาจึงบอกให้หรงซิวรีบกลับไปพักผ่อนเสีย
แน่นอนว่าหรงซิวก็เชื่อฟังเขาดิบดี
จากนั้นผู้อาวโสก็หันกลับไปมองหอคอยจิ่วโยวอีกครั้ง
ไม่รู้เพราะเหตุใด ความปั่นป่วนอันคลุมเครือเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะหายไปอย่างมาก
…
ทันทีที่หรงซิวกลับไปที่เรือนอี้เฟิง เยี่ยนชิงก็กล่าวทักทายเขาแล้วถามอย่างประหม่า
“องค์ชาย พระองค์เสด็จไปหอคอยจิ่วโยวมาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ช่วงเช้าของวันนี้เขาออกไปจากสำนัก แล้วเพิ่งจะกลับมาก็ได้ยินข่าวว่าองค์ชายเสด็จไปที่นั่น
“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่า…ตอนนี้มันอู้งานมิใช่หรือ”
หรงซิวเดินไปตรงใต้ต้นท้อ จากนั้นก็เอนตัวลงบนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน และพูดเบาๆ ว่า
“ในเมื่อเลี้ยงไม่เชื่อง ข้าก็ต้องสั่งสอนสักหน่อย”
หัวใจของเยี่ยนชิงแทบหยุดเต้น คราวนี้เขาถึงได้รู้สึกดูเหมือนว่าเจ้านายของตนมาพร้อมกับอารมณ์คุกรุ่น
แล้วความโกรธเกรี้ยวนี้ดูเหมือนจะมุ่งไปที่หอคอยจิ่วโยว
“เรื่องนี้ให้ชวนฉยงจัดการเองก็ได้นี่พ่ะย่ะค่ะ พระองค์มิเห็นจำเป็นต้องเสด็จไปเองเลยนี่นา”
เยี่ยนชิงมิใคร่เข้าใจเท่าไรนัก
การเข้ามาอยู่ในสำนักเทียนลู่ก็ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นมากพอแล้ว ตอนนี้เจ้านายยังไปหอคอยจิ่วโยวอย่างเปิดเผยอีก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มิแน่ว่าคนพวกนั้นอาจกระทำการสิ่งใดก็เป็นได้
หรงซิวปิดเปลือกลง ตะวันทอแสงตกกระทบขนตาของเขาจนทิ้งเป็นเงาขนตาเรียงเส้นสวยจางๆ ไว้ใต้เปลือกตา
เยี่ยนชิงขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
เมื่อคืนนี้ผู้เป็นนายของเขาไปนอนที่เรือนพักของคุณหนูหลิวเยว่มามิใช่หรือ ไฉนถึงได้มีอาการเหมือนคนนอนหลับพักผ่อนไม่เต็มที่เยี่ยงนี้
เขาเคยชินกับการมีคุณหนูหลิวเยว่ข้างกายจึงจะนอนหลับสนิทมิใช่หรือ
แต่เมื่อเห็นว่าหรงซิวนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด เยี่ยนชิงก็เข้าใจในทันทีว่าตอนนี้องค์ชายต้งการพักผ่อน ดังนั้นเขาจึงโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า
“…กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เขาถอยหลังสองสามก้าว ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินกลับเข้าไปยังเรือนพัก
ทันทีที่เขาเดินไปที่ประตู ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาในใจของเขา
…ช้าก่อน! ข่าวคราวที่ชวนฉยงส่งมาครั้งก่อนว่ามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่หอคอยจิ่วโจวอย่างรุนแรงที่สุด คือช่วงเวลาใดกันนะ
วันนั้นดูเหมือนว่าคุณหนูหลิวเยว่จะเข้าไปหอคอยจิ่วโยวเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่
ตอนนั้นชวนฉยงยังสงสัยอยู่เลยว่าการเคลื่อนไหวนั้นดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับฉู่หลิวเยว่…
เยี่ยนชิงอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไป จากนั้นหนังตาของเขาก็กระตุกยึกๆ
หายไปตั้งนาน ที่แท้…องค์ชายก็ออกไปรับหน้าแทนคุณหนูหลิวเยว่ด้วยตัวเองนี่เอง!
…
ฉู่หลิวเยว่ดูดซับพลังแห่งฟ้าดินเส้นสุดท้ายเข้าสู่ร่างกายของนาง และหลอมรวมเข้ากับหยดน้ำในตันเถียนของตนอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่จะลืมตาขึ้นช้าๆ
ดูเหมือนว่าเนื่องจากผ่านประสบการณ์ในบรรพตวั่นหลิงก่อนหน้านี้มาได้ ความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นมาก หลังจากที่ร่างกายของนางฟื้นตัวแล้ว
ตอนนี้นางแอบรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองแล้ว
เมื่อถึงตอนนั้น นางก็จะสามารถขึ้นไปบนชั้นสอง เพื่อเพิ่มความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของตนเองได้!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองนาฬิกาทรายที่ผนังและพบว่าเวลาฝึกหมดลงแล้ว นางจึงลุกขึ้นและจากไป
เมื่อไปถึงบันได นางอดไม่ได้ที่จะหยุดและมองขึ้นไปข้างบน
บันไดนั้นเวียนวนขึ้นด้านบน และมองไม่เห็นว่าอะไรอยู่ข้างบนนั้นบ้าง
และดูเหมือนว่าหรงซิวจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
หอคอยจิ่วโยวสงบเงียบ และเสียงหวีดร้องโหยหวนที่หายไปราวกับว่าไม่เคยปรากฏมาก่อน
…
เมื่อฉู่หลิวเยว่มาที่เรือนพักของมู่หงอวี๋ นางเห็นว่าหงอวี๋กำลังเบื่อหน่ายกับหนังสือเล่มเล็กในมือของตน
ดูเหมือนนางจะกลัดกลุ้มเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง คิ้วบางของนางขมวดเป็นปม ราวกับว่านางต้องการใช้สายตาจะเจาะหนังสือเล่มเล็กนี้ให้ทะลุไปด้านหลังอย่างไรอย่างนั้น
“หงอวี๋”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของฉู่หลิวเยว่ ในที่สุดมู่หงอวี๋ก็ได้สติขึ้นมา จากนั้นก็เห็นฉู่หลิวเยว่หยิกแก้มเบาๆ
“หลิวเยว่ เจ้ามาแล้ว”
“เป็นอะไรไป ทำไมถึงได้ดูซังกะตายแบบนี้”
ฉู่หลิวเยว่นั่งลงข้างๆ นาง แล้วกวาดสายตามองหนังสือเล่มนั้นผ่านๆ
“หรือเพราะร่างกายยังไม่หายดี เจ้าก็เลยฝึกยุทธ์ไม่ได้”
มู่หงอวี๋ถอนหายใจทอดยาว
“ข้าไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่เด็ก! ใครจะรู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน! จนข้าแทบจะป่วยอีกโรคแล้วเนี่ย!”
ฉู่หลิวเยว่รินชาด้วยตัวเอง และสงสัยในความน่าเชื่อถือในคำพูดของนาง
“ไม่กี่วันก่อนเจ้าก็ไม่ได้ว่างงานนี่นา ทำไมถึงว่างได้ล่ะ”
มู่หงอวี๋ทำเสียงขึ้นจมูก
“วันนี้จี้อวี้หรงไปหาอาจารย์เพื่อขอย้ายห้อง ตอนเที่ยงเขาก็เข้ามาเก็บของย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว เจ้าอย่าบอกนะว่าไม่รู้เรื่องนี้”
มือของฉู่หลิวเยว่ที่ถือถ้วยน้ำชาหยุดชะงักเล็กน้อย
“อืม วันนี้บังเอิญเจอพวกเขาสองคน เรื่องนี้จึงจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“เพราะฉะนั้นข้าก็เลยว่างอยู่นี่ไงเล่า!”
มู่หงอวี๋เอนตัวไปด้านหลัง จากนั้นก็กางหนังสือออกแล้วยกขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง
“ถึงอย่างไรร่างกายของข้าก็ต้องขยับออกกำลังบ้าง พอคิดดูแล้วก็ช่างน่าเบื่อจริงๆ”
จู่ๆ นางก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงลุกขึ้นนั่งหลังตรง แล้วจ้องหน้าฉู่หลิวเยว่อย่างจับผิด
“น่าแปลก เจ้าเองก็บาดเจ็บ ข้าจำได้ว่าเจ้าสาหัสกว่าข้าเสียอีก เหตุใดตอนนี้ถึงดูเหมือนไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ข้าได้ยินว่าวันนี้เจ้ายังไปฝึกที่หอคอยจิ่วโยวมาอีกด้วย”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“น่าโมโหจริงๆ เลย”
แม้ว่าความสามารถของฉู่หลิวเยว่จะดีกว่านาง แต่ก็ไม่น่ารังแกกันเช่นนี้หรอกกระมัง!
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางๆ
ความเร็วในการฟื้นตัวของผู้ที่มีชีพจรตี้จิงนั้นเร็วกว่ามาก
“ไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้ข้าไม่ไปแล้วก็ได้”
“เพราะเหตุใด”
“ข้าใช้เวลาสิบเก้าชั่วยามหมดแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่จิ้มไปที่ป้ายชื่อของตนเอง
ตอนแรกมู่หงอวี๋รู้สึกตกใจ แต่หลังจากนั้นก็ทำสีหน้าเยาะเย้ย
“ใครใช้ให้เจ้าไปทุกวันกันเล่า! ดีแล้วที่ทนได้จนถึงตอนนี้”
“ข้าก็เลยมาขอคำปรึกษาจากเจ้า ข้าจะหาเวลาฝึกฝนได้อย่างไร”
มู่หงอวี๋โยนหนังสือเล่มเล็กในมือให้ฉู่หลิวเยว่
“เอ้านี่ วิธีหาเวลาฝึกฝนอยู่ในนี้หมดแล้ว เจ้าดูเองเถิด”
ฉู่หลิวเยว่เคยสังเกตเห็นสิ่งนี้มาก่อน แต่นางคิดไม่ถึงว่ามันจะเกี่ยวข้องกับหอคอยจิ่วโจว
นางเปิดหน้าแรกและเห็นตัวอักษรบรรทัดบนสุด
“หยวนตันของสัตว์อสูรระดับสามหนึ่งเม็ด แลกกับเวลาหนึ่งชั่วยาม”
“ฉบับนี้ออกเมื่อต้นปีของภาคเรียน ทุกคนต่างมีสำเนา เจ้าเข้าเรียนกลางภาคเรียนก็มิใช่เรื่องแปลกที่เจ้าจะไม่มีเล่มนี้ ในนี้เขียนทุกอย่างเกี่ยวกับภารกิจ ภารกิจไหนที่ยิ่งยาก ของตอบแทนก็จะมากตามไปด้วย”
ฉู่หลิวเยว่พลิกเปิดไปหน้าหลังเรื่อยๆ
“หยวนตันของสัตว์อสูรระดับห้าหนึ่งเม็ด แลกเวลาได้หนึ่งร้อยชั่วยาม”
ความแตกต่างด้านระยะห่างช่างมากเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม เป็นที่เข้าใจได้เช่นกันว่าความยากในการได้รับหยวนตันของสัตว์อสูรระดับห้านั้นยากกว่าการได้รับหยวนตันของสัตว์อสูรระดับสามหลายเท่า
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังอ่านหนังสือเล่มนั้น มู่หงอวี๋ก็ขยับเข้ามาประชิด แล้วกระซิบเสียงระริกระรี้ว่า
“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าท่านหลีอ๋องก็เสด็จไปที่หอคอยจิ่วโยวเหมือนกันใช่หรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองนาง
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ไม่ใช่แค่ข้าที่รู้! ตอนนี้รู้กันทั้งสำนักหมดแล้ว! เจ้าไม่รู้หรือว่า ตอนนี้หลีอ๋องกลายเป็นบุคคลที่ร้อนแรงที่สุดในสำนักแล้ว! แน่นอนว่า…สำหรับสตรีเท่านั้น!”