ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 186 แลกเปลี่ยน
“อ๋อ เพราะเหตุใดหรือ” ฉู่หลิวเยว่แปลกใจเล็กน้อย
“แน่นอน ย่อมเป็นเพราะหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาน่ะซี่”
มู่หงอวี๋อุทานออกมา
“เจ้าคงไม่คิดว่าท่านหลีอ๋องหน้าตาบ้านๆ หรอกกระมัง”
สายตาของฉู่หลิวเยว่ก็ไม่น่ามีปัญหานี่นา…
“…”
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกยิกๆ นางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
มิใช่ว่าที่มู่หงอวี๋พูดจะไร้เหตุผลเสียทีเดียว ใบหน้ารูปงามมีเสน่ห่เช่นนั้นมีความสามารถในการล่อลวงจริงๆ
“เมื่อก่อน ผู้ที่ได้รับความนิยมเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดคือองค์รัชทายาท จากข้อเท็จจริง องค์ชายรัชทายาทก็ถือว่าเป็นองค์ชายรูปงาม เพียงแต่ว่าถ้าหากเทียบกับองค์ชายหรงซิวแล้วล่ะก็…จุ๊ๆ ไม่ได้เท่าขี้เล็บ!”
ความแตกต่างของความสง่างามนั้นราวฟ้ากับเหว!
“ข้าได้ยินมาว่าตอนนั้นเสด็จแม่ของหลีอ๋องเป็นที่รักและโปรดปรานของฝ่าบาท นางสนมที่โปรดปรานที่สุดในปัจจุบันไม่สามารถเทียบได้กับพระองค์ได้เลย เมื่อเห็นพระพักตร์ของหลีอ๋อง ก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าเพราะเหตุใด! ทันทีที่เขาปรากฏตัวเมื่อวานนี้ สตรีนับไม่ถ้วนก็หลงใหลได้ปลื้มเหลียวมองเขาคอแทบเคล็ด!
ฉู่หลิวเยว่นึกขึ้นได้ว่าวันก่อน หรงซิวเพียงแค่นอนงีบหลับในเรือนอี๋เฟิงเงียบๆ ก็สามารถทำให้สาวๆ หลงใหลได้
นางรู้สึกอึดอัดในใจอย่างอธิบายไม่ถูก กระนั้นนางกลับไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา
นางพลิกดูหนังสือเล่มเล็กในมือเงียบๆ แล้วถามเรื่อยเปื่อย
“หลีอ๋องเกิดมารูปงาม แต่เขาป่วยติดเตียงมานานหลายปี แล้วร่างกายก็ยังอ่อนแอมาก แบบนี้พวกนางไม่ถือหรือ”
“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าลืมหรือว่าตอนนี้เขาเป็นถึงองค์ชายเจ็ด…องค์ชายที่ดำรงตำแหน่งหลีอ๋องเชียวนะ! ด้วยสมญานามนี้อันเดียว ก็ไม่รู้ว่าตกสตรีไปกี่คนแล้ว มิหนำซ้ำเขายังรูปงามอีกด้วย ข้าว่า มีหญิงสาวหลายคนที่ยินยอมพร้อมใจดูแลเขาแน่ๆ”
มือของฉู่หลิวเยว่หยุดชะงัก
“…จะว่าอย่างนั้นก็ใช่”
“ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้หลีอ๋องจะพำนักในสำนักชั่วคราว ใครหลายคนต่างก็มีความหวังกันทั้งนั้น! เพียงแต่ว่า โชคดีที่เรือนพักที่เขาอยู่ค่อนข้างพิเศษ นักเรียนทั่วไปไม่กล้าไปใกล้แถวนั้นสักเท่าไหร่ ข้าจำได้ว่าเรือนพักของเจ้าก็อยู่ไม่ไกลจากที่นั่นใช่หรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่ช้อนสายตามองนาง
“เจ้าต้องการจะพูดสิ่งใดกันแน่”
มู่หงอวี๋หัวเราะแหะๆ
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ข้าก็แค่คิดว่าหลีอ๋องท่านนี้ ดูเหมือนจะดีกับเจ้าเป็นพิเศษ!”
แม้ว่านางจะลดเสียงลง ทว่านิสัยติฉินนินทาของนางกำลังแผดเผาลุกโชน
“หลังจากที่หลีอ๋องเสด็จกลับเมืองหลวง ก็ไม่เคยออกมาปรากฏตัวเลย ทว่ากลับออกมาช่วยเจ้าในงานเลี้ยงวันเกิดรัชทายาทเพียงแค่งานเดียวเท่านั้น นี่มิใช่เรื่องแปลกหรือ อีกอย่าง ข้ามักจะรู้สึกว่า การกระทำของเขาที่ปฏิบัติต่อเจ้าช่างแตกต่างเหลือเกิน…”
แววตาของฉู่หลิวเยว่วูบไหวเล็กน้อย จากนั้นนางก็ยกหนังสือขึ้นมาเคาะหน้าผากมู่หงอวี๋
“ที่แท้ที่เจ้าบอกว่าว่าง เพราะเจ้ามัวแต่เอาเวลาไปคิดเรื่องพวกนี้นี่เองใช่หรือไม่”
“ไอ้หยา!”
มู่หงอวี๋ลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ
“ข้าก็แค่ล้อเล่นเองนี่นา!”
“ข้าว่าเจ้ายังเจ็บน้อยไปด้วยซ้ำ เวลาฝึกฝนของเจ้าก็ใกล้จะหมดลงแล้วมิใช่หรือ”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ มู่หงอวี๋ก็เบะปากทันที
“ก็ใช่น่ะสิ! ตอนนั้นเพื่อที่จะได้ไปบรรพตวั่นหลิง ข้าเข้าไปฝึกบำเพ็ญในหอคอยจิ่วโยวตั้งหลายครั้ง! แต่ตอนนี้ก็ยังไม่บรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่สักที่!”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“เจ้าอยากบรรลุขั้นใช่หรือไม่”
“เจ้ามีวิธีหรือ”
“อันที่จริง ตอนนี้เจ้าก็น่าจะบรรลุขั้นได้แล้ว รอร่างกายเจ้าหายดีเมื่อไหร่ค่อยฝึกอีกสักระยะหนึ่ง ก็จะสามารถบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ได้อย่างราบรื่นแล้วล่ะ”
มู่หงอวี๋ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าคาง ก่อนจะถามอย่างนึกสงสัย
“ข้าได้ยินมาว่า ยาอายุวัฒนะทั่วไปก็สามารถช่วยให้บรรลุขั้นได้ หลิวเยว่ เจ้าสามารถช่วยเลี่ยวจงซูได้ เจ้าสามารถช่วยข้าด้วยได้หรือไม่…”
“สุดท้ายการใช้ยาอายุวัฒนะเป็นการอาศัยพลังจากภายนอก ถึงแม้ว่าจะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นเร็วขึ้น แต่มันจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อการฝึกฝนในอนาคตของเจ้า หากตอนนี้เจ้าใช้มัน ต่อไปก็จะมีโอกาสเป็นไปได้ว่าการฝึกอาจจะช้าลง”
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง” มู่หงอวี่ตกตะลึง จากนั้นก็รีบปฏิเสธกลับไปว่า “เช่นนั้นข้าไม่เอาแล้ว! ข้าฝึกฝนอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า!”
“ช่วงนี้เจ้าก็พักรักษาให้หายดีเสียก่อน ข้าจะให้เจ้ายืมเวลาฝึกไปก่อน รอจนกว่าเจ้าบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่แล้วทำภารกิจต่างๆ จนเสร็จสิ้น เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าค่อยเอาเวลาคืนให้ข้าก็เป็นเรื่องง่ายดายแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พูดพลางคืนหนังสือเล่มนั้นให้กับมู่หงอวี๋ ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมออกไป
“นี่…หลิวเยว่ เจ้าคิดจะหาเวลาอย่างไร ภารกิจต่อไปมันจะยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีกนะ!”
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ฉายแวขบขัน
“ข้ามีวิธีของข้า”
…
“อะไรนะ เจ้าแน่ใจนะว่าจะใช้แผนภาพค่ายกลระดับห้านี้แลกเปลี่ยนเป็นเวลาฝึกฝน”
ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นมองแผนภาพค่ายกลในมือแล้วถามด้วยความตกใจ
ฉู่หลิวเยว่ไปแล้วย้อนกลับมาเพื่อสิ่งนี้เองหรือ
“ถูกต้องเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่มองเขาด้วยความฉงน
“เหตุใดหรือ แลกไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแค่…แผนภาพค่ายกลมีมูลค่ามหาศาล เจ้าแน่ใจว่าจะเอามันออกมาใช้จริงหรือ”
ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นยังคงรู้สึกเหลือเชื่อ
แม้กระทั่งคนธรรมดาทั่วไปก็ยังมิเคยเห็นแผนภาพค่ายกลระดับห้า หากได้ครอบครองเมื่อไหร่ คงรักษายิ่งกว่าสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน แต่ฉู่หลิวเยว่กลับเอามาทำแบบนี้ คิดไม่ถึงว่านางจะหยิบออกมาแลกกับเวลาฝึกในหอคอยจิ่วโยวโดยตรงเช่นนี้
นี่มันฟุ่มเฟือยเกินไปหรือเปล่า!
“หลิวเยว่ เจ้าควรคิดให้ดีกว่านี้! เจ้าไม่จำเป็นต้องมาหอคอยจิ่วโยวเพื่อการฝึกฝนนี้ ไปฝึกฝนที่อื่นมันก็เหมือนกันนี่นา! อาจจะช้าหน่อย แต่ชัยชนะคือความมั่นคง ทำไมถึงทำเยี่ยงนี้ เจ้าจะใจร้อนอะไรปานนี้”
ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นกำลังพยายามพูดหว่านล้อมนางอย่างหนัก
แท้จริงนั้นความคิดในใจของเขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฉู่หลิวเยว่
นางไม่เข้าใจคำว่ายิ่งรีบก็ยิ่งช้าหรืออย่างไร
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มมุมปาก
แน่นอน นางรู้ดีว่าสามารถดูดซับพลังแห่งฟ้าดินที่ใดก็ได้ ความสามารถในการรับพลังของชีพจรตี้จิงนั้นแข็งแกร่งกว่าชีพจรเดิมทั่วไปมาก ภายในหอคอยจิ่วโยว นางไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับผลกระทบด้านลบมากเกินไป ทว่านางยังสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนของนางได้อีกด้วย เหตุใดนางจึงไม่ยินดีแลกเปลี่ยนล่ะ
ที่สำคัญ เวลาของนางมีจำกัดมาก
“ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋น ศิษย์ไตร่ตรองมาดีแล้ว ท่านช่วยแลกเปลี่ยนให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อเห็นสีหน้ายืนกรานของฉู่หลิวเยว่ ผู้อาวุโสรู้ดีว่าต่อให้เกลี้ยกล่อมอีกต่อไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงทำได้เพียงตกลง
เขารับแผนภาพค่ายกลระดับห้ามาเก็บไว้ จากนั้นก็นำป้ายชื่อของฉู่หลิวเยว่มารูดกับหินหยกดำเบาๆ
ฉู่หลิวเยว่เห็นชัดเจนว่าตัวเลขบนนั้นเปลี่ยนจาก ศูนย์ เป็น หนึ่งร้อย
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นยิ่งเจ้าค่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่ติดป้ายชื่อบนหน้าอกซ้ายของตนอีกครั้งด้วยความดีใจ
มีเวลาตั้งร้อยชั่วยาม นางจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้อีก
ผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นลอบส่ายศีรษะ
สายตาและความคิดของเจ้าเด็กคนนี้ยังไม่กว้างไกลพอ อนาคตจะต้องว่ากล่าวตักเตือนสักหน่อย…
ฉู่หลิวเยว่มองเขาก็รู้ทันทีว่าเขากำลังคิดสิ่งใด ทว่านางเองก็ไม่คิดที่จะอธิบาย
ถ้าหากบอกเขาไปตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปนางยังต้องมาแลกแผนภาพค่ายกลกับเวลาฝึกอีก เกรงว่าผู้อาวุโสเว่ยอวิ๋นจะรู้ทันนาง