ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 192 วิงวอน
ราตรีนั้นหรงซิวอยู่เคียงข้างฉู่หลิวเยว่ตลอดทั้งคืน
ครั้งแรกนางยังรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง ถึงอย่างไรเสียขัดขืนไปก็ไม่เกิดผล ดังนั้นนางจึงต้องปล่อยตามเขาไป
มิรู้ว่าเป็นเพราะนางใช้พลังมากเกินหรือเปล่า ดังนั้นนางจึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
กลับกลายเป็นหรงซิวที่นอนไม่หลับทั้งคืน
อรุณวันรุ่งขึ้น เมื่อฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้นมา หรงซิวก็ออกไปข้างนอกแล้ว
คราวนี้นางจึงได้หลับอย่างสบาย พร้อมกับความรู้สึกอึดอัดในร่างกายของนางหายไป และร่างกายของนางก็ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์
เดิมทีนางคิดว่าจะใช้เวลาพักฟื้นสักสองสามวัน แต่ยามนี้ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
ฉู่หลิวเยว่เดินไปที่ริมหน้าต่าง แล้วมองไปที่ลานอี๋เฟิงอย่างพินิจพิเคราะห์
เวลานี้ประตูลานอี๋เฟิงปิดแนบสนิท เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้ใดพักอยู่แล้ว
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตกลงคือเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้ทำให้หรงซิวต้องรีบออกไปขนาดนี้
…
เมื่อเดินไปตามถนนในสำนัก ฉู่หลิวเยว่จึงรู้สึกชัดเจนว่าบรรยากาศทั้งสำนักดูตึงเครียดขึ้นมามาก
งานสมาคมเยาวชนใกล้เข้ามาแล้ว ทุกคนต้องการผลการแข่งขันที่ดี ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนตื่นเต้นและตั้งตารอ
ฉู่หลิวเยว่มาถึงเรือนพักของเลี่ยวจงซูเพียงผู้เดียว
ตอนนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวที่อาศัยอยู่ที่นี่ ซึ่งบรรยากาศดูเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างอย่างเห็นได้ชัด
ฉู่หลิวเยว่ผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้นนางจึงเห็นเลี่ยวจงซูที่นอนนิ่งไม่ได้สติอยู่บนเตียง
นางเข้ามาขนาดนี้แล้ว ทว่าเขาก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย แล้วดวงตาทั้งคู่ก็ยังคงปิดสนิท
ฉู่หลิวเยว่เดินไปที่ข้างเตียงแล้วจับชีพจรให้เขา ก่อนที่นางจะขมวดคิ้วมุ่น
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะใช้ยารักษาเลี่ยวจงซู ถึงอย่างไรประสิทธิภาพของมันก็มีขีดจำกัด ตอนนี้ฤทธิ์ยาน่าจะจางหายจนเกือบหมดแล้ว และพิษในร่างกายของเขาก็พร้อมที่จะแตกตัวได้ทุกเมื่อ
แก่นพลังในร่างกายของเขาได้รับความเสียหายอย่างมาก จึงทำให้ยิ่งยากต่อการประคองอาการ
ฉู่หลิวเยว่เรียกเขา
“เลี่ยวจงซู ตื่นเถิด”
คนที่นอนอยู่บนเตียงไร้วี่แววตอบสนอง
นางผลักเขาแผ่วเบา จากนั้นเมื่อผ่านไปสักพัก เลี่ยวจงซูจึงค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
เพียงแต่ว่า สีหน้าของเขาตอนนี้ดูซีดเซียวกว่าเมื่อวานเสียอีก ดวงตาทั้งคู่ของเขาดูอ่อนล้าหม่นแสง ราวกับว่าเขาจะหมดลมหายใจไปได้ทุกเมื่อ
ทันทีที่เห็นชัดว่าเป็นฉู่หลิวเยว่ แววตาของเลี่ยวจงซูก็วูบไหวเล็กน้อย แล้วพยายามยันกายลุกขึ้นมา
ตอนนี้เขามีแรงเหลือเสียที่ไหน
ฉู่หลิวเยว่ดันไหล่เขาเอาไว้
“อย่าเพิ่งขยับ เจ้ากินยาถอนพิษก่อนค่อยว่ากัน”
นางพูดพลางยื่นยาอายุวัฒนะไปให้
เมื่อเห็นสิ่งที่นางยื่นมามิใช่ยาต้ม แต่กลับเป็นยาอายุวัฒนะที่มีเพียงหมอเทวดาตัวจริงเท่านั้นที่จะสามารถหลอมมันออกมาได้ ดังนั้นเลี่ยวจงซูจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ
“นี่…นี่คือยาถอนพิษที่เจ้าหามาเองหรือ”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโหยโรยแรงอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่ใช่เพราะฉู่หลิวเยว่เป็นคนฉลาดหูตาว่องไว เกรงว่าคงได้ยินเสียงเขาไม่ชัดเป็นแน่
ฉู่หลิวเยว่หยุดชะงักครู่หนึ่ง ทว่านางก็หาได้ปฏิเสธไม่
“อืม”
เลี่ยวจงซูหมดสิ้นความสงสัยในตัวนาง แล้วกลืนยาอายุวัฒนะลงไป
ทันทีที่เม็ดยาละลายในปาก พลังที่อันแสนอบอุ่นอ่อนโยนเคลื่อนที่ไปทั่วสรรพางค์กายของเขาทันที!
“หลังจากที่เจ้ากินยาถอนพิษไปแล้ว พิษที่ตกค้างจะถูกขับออกมาภายในหนึ่งวัน ทว่าร่างกายของเจ้าเสียหายมากเกินไป แล้วเจ้าจะต้องพักประมาณหนึ่งเดือนก่อน จึงจะสามารถฟื้นตัวได้เต็มที่”
เลี่ยวจงซูมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความซาบซึ้ง
“บุญคุณครั้งนี้ จงซูไม่รู้ว่า…จะตอบแทบอย่างไรดี…”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า
“เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าเหมือนกัน มีคนต้องการปองร้ายข้า เพียงแต่ว่ามันชิงลงมือกับเจ้าก่อน การรักษาให้เจ้าหายดี ถือเป็นเรื่องที่ข้าสมควรทำอยู่แล้ว”
ดวงตาของเลี่ยวจงซูฉายแววตกตะลึง
“ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดคือคนที่อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
เลี่ยวจงซูพยักหน้าพัลวัน
“จงซูจะสู้ไม่คิดถอยหลังกลับอย่างแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่เล่าเรื่องที่เจอฉู่เซียนหมิ่นก่อนหน้านี้ให้เขาฟังพอสังเขป แต่กลับไม่ได้เล่าเรื่องที่นางหลอมยาอายุวัฒนะเอง นางบอกเขาไปเพียงแค่ว่าเป็นยาที่ฉู่เอามาจากเซียนหมิ่น
“…เพราะฉะนั้นระยะนี้เจ้าอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาดว่าเจ้าหายดีแล้ว เจ้าบอกคนอื่นไปแค่ว่าใช้ยาต้มประคองอาการ ถ้าหากอีกฝ่ายเกิดความสงสัย มันจะต้องโผล่หัวออกมาอีกแน่นอน ทำเช่นนี้ถึงจะสามารถล่อพวกมันออกมาได้”
เลี่ยวจงซูเข้าใจในทันที
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าสบายใจได้ ช่วงนี้ข้าจะไม่ออกไปไหน ข้าจะอยู่แต่ในนี้แล้วแสร้งทำเป็นเหมือนยังไม่ได้ขับพิษออกไป”
“อืม เจ้าจะได้ถือโอกาสใช้ช่วงเวลานี้พักรักษาร่างกายให้ดีๆ ยาอายุวัฒนะนี้ นอกจากจะช่วยเจ้าขับพิษแล้ว ยังช่วยบำรุงร่างกายอีกด้วย ถึงอย่างไรก็ต้องรบกวนเจ้าอยู่ดี”
เลี่ยวจงซูคลี่ยิ้ม
“ข้ามีชีวิตรอดครั้งนี้ก็เพราะเจ้า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เรียกว่ารบกวนอะไรกัน เจ้าสบายใจเถิด ถ้าหากมีสิ่งใดผิดปกติ ข้าจะรีบบอกเจ้าเป็นคนแรก”
คราวนี้ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ได้”
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็งานสมาคมเยาวชนก็มาถึง
เมื่อสำนักใหญ่อีกสองสำนักตามมาสมทบ บรรยากาศในเมืองหลวงก็เริ่มคึกคัก
ณ ตำหนักอู๋ถง พระราชวัง
จยาเหวินตี้และฮองเฮากำลังเสวยพระกระยาหาร
บรรยากาศภายในตำหนักใหญ่ช่างเงียบสงบ
ฮองเฮาเงยพระพักตร์มองจยาเหวินตี้หลายต่อหลายครั้ง ราวกับจะตรัสอะไรบางอย่างแต่ไม่ตรัสเสียที
วันนี้เป็นครั้งแรกในระยะนี้ที่จยาเหวินตี้ประทับอยู่กับนาง และนางก็ดีใจเป็นอย่างมาก
นางอยากจะเอ่ยปากวิงวอนฝ่าบาท ทว่านางกลัวว่าจะทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย
ก่อนหน้านี้นางให้ฉู่เซียวมาขอร้องฝ่าบาท ผลสุดท้ายกลับถูกตำหนิอย่างรุนแรง
ดังนั้นจนถึงตอนนี้ นางก็ไม่กล้าบ่มบ่ามวู่วามอีกแล้ว
“มีอะไรจะพูดก็ว่ามา”
จยาเหวินตี้เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
ฮองเฮาลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ยอมปริปากจนได้
“ฝ่าบาท งานสมาคมเยาวชนกำลังจะเริ่มแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าจะให้รัชทายาทเสด็จกลับสำนักเพื่อเข้าร่วมงานสมาคมเยาวชนดีหรือไม่เพคะ”
สายตาของจยาเหวินตี้เย็นชาเล็กน้อย
“ที่แท้เจ้าก็มาขอร้องเพื่อเขาจริงๆ”
ฮองเฮารีบเอ่ยทันทีว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำเพื่อรัชทายาท แต่ทำเพื่อฝ่าบาทต่างหากเพคะ งานสมาคมเยาวชนนี้เป็นเรื่องของหน้าตาและศักดิ์ศรีของแคว้น ถ้าหากสำนักเทียนลู่พ่ายแพ้ ฝ่าบาทก็จะเสื่อมเสียพระเกียรตินะเพคะ”
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของจยาเหวินตี้ ทว่ามิได้ขัดแย้งนาง ดังนั้นฮองเฮาจึงเบาใจลงมาบ้าง ก่อนจะกล่าวอีกว่า
“โดยเฉพาะคราวนี้งานสมาคมเยาวชนได้จัดขึ้นที่เมืองหลวง ถ้าหากพ่ายแพ้ล่ะก็…มันจะยิ่งดูไม่ดีมิใช่หรือเพคะ จริงอยู่ที่รัชทายาทมีความผิด แต่เขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง บางครั้งก็ต้องกระทำการวู่วามไปบ้าง ฝ่าบาทจะไม่มีวันให้อภัยเขาไปตลอดชีวิตเลยหรือเพคะ เรื่องอื่นมิต้องพูดถึง ในสำนักเทียนลู่แทบจะไม่มีผู้ที่มีความสามารถเทียบเท่ารัชทายาทเลย ฝ่าบาทให้ลูกได้ชดเชยความผิดได้หรือไม่เพคะ”
จยาเหวินตี้นวดคลึงระหว่างคิ้ว
อันที่จริง ในช่วงเวลานี้ความโกรธของเขาก็คลายไปมาก นับประสาอะไรกับสิ่งที่ฮองเฮาพูด เขาก็เคยคิดมาแล้ว
“ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสรัชทายาทแก้ตัวสักครั้ง”
ฮองเฮารีบคุกเข่าขอบพระทัย
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ!”
จยาเหวินตี้ไม่พูดให้มากความแล้วให้นางลุกขึ้น
“เขาจะไปได้สักกี่น้ำ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเขาเอง แล้วทางด้านเจินเจินล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฮองเฮาจางลงเล็กน้อย และสีหน้าก็มีร่องรอยของความเศร้าโศก
“ตั้งแต่ที่หยวนตันของเจินเจินได้รับความเสียหาย นางก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ช่วงนี้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักตัวเอง ไม่ยอมออกมาข้างนอก คือว่า…ฝ่าบาทก็ทรงทราบ ก่อนหน้านี้เจินเจินมีความสามารถมากมายหลายด้าน ตอนนี้ถูกทำร้ายจนกลายเป็นเยี่ยงนั้น นางจึงรู้สึกเจ็บปวดทรมานเป็นธรรมดา หม่อมฉันไปเยี่ยมลูกทีไร หลายครั้งที่ต้องเห็นลูกแอบร้องไห้”
ฮองเฮาพูดพลางก้มหน้าน้ำตารื้น
จยาเหวินตี้ถอนหายใจ
มิใช่ว่าเขาจะไม่รักธิดาองค์นี้ เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จนปัญญา ช่างเถิด เจ้าไปบอกนาง รองานสมาคมเยาวชนเริ่มเมื่อไหร่ เจิ้นค่อยหาหมอเทวดาท่านอื่นมาดูสิว่าพอจะมีหนทางรักษาหรือไม่”
ฮองเฮาเช็ดน้ำตาที่หัวตา แล้วเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง
“เช่นนั้นหม่อมฉันต้องขอบพระทัยฝ่าบาทแทนเจินเจินด้วยเพคะ”