ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 193 ตามหานาง
หลังพระกระยาหารมื้อค่ำสิ้นสุดลง จยาเหวินตี้ก็ลุกขึ้นเตรียมพร้อมจะออกไป
ฮองเฮาแปลกใจเล็กน้อย
“ฝ่าบาท…คืนนี้ไม่ค้างที่ตำหนักหม่อมฉันหรือเพคะ”
จยาเหวินตี้มีสีหน้าเย็นชา
“ย่างเข้าเดือนสิบแล้ว”
หัวใจของฮองเฮาเต้นตึกตัก แล้วเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนขึ้นมา
เดือนสิบ
แม้สำหรับผู้อื่นดูเหมือนจะไม่มีอะไร ทว่าสำหรับจยาเหวินตี้กลับเป็นช่วงเวลาที่พิเศษอย่างยิ่ง
เพราะว่า…พระสนมหวั่นเฟยสิ้นพระชนม์ในเดือนสิบพอดี
ทุกปีของเดือนสิบ จยาเหวินตี้จะดูโศกเศร้าเงียบขรึม และเขาจะไม่ไปอยู่กับสนมนางอื่นที่ตำหนักใดๆ
มิใช่ว่านางไม่รู้กฎข้อนี้ แต่ตอนนี้จยาเหวินตี้ได้ให้สัญญาว่าจะปล่อยรัชทายาทออกไป และสัญญาว่าจะหาหมอเทวดาให้องค์หญิงสี่ ดังนั้นจึงทำให้นางดีใจมากเกินไปจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“หม่อมฉันละเลยหน้าที่ ฝ่าบาททรงประทานอภัยด้วยเพคะ” ฮองเฮาเงยหน้าขึ้น แล้วเก็บซ่อนความเคียดแค้นในดวงตาจนมิด
จยาเหวินตี้โบกมือ
“เจ้าไปดูแลเจินเจินเถิด”
เมื่อกล่าวจบก็ยกเท้าก้าวออกไป
บรรยากาศภายในตำหนักใหญ่จึงเกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง
เหล่าข้าราชบริพารที่คอยรับใช้อยู่รอบๆ ต่างก้มศีรษะและโน้มเอวลงมา ไม่กล้าส่งเสียงเพราะกลัวจะเป็นการยั่วโมโหฮองเฮาได้
ในวังหลังนี้ มีใครไม่รู้บ้างว่า ถึงแม้ภายนอกฮองเฮาจะเป็นเจ้านายฝ่ายหญิงที่กุมอำนาจหกตำหนัก มีสถานะและตำแหน่งสูงสุด ทว่าในความเป็นจริง นางไม่เคยเทียบพระสนมหวั่นเฟยที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วได้เลย
ในพระทัยของฝ่าบาทมีตำแหน่งเดียวที่ไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่นางได้สักคน
รวมถึงฮองเฮาด้วยเช่นกัน
ถ้าหากเป็นยามปกตินางไม่สน แต่วันนี้มันเหมือนกับเป็นการตบหน้าฮองเฮาต่อหน้าธารกำนัล!
หลังจากทนนิ่งเงียบอัดอั้นตันใจอยู่นาน ในที่สุดฮองเฮาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เงยหน้าขึ้น พร้อมกับคืนสู่ศักดิ์ศรีฮองเฮาที่สง่าสงามสูงส่ง
“ข้าจะไปเยี่ยมองค์หญิงสี่”
“เพคะ!”
“…”
ทันทีที่นางมาถึงตำหนักของหรงเจิน ฮองเฮาก็เห็นกลุ่มข้าหลวงในวังกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างนอก
พวกเขาทุกคนต่างมีสีหน้าเจ็บปวดราวกับกำลังได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าปริปากสักคน
ในขณะที่หรงเจินนั่งอยู่ตรงปากประตูทางเข้าห้องบรรทม พร้อมกับมองคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าดุร้าย
เมื่อเห็นฮองเฮาผู้เป็นพระมารดาเสด็จมาก็มีร่องรอยของความตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าของนาง และนางก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เสด็จแม่มาได้อย่างไรเพคะ”
ฮองเฮาขมวดคิ้วมุ่น
“เสด็จพ่อของเจ้าให้ข้ามาดูเจ้า แล้วนี่เจ้ากำลังทำอะไร”
นางสำรวจดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ โชยมา
หรงเจินตะลีตะลานพูดว่า
“ไม่มีอะไรนี่เพคะ พวกมันทำผิด ลูกก็เลยลงโทษนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเองเพคะ”
ฮองเฮากลับไม่เชื่อ จากนั้นก็หันไปมองทางพวกข้าหลวงในวัง
“พวกเจ้าลุกขึ้นให้หมด”
คนที่อยู่ข้างหน้าพยายามลุกขึ้น เพียงแค่ขยับนิดเดียวกลับก็ล้มลงกับพื้นแล้ว จากนั้นก็นั่งกอดเข่าคร่ำครวญ
จากนั้นฮองเฮาจึงรู้ทันทีว่ามีตะปูเหล็กขึ้นสนิมตอกอยู่ที่หัวเข่าของคนผู้นั้น!
นางมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วและพบว่าทุกคนต่างเป็นเหมือนกันหมด!
นางระงับโทสะในใจ
“ทุกคนกลับไปพักก่อน ข้าจะส่งคนไปรักษาให้พวกเจ้าเอง ช่วงนี้องค์หญิงอารมณ์ไม่ดี อาจจะหงุดหงิดโมโหไปบ้าง แต่ว่าข้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ เข้าใจหรือไม่”
ทุกคนตอบรับอย่างรวดเร็ว แล้วช่วยประคองพากันออกไป
ฮองเฮาหันไปมองหรงเจิน
“เจ้าตามข้าเข้ามาประเดี๋ยวนี้!”
หรงเจินรู้ตัวว่าผิด ดังนั้นนางจึงเดินตามเจ้าไปแต่โดยดี
เมื่อประตูปิดลง ในที่สุดฮองเฮาก็เปิดปากพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าทำบ้าอะไรกันแน่ ข้าบอกหลายหนแล้วว่าอย่าทำเช่นนี้อีก ถ้าหากเสด็จพ่อเจ้าทรงทราบเข้า พระองค์จะทรงคิดเช่นไร!”
หรงเจินเบนหน้าหนี
“เสด็จพ่อไม่สนใจไยดีลูกแล้ว! ตอนนี้ลูกเป็นเพียงแค่คนพิการ พระองค์จะสนใจลูกทำไม”
ฮองเฮาพยายามระงับโทสะในใจของตน
“เสด็จพ่อของเจ้ารับปากแล้วว่ารองานสมาคมเยาวชนเริ่มเมื่อไหร่ จะทรงตามหมอเทวดามาให้เจ้า แม้จะไร้หนทางก็ตาม ยามนี้ราชทูตราชวงศ์เทียนลิ่งอยู่ระหว่างการเดินทาง เมื่อถึงตอนนั้นก็จะหาทางรักษาเจ้าได้อยู่แล้ว! สิ่งที่เจ้าควรทำตอนนี้คือให้เสด็จพ่อสงสารเจ้า ไม่ใช่ทำให้ทรงเกลียดเจ้า!”
หรงเจินตกตะลึง
“จริงหรือเพคะ”
“จริงแท้แน่นอน! นอกจากนี้ที่สำคัญ เสด็จพ่อยอมรับปากปล่อยพี่ชายของเจ้าแล้ว เพียงแค่สามารถทำคุณงามความดีกู้ชื่อเสียงได้ในงานสมาคมเยาวชน พี่ชายเจ้าจะต้องกลับมาอยู่ในสายตาของฝ่าบาทแน่นอน เรื่องสำคัญเช่นนี้ เจ้าอย่าทำเสียเรื่องเป็นอันขาด!”
สีหน้าของหรงเจินพลันเปลี่ยนไป นางรีบเอ่ยว่า
“ลูกรู้แล้ว ลูกจะไม่ทำให้เสด็จแม่ต้องเป็นห่วงเพคะ!”
นางพูดพลางเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็กอดแขนฮองเฮาแล้วพึมพำว่า
“ลูกรู้ว่าเสด็จแม่ดีกับลูกมากที่สุด”
แม้จะยังมีความโกรธหลงเหลืออยู่บ้างในใจ สุดท้ายนางก็ยังคงเอ็นดูพระธิดาของตนอยู่ดี ดังนั้นจึงลูบไล้เรือนผมผู้เป็นพระธิดาเบาๆ แล้วกล่อมว่า
“หยวนตันเสียหาย มิใช่ว่าจะไม่มีทางรักษา เจ้าดูฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นสิ ชีพจรพิการตั้งแต่กำเนิด ตอนนี้ก็รักษาหายดีแล้วมิใช่หรือ”
เมื่อหรงเจินได้ยินเช่นนั้น จู่ๆ ก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว
“จริงด้วย! เสด็จแม่ เราลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร”
นางเขย่าแขนฮองเฮาด้วยความตื่นเต้น
“ตอนนั้นหมอเทวดาทั้งแคว้นเย่าเฉินต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าไม่มีทางรักษาชีพจรให้กับฉู่หลิวเยว่มิใช่หรือ ทว่าต่อมา นางไม่เพียงแต่หายดี ทั้งยังกลายเป็นยอดอัจฉริยะอีกด้วย! เสด็จแม่ ลูกว่าฉู่หลิวเยว่จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอนเพคะ!”
ฮองเฮาขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้าหมายความว่า…”
“เราเรียกตัวฉู่หลิวเยว่มาถามว่านางหายได้อย่างไรดีหรือไม่เพคะ ลูกเดาว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังนางต้องเป็นผู้มีอำนาจและลึกลับ ให้นางเรียกคนผู้นั้นออกมา มิแน่ว่าอาจจะรักษาลูกได้เพคะ!”
“ที่เจ้าพูดก็มิใช่ว่าไร้เหตุผล…แต่ก่อนหน้านี้ไม่คาดคิดว่า” ฮองเฮาครุ่นคิดครู่หนึ่ง “แต่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับฉู่หลิวเยว่ไม่ดีนัก นางอาจจะปฏิเสธเรื่องนี้ก็ได้”
หรงเจินกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
“หากนางไม่ยอมแล้วอย่างไร เป็นแค่ลูกหัวหน้าองครักษ์ จะไม่ฟังคำสั่งพวกเราเลยหรือเพคะ”
ฮองเฮากลับเกิดความลังเลเล็กน้อย
นางจำได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉู่หลิวเยว่และเจินเป่าเก๋อนั้นไม่ธรรมดา…
“ควรระมัดระวังในเรื่องนี้ให้มากขึ้นดีกว่า พรุ่งนี้มีงานสมาคมเยาวชน ทำไมเจ้าไม่ไปกับข้าแล้วเจรจาเรื่องนี้กับนางล่ะ ถ้านางยินดีช่วยย่อมทางที่ดีที่สุด ถ้าไม่ล่ะก็…”
หรงเจินแสยะยิ้มเย็นชา
“นางปฏิเสธได้ซะที่ไหน”