ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 195 ซือถูซิงเฉิน
ลายเมฆานั้นไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับราชวงศ์เดียวกัน ด้วยสถานะที่โดดเด่นเช่นนี้ ลวดลายของเมฆานั้นมักจะถูกปักบนเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่นั้นก็มิถือว่าเป็นสิ่งใดทั้งนั้น
สิ่งสำคัญคือลวดลายเมฆาบนแขนเสื้อและชายผ้าของหรงซิวแตกต่างจากลายเมฆาของคนธรรมดาทั่วไป
ว่ากันว่าเป็นลายเมฆา แท้จริงแล้วลายปักซ้อนกันเป็นชั้นๆ ถ้าหากว่ามองจากอีกมุมหนึ่ง มันกลับเหมือนดอกท้อบานสะพรั่งมากกว่า
คราแรกที่ฉู่หลิวเยว่สังเกตเห็น นางยังเคยถามหรงซิวด้วยซ้ำ
ตอนนั้นหรงซิวกล่าวว่าเขาเป็นผู้วาดลวดลายเมฆานั้นด้วยตัวเอง และให้คนปักขึ้นมาเป็นพิเศษ
และบนโลกใบนี้ก็มีอยู่ตระกูลเดียว
ทว่า…นางคิดไม่ถึงว่าลวดลายเมฆาดังกล่าวจะปรากฏบนอาภรณ์ของบุคคลอื่น
ถึงแม้ฉู่หลิวเยว่ต้องการจะถือว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะนางสามารถเห็นชัดเจนว่าลวดลายนี้เหมือนกันทุกประการ
นางกระตุกคิ้วแล้วถอนสายตากลับมา ก่อนจะเอ่ยถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
“ดูเหมือนเจ้าจะคุ้นเคยกับองค์หญิงใหญ่นี้น่าดู”
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าไม่เคยไปแคว้นซิงหลัวสักหน่อย เพียงแต่ว่าองค์หญิงใหญ่เลื่องชื่อลือนามมากต่างหาก”
ซือหยางบุ้ยปาก
“เจ้าก็เห็นนี่ว่ารูปโฉมสะคราญเยี่ยงนี้ กิริยาสง่างามเช่นนี้ ช่างหายากจริงๆ ที่สำคัญคือ นางมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุด ข้าได้ยินมาว่าปีนี้นางยังอายุไม่ถึงสิบหกก็สามารถบรรลุเป็นแพทย์ขั้นสามได้แล้ว เพียงแค่ก้าวไปอีกขั้น นางก็จะได้เป็นหมอเทวดาที่แท้จริงแล้ว! องค์หญิงองค์นี้ เป็นองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวแห่งแคว้นซิงหลัว ประดุจดั่งอัญมณีล่ำค่า หลายปีมานี้ นางยิ่งมีชื่อเสียงขจรไกล ไม่รู้ว่ามีคนมาตกหลงรักนางมากมายเท่าไหร่ ทว่า องค์หญิงใหญ่กลับไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ผู้ที่มาสู่ขออภิเษกล้วนถูกปฏิเสธไปทั้งสิ้น ไม่รู้จริงๆ ว่าชายใดจะได้ครองใจหญิงงามผู้นี้!”
ฉู่หลิวเยว่มองรอบๆ ไปเรื่อยเปื่อย และเป็นจริงดั่งคาด เมื่อชายหนุ่มทั้งหลายเห็นซือถูซิงเฉิน ดวงตาของพวกเขาต่างก็เป็นประกายลุกวาวขึ้นมา
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วระงับความรู้สึกแปลกๆ ในใจของนางไว้
ทันใดนั้นเอง ซุนจ้งเหยียนก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อกล่าวต้อนรับทักทายแขกอีกครั้ง
“พี่เฉิงหัน!”
หัวหน้าผู้ที่พาสำนักไท่เหยี่ยนมางานก็เป็นชายชราที่มีผมสีดอกเลาและมีราศีของผู้เป็นเซียนเช่นกัน
เมื่อเห็นซุนจ้งเหยียน รอยยิ้มปีติยินดีก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“พี่จ้งเหยียน นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอท่าน ท่านดูดีกว่าแต่ก่อนเยอะเลย!”
“ฮ่าๆๆๆ! พี่เฉิงหันชมเกินไปแล้ว! ท่านมาจากแดนไกล คงลำบากมาก เชิญๆ!”
เฉิงหันโบกมือเพื่อให้นักเรียนที่อยู่ด้านหลังเข้าไปนั่งที่ประจำสำนัก ส่วนตัวเขาเองยังอยู่คุยกับซุนจ้งเหยียนอีกสองสามประโยค
“ข้าไม่เห็นเยี่ยเหล่ามาหลายปีแล้ว แม้กระทั่งอยากเจอเขาในงานสมาคมเยาวชนครั้งนี้ยังเป็นการยากเลย!”
“ท่านอาจารย์ลุงก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร พี่เฉิงหันเองก็ทราบดี”
“เยี่ยเหล่าเอาแต่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ คงใกล้จะบรรลุขั้นแล้วกระมัง”
“ฮ่าๆ ท่านอาจารย์ลุงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็พูดยากเช่นกัน”
“อันที่จริง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของงานสมาคมเยาวชน ก็มีพี่จ้งเหยียนเป็นผู้รับผิดชอบสำนักเทียนลู่มาโดยตลอด เยี่ยเหล่าผู้สง่างาม กลับเป็นหัวหน้าที่ไม่เอาการเอางาน เกรงว่าต่อไป…”
ซุนจ้งเหยียนหัวเราะเพื่อตัดบทของเขา
“พี่เฉิงหัน อนาคตเรื่องนี้เอาแน่เอานอนมิได้ ทุกคนต่างรอคอยมานานแล้ว เราเริ่มกันเลยดีกว่าไหม”
เฉิงหันชะงักค้าง แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมา
“ได้ๆ คิดดูแล้วพวกเด็กๆ คงจะรอไม่ไหวแล้วล่ะ”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็เดินไปนั่งที่ตำแหน่งของสำนักไท่เหยี่ยนทันที
ถึงแม้ซุนจ้งเหยียนยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าดวงตาของเขากลับเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย
แท้จริงฝูอวิ๋นซานหัวหน้าสำนักหนานเฟิงและเฉิงหันหัวหน้าสำนักไท่เหยี่ยนล้วนอยู่รุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา ส่วนเยี่ยจือถิงแก่กว่าพวกเขาไปอีกหนึ่งรุ่น
ฝูอวิ๋นซานไม่มีอะไร ทว่าเฉิงหันผู้นี้ อาศัยการบรรลุขั้นยุทธ์อย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นคนที่บ้าคลั่งมากขึ้น
เขากล้าวิพากษ์วิจารณ์เยี่ยจือถิงต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ เขายังบอกเป็นนัยว่าซุนจ้งเหยียนกำลังจะขึ้นมาแทนที่เยี่ยจือถิงผู้เป็นอาจารย์ลุง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เห็นสำนักเทียนลู่อยู่ในสายตาเลยสักนิด
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตามองอยู่ด้านล่าง
“คนของสำนักไท่เหยี่ยนนี่ช่างเป็นจุดสนใจจริงๆ”
“แน่นอนอยู่แล้ว! ปีที่แล้วสำนักพวกเขาได้ผลคะแนนดีที่สุด! เป็นธรรมดาที่จะเย่อหยิ่งทระนง! เฉิงหันผู้นั้นคือหัวหน้าสำนักของพวกเขา ได้ยินมาว่าปีก่อนเขาบรรลุเป็นหมอเทวดาขั้นห้าแล้ว ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับหัวหน้าสำนักของเราแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีกิริยาดูถูกผู้อาวุโสซุนบ้างเป็นธรรมดา”
ซือหยางที่อยู่ข้างๆ กระซิบอธิบายให้นางฟัง
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างเข้าใจ
มิน่าล่ะ
เดิมทีเฉิงหันและผู้อาวุโสซุนอยู่ในระดับเดียวกัน ทว่า ตอนนี้เขามีความสามารถมากพอที่จะเทียบเท่าเยี่ยเหล่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ธรรมดาที่เขาจะไม่เห็นผู้อาวุโสซุนและผู้อื่นอยู่ในสายตา
ภายนอกเขาดูเป็นคนสุขุมอ่อนโยน ในความเป็นจริง กิริยาและวาจาของเขากลับเผยให้เห็นถึงความทะนงตน
ดูท่าทางเขาคงอยากจะ ประลองฝีมือ กับผู้อาวุโสเยี่ยเหล่าสักยก
“เฉิงหันผู้นี้ยังเป็นอาจารย์ของซือถูซิงเฉินอีกด้วย! ข้าได้ยินมาว่าซือถูซิงเฉินก็เพิ่งจะเข้าเรียนที่สำนักไท่เหยี่ยนเมื่อปีนี้นี่เอง แต่กลับได้รับการยกย่องอย่างสูง ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของสำนักไท่เหยี่ยน แล้วยังได้ยินมาอีกว่าตอนนี้ศิษย์พี่เหล่านั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางอีกต่อไป คราวนี้ เกรงว่านางคงหมายมั่นคว้าอันดับหนึ่งมาได้แน่นอน”
การแข่งขันในงานสมาคมเยาวชนไม่ได้แบ่งเป็นช่วงระดับชั้นเสียด้วย
นักเรียนทุกคนถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทการแข่งขันตามหลักวิชาหมอเทวดา ปรมาจารย์และผู้ฝึกยุทธ์แข่งขันบนสังเวียนเดียวกัน
กล่าวคือ ตราบเท่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็เข้าร่วมการแข่งขันของผู้ฝึกยุทธ์ได้ ซึ่งฝ่ายตรงข้ามอาจจะเป็นนักเรียนชั้นปีเดียวกันหรือต่างชั้นปีก็เป็นได้
ในการแข่งขันครั้งนี้ นักเรียนใหม่ค่อนข้างเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่พวกเขาสามารถเพิ่มประสบการณ์การต่อสู้ได้ ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้วย่อมมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการทำให้ชื่อได้อยู่ในอันดับดีๆ นั้นเป็นเรื่องยาก กระนั้นพวกศิษย์ใหม่ก็มีความกระตือรือร้นที่จะลอง
หลังจากที่ซือหยางพูดจบแล้วเห็นสีหน้าเรียบนิ่งของฉู่หลิวเยว่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า
“เจ้าไม่ตกตะลึงสักนิดเลยหรือ”
“มีอะไรน่าตกใจขนาดนั้น” ฉู่หลิวเยว่เบิกตาโตเล็กน้อย
“นางเป็นนักเรียนใหม่ แต่กลับมีความสามารถมากพอที่จะแข่งขันกับพวกรุ่นพี่อย่างไรเล่า!”
ฉู่หลิวเยว่อดหัวเราะไม่ได้
“การฝึกฝนของหมอเทวดานั้นมีความพิเศษอย่างยิ่ง ความแข็งแกร่งแบบไหนที่สามารถครอบครองได้ ปัจจัยหลักก็คือพรสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาศิษย์พี่ในสำนักของนางมีอายุมากกว่านางแค่ปีสองปีเท่านั้นเอง หากแก่กว่านี้อีกสักสี่ห้าปีก็ไม่เป็นประโยชน์สำหรับการฝึกฝนให้เป็นหมอเทวดาอย่างยิ่ง”
“จริงหรือ”
ซือหยางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เจ้ารู้ดีขนาดนี้ได้อย่างไร”
ฉู่หลิวเยว่กลอกตามองเขา
ซือหยางจึงนึกขึ้นมาได้ทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาเคยสอบเข้าสำนักผ่านทั้งสามวิชา
ถ้าอย่างนั้น ฉู่หลิวเยว่จะเข้าใจหลักการของหมอเทวดาก็มิใช่เรื่องแปลก
อย่างไรก็ตาม เขาได้ยินมาว่าความสามารถของนางในด้านหมอเทวดานั้นไม่มากนัก จึงเป็นเหตุให้นางเลือกเรียนปรมาจารย์ในที่สุด
“เฮ้อ ช่างเถิด พวกเราก็ไม่ได้จะร่วมแข่งขันหมอเทวดาสักหน่อย ใส่ใจมากไปก็ไร้ประโยชน์! ข้าคุยกับเจ้าเรื่องปรมาจารย์ที่เก่งกาจพวกนั้นดีกว่า”
…
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ซือถูซิงเฉินนั่งลง ดวงตาของนางก็กวาดมองรอบๆ อย่างรวดเร็ว
ทว่านางกลับไม่เห็นเงาร่างที่นางไม่อยากเห็น
หัวใจที่เต้นระรัวของนางค่อย ๆ สงบลง นางมองย้อนกลับไปก่อนถอนหายใจเบาๆ ด้วยความผิดหวัง
ก็จริง…งานแบบนี้เขาคงไม่มาอย่างแน่นอน
เขาไม่น่าจะสนใจงานสมาคมเยาวชนอะไรนี่ด้วย