ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 196 ฉู่หลิวเยว่
“ซิงเฉิน เจ้ากำลังมองสิ่งใดอยู่?”
เมื่อเฉิงหานเห็นว่าซือถูซิงเฉินที่นั่งข้างตัวเองราวกับกำลังมองสำรวจไปรอบๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“หือ? อ๋อ ไม่มีสิ่งใดหรอก เพียงแต่ข้ามาเยือนงานสมาคมเยาวชนเป็นครั้งแรก จึงมีบ้างที่อดสงสัยมิได้”
ซือถูซิงเฉินขจัดความผิดหวังในแววตาอย่างรวดเร็ว ยิ้มร่าให้เฉิงหาน
เฉิงหานหัวเราะฮ่าฮ่าโดยไม่คลางแคลงใจพลางกล่าวว่า :
“เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าสงสัย รอจนกว่าการประลองจะเริ่ม เจ้าย่อมรู้แจ้งว่าเป็นมาอย่างไร! คราวนี้อาจารย์คาดหวังในตัวเจ้าจริงๆ!”
“อาจารย์โปรดวางใจ ซิงเฉินจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
“เจ้ามีพรสวรรค์ชั้นยอด อาจารย์ย่อมวางใจเป็นธรรมดา”
เฉิงหานพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม ราวกับคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าท้ายที่สุดซือถูซิงเฉินจะสามารถคว้าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกลับมาได้อย่างแน่นอน
ซือถูซิงเฉินพยักหน้ายิ้ม ระงับความนึกคิดลึกๆ ในใจ
…
ซุนจ้งเหยียนยืนอยู่บนลานกว้าง ประสานมือคำนับไปทุกสารทิศ
“ตัวข้าซุนจ้งเหยียน ผู้อาวุโสจากสำนักเทียนลู่ วันนี้รับผิดชอบเป็นผู้ดูแลงานสมาคมเยาวชน! ลำดับการประลองยังคงเหมือนเดิม เริ่มจากผู้ฝึกยุทธ์ ต่อจากนั้นเป็นปรมาจารย์ และสุดท้ายก็คือหมอเทวดา!”
น้ำเสียงหนักแน่นและทรงพลังของเขากำจรไปทั่วลานประลอง ส่งผลให้ผู้คนที่กำลังถกเถียงกันอย่างคึกคักเงียบไปตามสัญชาตญาณ ทยอยพากันมองเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ
“กฎการประลองเป็นเช่นเดิม สามสำนักใหญ่จะท้าประลองกัน! ทุกท่านโปรดรับชม หน้าสามสำนักใหญ่ล้วนมีหีบวางไว้ตรงหน้าสามหีบ! สามหีบนี้ถูกแบ่งออกเป็นหมอเทวดา ปรมาจารย์ และผู้ฝึกยุทธ์ตามลำดับ โดยข้างในมีรายชื่อศิษย์สำนักที่เข้าร่วมการประลองดังกล่าว! เพื่อความเป็นธรรม ของที่วางไว้ในหีบนี้จึงมิใช่ชื่อศิษย์ของสำนักตนเอง”
เขายกมือชี้ไปทางสำนักเทียนลู่
“ในหีบของสำนักเทียนลู่มีชื่อศิษย์ของสำนักไท่เหยี่ยนวางอยู่ ศิษย์สำนักที่ขึ้นประลองจะสุ่มจากรายชื่อในนั้น และผู้จับฉลากก็คือคู่ต่อสู้ในการประลองนั่นเอง”
ผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา
นี่ไม่เท่ากับว่าปล่อยให้ศิษย์สำนักเทียนลู่ไปท้าประลองศิษย์สำนักไท่เหยี่ยนหรอกหรือ?
ซุนจ้งเหยียนกดมือทั้งสองลง รอจนกว่าผู้คนเงียบลงไปบ้างแล้วจึงกล่าวต่อ
“เช่นกัน ของในหีบที่อยู่หน้าสำนักไท่เหยี่ยนคือชื่อของศิษย์สำนักหนานเฟิง! และของที่อยู่ตรงหน้าสำนักหนานเฟิงย่อมเป็นของสำนักเทียนลู่!”
ผู้คนต่างพากันถกเถียง
ถึงอย่างไรนี่ฟังดูแล้ววิธีนี้ก็ยุติธรรมจริงๆ
“ผู้แพ้การประลองจะถูกนำชื่อออกจากหีบ ส่วนผู้ชนะ ชื่อจะถูกนำกลับไปวางไว้ในหีบดังเดิม การประลองจะผลัดไปจนกว่าจะถึงชื่อลำดับสุดท้าย!”
ฉู่หลิวเยว่เอามือกอดอกพลางครุ่นคิด
“หากเป็นตามที่กล่าวมา ผู้ชนะการประลองก็มีโอกาสที่จะถูกสุ่มจับขึ้นมาเป็นครั้งที่สองครั้งที่สามหรือมากกว่านั้นเช่นนั้นหรือ?”
ยิ่งอยู่ท้ายก็ยิ่งสู้กันมือเป็นระวิง
การจะคว้าอันดับหนึ่งมาได้นั้นมิใช่เรื่องง่าย
ซือหยางกล่าว “ใช่เสียที่ไหนเล่า! ลำดับการประลองก็สำคัญมากเช่นกัน! จัดอยู่ลำดับท้ายยังพอว่า แต่ถ้าโชคร้ายอยู่ลำดับแรกๆ นั่นก็ไม่รู้ว่าจะต้องประลองกันกี่หน! แน่นอนว่าต้องชนะด้วยฝีมือถึงจะถูกสุ่มจับขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ระหว่างที่พูดก็หัวเราะแหะแหะไปด้วย
“แท้จริงนั้นการประลองในครั้งนี้ก็มิได้เข้มงวดกวดขันถึงเพียงนั้น แต่ละวันก็มีช่วงเวลาการประลองที่แน่นอนอยู่แล้ว หนึ่งคนต่อหนึ่งวันกว่าจะผลัดรอบการประลอง แม้จะชนะแล้วถูกสุ่มจับขึ้นมาอีกหน โดยหลักแล้วก็มีเวลาพักฟื้น และแน่นอนว่าไม่มีทางได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนเวลาอันควร”
หากสู้จนบาดเจ็บเจียนตายจริง เกรงว่าคงต้องถอนตัวออกจากการประลองไปทั้งอย่างนั้น
“งานสมาคมเยาวชนจัดขึ้นพอเป็นพิธี ไม่ปล่อยให้คนเข่นฆ่ากันหรอก วางใจในเรื่องนี้ได้”
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินก็ปิดปากเงียบ
ไม่ปล่อยให้คนเข่นฆ่ากัน ทว่าบนโลกใบนี้กลับมีหลากหลายวิธีที่ทำให้คนอยู่ไม่สู้ตาย
งานสมาคมเยาวชนนี้เกี่ยวพันกับศักดิ์ศรีสำนักไปจนถึงแคว้นต่างๆ จะวางใจเช่นนั้นได้หรือ?
ระหว่างที่ทั้งสองสนทนา ซุนจ้งเหยียนก็เดินมาเขตสำนักหนานเฟิง เขายืนอยู่หน้าหีบของ “ผู้ฝึกยุทธ์”
“ข้าจะเป็นผู้จับฉลากคนแรกที่จะปรากฏตัวในสนามแรกด้วยตนเอง!”
ขณะที่พูด มือของเขาก็ล้วงเข้าไปในหีบ
ทุกสายตาจับจ้องมาทางนี้
โดยเฉพาะลูกศิษย์ผู้ฝึกยุทธ์ของสำนักไท่เหยี่ยนและสำนักเทียนลู่ที่กลั้นลมหายใจรออย่างใจจดใจจ่อ
“อย่าจับได้ข้าเลย…ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าจับได้ข้า…”
“ขอร้องล่ะ! อย่าเป็นข้าเลย!”
“นี่เป็นการประลองแรก ขอให้จับได้คนที่มีฝีมือแข็งแกร่งกว่าเถอะ…”
ซุนจ้งเหยียนยังไม่ได้จับฉลากชื่อออกมา ฉู่หลิวเยว่ก็ได้ยินเสียงอธิษฐานทุกรูปแบบลอยมาจากทางด้านหลัง
นางอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองและแน่นอนว่าเห็น ‘อย่าจับได้ข้า’ เขียนอยู่บนหน้าใครหลายคน
นางรำพันอยู่ภายในใจ ถึงอย่างไรก็จะเข้าใจได้ในอีกไม่นาน
การประลองรอบแรกมีความหมายต่างออกไปเป็นพิเศษ
หากสามารถชนะได้อย่างสวยงาม ล้วนเป็นเกียรติต่อตนเองและสำนักอย่างใหญ่หลวง สร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้คน
หากพ่ายแพ้ นั่นย่อมได้รับคำตำหนิติเตียนมากมาย
ดังนั้นความกดดันนี้จึงเพิ่มเป็นเท่าทวี
เหล่าศิษย์อาวุโสที่แข็งแกร่งกว่ายังนับว่าดี ทว่าศิษย์สำนักหน้าใหม่ต่างก็ตกอยู่ในอาการกระสับกระส่าย ว้าวุ่นใจ
…
ทางด้านสำนักไท่เหยี่ยน ทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของซุนจ้งเหยียนอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ได้ยินมาว่าผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดของสำนักพวกเขาคือองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเย่าเฉินหรงจิ้น! ไม่คิดว่าวันนี้เขาก็มาด้วย! ตราบใดที่ไม่ใช่เขาก็พอแล้ว!”
“จะบังเอิญขนาดนั้นได้เยี่ยงไร? ผู้เข้าร่วมการประลองผู้ฝึกยุทธ์ในสำนักพวกเขามีตั้งร้อยกว่าคน! ไฉนเลยจะสุ่มจับหรงจิ้นเป็นผู้แรกได้พอดิบพอดี?”
“แหะๆ แม้จะสุ่มจับขึ้นมาได้แล้วอย่างไรเล่า? พวกเราก็มีผู้แก่กล้านี่นา! เช่นนี้ย่อมดี จะได้ค่อยๆสยบผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา นี่มิใช่เรื่องดีหรอกหรือ?”
“ย่อมมีเหตุผล ฮ่าๆๆ!”
…
ในที่สุดมือของซุนจ้งเหยียนก็ออกจากในหีบ
จับก้อนกระดาษในมือ
ผู้คนเงียบงันกันหมด จดจ้องไปที่ก้อนกระดาษอย่างใจจดใจจ่อ
ทุกคนต่างก็รู้ว่าในก้อนกระดาษนั้นเขียนชื่อผู้เข้าร่วมการประลองรอบแรกไว้!
ยามนี้ทุกคนเงียบไปชั่วเวลาหนึ่ง บรรยากาศทั้งลานประลองเริ่มตึงเครียด!
ซุนจ้งเหยียนเปิดก้อนกระดาษออกอย่างเชื่องช้า ครั้นเห็นชื่อในกระดาษ สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไป
จะเป็นไปได้อย่างไร…
มีผู้คนไม่น้อยที่สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขานั้นแปรเปลี่ยน ในใจเกิดการคาดเดากันไปต่างๆ นานา
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่…
“การประลองรอบแรกของผู้ฝึกยุทธ์แห่งงานสมาคมเยาวชน ผู้ที่จะออกมาประลองฝีมือก็คือ——”
ซุนจ้งเหยียนเงียบไปชั่วครู่ สายตามองไปทิศใดทิศหนึ่งด้วยความสับสน
“ฉู่หลิวเยว่!”