ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 197 ประมือ
“ฉู่หลิวเยว่!”
ชื่อนี้กระทบเข้าหูทุกคนอย่างชัดเจนชั่วพริบตา!
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินก็เงยหน้ามองไปโดยไม่รู้ตัว
ซุนจ้งเหยียนคลี่ก้อนกระดาษออกเรียบร้อยแล้ว เขาแสดงให้คนโดยรอบดู
คนในระยะใกล้ก็เห็นอย่างชัดเจน บนกระดาษนั้นเขียนว่า ‘ฉู่หลิวเยว่’ จริงๆ!
บนลานประลองขนาดใหญ่เงียบไปในชั่วขณะ ต่อจากนั้นก็ราวกับถ้วยน้ำถูกเทลงไปในหม้อน้ำมัน จนระเบิดกันอย่างรุนแรง!
“ฉู่หลิวเยว่? เป็นนางไปได้อย่างไร?”
“มิใช่ว่านางเพิ่งสอบเข้าสำนักเทียนลู่เมื่อช่วงก่อนเองหรือ? สุ่มจับนางได้ตั้งแต่การประลองรอบแรกได้อย่างไร?”
“แต่ก็ได้ยินมาเหมือนกันว่านางแก่กล้าสามารถ…ครานั้นยังเอาชนะฉู่เซียนหมิ่นด้วยมิใช่หรือ?
“ถึงกระนั้นนางก็เป็นแค่ศิษย์ใหม่! ข้าว่าแปดส่วนจะต้องเสียเปรียบเป็นแน่!”
ผู้คนในเมืองหลวงรู้จักฉู่หลิวเยว่แทบทั้งหมด ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักนาง ดังนั้นเมื่อได้ยินชื่อของนางในยามนี้ เหล่าคนดูก็ตกอยู่ในความโกลาหล
คนจากสำนักไท่เหยี่ยนส่วนใหญ่ล้วนทำหน้างงงวย
“ฉู่หลิวเยว่เป็นผู้ใด?”
“ไม่เคยได้ยิน…ดูเหมือนว่าการประลองเมื่อสองปีก่อนก็ไม่มีชื่อคนผู้นี้ ฟังดูเหมือนจะเป็นผู้มาใหม่?”
“ชื่อนี้…หรือจะเป็นคนของตระกูลฉู่แห่งแคว้นเย่าเฉินกัน?”
“เอ๊ะ พวกเจ้าจำไม่ได้หรือ มีข่าวเล่าลือมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้สำนักเทียนลู่รับศิษย์ใหม่ อีกอย่างยังผ่านทั้งสามศาสตร์ด้วยมิใช่หรือ? คับคล้ายคับคลาว่าจะเป็นชื่อนี้!?”
เมื่อคำพูดถูกถ่ายทอดออกมา ผู้คนต่างตกตะลึงกันไม่น้อย
แม้สามสำนักศึกษาจะไม่ได้อยู่แคว้นเดียวกันและยังอยู่ห่างไกลกันออกไป ถึงกระนั้นก็มีการจัดงานสมาคมเยาวชนทุกปี เช่นนั้นต่างฝ่ายต่างก็ให้ความสนใจเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่าย
รับศิษย์ระหว่างทางเดิมทีก็น่าสงสัยอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสอบผ่านครบทั้งสามศาสตร์ด้วยงั้นหรือ
ลูกศิษย์อีกสองสำนักต่างก็รู้เรื่องนี้มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย
ดังนั้นขณะนี้เมื่อมีคนเอ่ยขึ้นมา ทุกคนต่างก็จดจำได้
“ผู้ใดคือนาง? ข้าอยากจะรู้จักฉู่หลิวเยว่ผู้นี้นักว่าเป็นคนเช่นไรกันแน่!”
…
เมื่อเทียบกับความสงสัยใคร่รู้จนกลายเป็นที่ฮือฮาของคนอื่น ทางด้านสำนักเทียนลู่กลับสงบนิ่งกันหมด
ทุกสายตาล้วนมองมาที่ตัวฉู่หลิวเยว่
ไม่ว่าผู้ใดก็นึกไม่ถึงว่าคนที่จะมาเป็นตัวแทนสำนักศึกษาสนามแรกของการประลองจะเป็นนางไปได้!
ซือหยางอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้
“ช่างน่าเลื่อมใส! โชคชะตาของเจ้าทะลวงฟ้าเสียจริง!”
ฉู่หลิวเยว่ปรายตามองเขา ลุกขึ้นยืนอย่างตรงไปตรงมา
แม้นางจะไม่อยากออกมาเป็นคนแรก แต่ในเมื่อถูกจับได้แล้วก็ได้แต่ยอมรับ
เมื่อฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นยืนในขณะที่ลูกศิษย์สำนักอื่นกำลังนั่งกันหมดเช่นนี้ ก็ดึงดูดความสนใจจากทุกคน
กลุ่มคนที่ส่งเสียงจอแจเงียบไปในชั่วขณะ
บนตัวสาวน้อยผู้นั้นสวมอาภรณ์สำนักศึกษา ไม่แต้มหน้าทาชาด สะอาดหมดจด ผมเส้นไหมมัดขึ้นเรียบง่ายแต่กลับมิอาจซ่อนความงามบนใบหน้านั้นได้
คิ้วโก่งดั่งคันศร สันจมูกดูโดดเด่น ริมฝีปากจิ้มลิ้ม ผิวขาวเป็นยองใยยิ่งกว่าหิมะ
โดยเฉพาะดวงตาฉลาดปราดเปรียวคู่นั้น สดใสราวกับทางช้างเผือก
นางเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยกลิ่นอายบางอย่างที่วนเวียนไปทั่วทั้งกาย ทำให้คนโหยหาแต่กลับแฝงไปด้วยความสูงส่งจางๆ จนผู้คนไม่กล้าดูหมิ่น
งามล่มเมืองเป็นเช่นนี้!
“นึกไม่ถึงว่าในสำนักเทียนลู่จะมีความงาม…ที่น่าทึ่งเช่นนี้ เกรงว่าเมื่อเทียบกับซือถูซิงเฉินแล้วก็ดูจะไม่ต่างกันเลยสักนิด!”
“แค่นั้นเองหรือ? ข้าว่านางยังงามกว่าซือถูซิงเฉินสักสามส่วน รัศมีในตัวนางช่างพบเห็นได้ยากยิ่ง…”
หากว่าซือถูซิงเฉินงามราวกับดอกบัวที่ผุดกลางธารา บริสุทธิ์ผุดผ่อง ฉะนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ราวกับดวงอาทิตย์ที่ซ่อนในกลีบเมฆ ทั้งสดใสและสูงส่ง ทว่าจิตวิญญาณกลับทำให้คนเกิดความยำเกรง
หากไม่มีตัวเปรียบเทียบ ซือถูซิงเฉินก็นับว่าเป็นสาวงามเลิศหล้า แต่เมื่อเทียบกับฉู่หลิวเยว่กลับเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป จืดจางอย่างเห็นได้ชัด
ซือถูซิงเฉินก็ตกตะลึงเช่นกัน
ราวกับว่านางไม่เคยพบสาวน้อยผู้ใดที่งดงามไปกว่านาง
แท้ที่จริงแล้วเมืองหลวงแห่งแคว้นเย่าเฉินก็มีสาวงามล่มเมืองเช่นนี้อยู่จริงๆ…คนผู้นั้นต้องเคยพบพานมาก่อนเป็นแน่?
นางเม้มริมฝีปากแล้วส่ายหน้ายิ้ม คิดว่าตัวเองคงคิดมากไป
เขาไม่ใช่คนที่จะหวั่นไหวไปกับสาวงาม
…
ทุกสายตากวาดมองมาที่ฉู่หลิวเยว่ราวกับอยากจะมองนางจนทะลุ
ฉู่หลิวเยว่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เดินตรงไปข้างหน้าแล้วยืนอยู่หน้าหีบ
ซุนจ้งเหยียนส่ายหน้ายิ้ม:
“หลิวเยว่เอ๋ย…คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะจับชื่อเจ้าได้เป็นคนแรก…”
“ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องประลอง”
ฉู่หลิวเยว่กลับไม่ได้กดดันอันใด ดูผ่อนคลายอย่างไรอย่างนั้น
ผู้อาวุโสซุนสูดหายใจเบาๆ
แท้จริงเขาก็นึกประหลาดใจอยู่บ้างที่จับได้ฉู่หลิวเยว่ ทว่าในเวลาเดียวกันก็รู้สึกยินดีปรีดา
ไม่ว่าจะอย่างไร ฉู่หลิวเยว่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งในหมู่ลูกศิษย์หน้าใหม่ ย่อมแข็งแกร่งเป็นธรรมดา
ตราบใดที่คู่ต่อสู้ที่นางจับได้เป็นศิษย์ใหม่เช่นกัน ความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้ชนะย่อมสูงมาก
“คู่ต่อสู้ของเจ้า เจ้ามาจับเองเถิด”
ผู้อาวุโสซุนส่งสัญญาณมองไปที่หีบ
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะแล้วยื่นมือเข้าไปในหีบ
เหล่าลูกศิษย์สำนักไท่เหยี่ยนลุกขึ้นด้วยความประหม่าขึ้นมาทันใด!
ฉู่หลิวเยว่กระทำการอย่างรวดเร็ว หยิบก้อนกระดาษออกมาหนึ่งก้อนทันที
นางเปิดกระดาษ จากนั้นก็กางให้ทุกคนดู:
“เหลยหมิงเวย!”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ลูกศิษย์สำนักไท่เหยี่ยนก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมา
“เหลยหมิงเวย! เป็นเหลยหมิงเวย!”
“ช่างดีอะไรเช่นนี้! เป็นศิษย์พี่เหลย!”
“เชื่อแล้วๆ! ประลองครั้งนี้มั่นใจได้แล้ว!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทางดีอกดีใจ ฉู่หลิวเยว่ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
เหลยหมิงเวยผู้นี้มีฝีมือเก่งกาจอย่างไรกันแน่ พวกเขาถึงได้วางใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังมั่นใจว่าจะชนะ?
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เห็นหนุ่มน้อยรูปร่างสูงใหญ่ที่นั่งแถวหน้าสุดลุกขึ้นยืน
บอกว่าเป็นหนุ่มน้อย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสิบแปดสิบเก้าเข้าไปแล้ว เรียกว่าชายหนุ่มดูจะเหมาะกว่า
รูปร่างสูงใหญ่ของเขาค่อนข้างกำยำคล้ายภูเขาขนาดย่อม กล้ามเนื้อปูดโปนบนลำตัวเผยออกมาเป็นมัดๆ พรั่งพร้อมไปด้วยพลังสยบ
มือทั้งสองข้างกำหมัดแล้วกระแทกอย่างแรง หัวเราะยกใหญ่:
“ฮ่าๆ! ไม่นึกเลยว่าข้าจะลงลานประลองเป็นคนแรก! ถูกรางวัลจริงเชียว!”
ทุกคนดูออกว่าเขาดีใจมากจริงๆ
เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวเขาแผ่รังสีนักสู้มาเต็มเปี่ยมตั้งแต่หัวจรดเท้า!
ลูกศิษย์สำนักบางคนที่อยู่ข้างเขาก็หัวเราะขึ้นมา
“เหล่าเหลย คราวก่อนเจ้าอยากลงประลองเป็นคนแรก ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว! เจ้าจงแสดงฝีมือให้ดีล่ะ!”
“ใช่แล้ว! ถึงอย่างไรก็ต้องชนะการประลองอย่างสวยงาม!”
“ศิษย์พี่เหลย ท่านอย่าได้ยั้งไมตรีเพียงเพราะเห็นแม่นางผู้นั้นมีหน้าตาสะสวยแล้วกัน!”
เหลยหมิงเวยหัวเราะแล้วตำหนิไปหนึ่งคำ:
“ไสหัวไป!”
ในใจเขา ชัยชนะถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!
พูดจบก็สาวเท้าก้าวเดินไปที่ลานประลอง
“เหลยหมิงเวยจากสำนักไท่เหยี่ยน เข้าสู่ลานประลอง”
ฉู่หลิวเยว่ยกมุมปาก
เหมือนว่าเขาจะตั้งตารอคอยการประลองครั้งนี้จริงๆ นางยังไม่ทันขยับ เขาก็ขึ้นลานประลองไปก่อนแล้ว
หลายคนในสำนักเทียนลู่เผยสีหน้าเป็นกังวล
“นั่นเหลยหมิงเวยที่เกิดมาพร้อมกับพลังศักดิ์สิทธิ์นี่ ปีที่แล้วบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ไปแล้ว เกรงว่าหลิวเยว่จะเสียเปรียบเมื่อประลองกับเขา”
“คาดว่าพวกเราคงแพ้การประลองแรกไปเสียแล้ว…”
เมื่อมู่หงอวี๋ได้ยินน้ำเสียงหดหู่เหล่านี้ก็ทำหน้าไม่สบายใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นทันทีแล้วตะโกนไปว่า
“หลิวเยว่! ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องชนะ!”
“ใช่! จัดการมันเสีย!”
เฉินหู่ก็ตะโกนตาม
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มลึกที่มุมปาก พูดเพียงว่า “วางใจได้”แล้วเดินมุ่งไปบนลานประลอง
ทั้งสองประจันหน้าจากที่ไกลๆ
เหลยหมิงเวยลอบมองเธอแล้วหัวเราะดังๆ
ผอมบางร่างน้อยเช่นนี้ เกรงว่ายามเขาซัดหมัดไปจะซัดจนตัวปลิว!
“แม่นางน้อย เจ้ายอมแพ้เสียตั้งแต่บัดนี้ยังทัน!”