ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 198 ไหวพริบ
“ประโยคนี้ข้าขอคืนให้เจ้าดังเดิมโดยไม่แตะต้อง ถ้าหากเจ้ายอมแพ้เสียตั้งแต่บัดนี้ ข้าปล่อยเจ้าไปก็ได้”
ฉู่หลิวเยว่เชิดคางโดยไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด
รอยยิ้มบนใบหน้าเหลยหมิงเวยแข็งกระด้าง
“แม่นางน้อย เจ้าอายุไม่เท่าไหร่แต่กลับมีความกล้าไม่น้อย ยามนี้ยังสำแดงฤทธิ์เดชได้ แต่อีกประเดี๋ยวคงไม่เสียใจภายหลังหรอกกระมัง?”
ฉู่หลิวเยว่มักไม่มีน้ำอดน้ำทนกับคนที่มีความมั่นใจอย่างอธิบายไม่ถูกประเภทนี้
“เริ่มได้!”
เหลยหมิงเวยขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าแม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้าออกจะบ้าระห่ำไปหน่อย
ได้ยินว่าตอนนั้นนางสอบเข้าสำนักเทียนลู่โดยสอบผ่านทุกศาสตร์วิชา จึงทะนงตนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
แต่อย่างไรก็ตามผู้มีพรสวรรค์มากมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นเลิศ
โดยเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ที่อาศัยพละกำลังในการต่อสู้ ไม่มีที่สำหรับเล่นกลอุบายเลยสักกระผีก
เกรงว่าฉู่หลิวเยว่ผู้นี้จะได้ใจจนลืมตัว!
“เอาล่ะ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มา ‘ประมือ’ กันสักตั้ง! แม่นางน้อย มีประโยคหนึ่งที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้หลักการนี้เอง!”
หลังจากพูดจบ เหลยหมิงเวยก็แยกขาคู่นั้นแล้วย่อเข่าลงเล็กน้อย พลังภายในถ่ายเทเข้าไปในหมัดด้วยความรวดเร็ว!
ครู่ต่อมาเขาถีบเท้าทั้งสองข้างเหาะพุ่งมาทางฉู่หลิวเยว่!
หมัดที่ใหญ่เท่าชามยักษ์นั้นแกร่งกล้าและหนักแน่นด้วยลูกหมัดวายุ! พุ่งตรงไปที่หน้าฉู่หลิวเยว่!
“หมัดผ่าสุริยัน!”
พละกำลังผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่มิอาจดูแคลนได้ง่าย ลูกหมัดนี้พุ่งไปตรงๆ โดยไม่มีลูกไม้ใดๆ แต่กลับทำให้คนสัมผัสได้ถึงพลังลมหนาว!
ความเร็วของเขาเป็นไปอย่างว่องไว ระยะห่างระหว่างทั้งสองหดสั้นภายในเวลาอันรวดเร็ว ภายในชั่วพริบตาก็มายืนอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่แล้ว!
มองจากสายตาจะเห็นว่าหมัดนั้นกำลังฟาดไปที่หน้าฉู่หลิวเยว่!
แต่อย่างไรก็ตามฉู่หลิวเยว่กลับไม่ได้ถอยหนีแต่อย่างใด ในทางกลับกันนางยังยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้นราวกับวางแผนสู้กันซึ่งๆหน้า!
คนของสำนักไท่เหยี่ยนเหมือนกำลังดูเรื่องสนุก
“หมิงเวยนี่ก็จริงๆ ทันทีที่ลงมือก็ไม่ปรานีเลย ถ้าเกิดสู้จนแม่นางน้อยบาดเจ็บพิการจะทำอย่างไร?”
“หมัดผ่าสุริยันเป็นหนึ่งในกระบวนท่าที่เขาชำนาญที่สุด นำกระบวนท่านี้มาใช้ทันทีก็คงเพราะไม่อยากเสียเวลา ต้องการชนะการประลองรอบนี้ไปเลยกระมัง?”
“พูดก็ถูก ถึงอย่างไรก็เป็นรอบแรก ชนะอย่างสวยงามถึงจะถูก!”
“ฉู่หลิวเยว่นั่นช่างหยิ่งยโสโอหัง เกรงว่าอีกประเดี๋ยวคงยิ้มไม่ออกแล้วสิ!”
บรรยากาศสำนักเทียนลู่ในอีกมุมหนึ่งกลับอยู่ในอารมณ์กดดันอย่างยิ่งยวด ทุกคนมีสีหน้าหนักใจกันเกือบหมด
หากฉู่หลิวเยว่แพ้ อย่าว่าแต่ขายขี้หน้าเลย มันยังเป็นการทำลายขวัญกำลังใจของพวกเขาอย่างใหญ่หลวง!
“นางเป็นอะไรไปแล้วเล่า? ไม่ขยับเลย? หรือว่าคิดจะประมือกับเหลยหมิงเวยซึ่งๆ หน้า?”
“เหลยหมิงเวยเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เชียวนะ! แม้นางจะได้ที่หนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์ในการสอบกลางภาค นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้เขาได้!”
“เฮ้อ! กลัวก็แต่ว่าวันนี้จะอันตรายแล้วสิ…”
…
ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ถึงพลังหมัดวายุอันแสนดุดันได้อย่างแจ่มชัด รวมถึงอานุภาพที่แฝงอยู่ในร่างผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ที่ยิ่งทำให้คนรู้สึกได้ถึงแรงบีบคั้น
พละกำลังของนางในตอนนี้คาดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม หากอยากเอาชนะเหลยหมิงเวยผู้นี้จำต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม
เมื่อเหลยหมิงเวยเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ขยับเขยื้อนก็แอบยิ้มย่องภายในใจ
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าฉู่หลิวเยว่ผู้นี้มั่นอกมั่นใจมาจากที่ใดกันแน่ นึกไม่ถึงว่านางจะคิดว่าตนสามารถเอาชนะเขาได้!
ทันทีที่ปล่อยหมัดออกไป การประลองก็จะจบลง!
แต่อย่างไรก็ตาม ขณะที่หมัดของเขาเกือบจะร่วงลงไปนั้น คาดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะหายวับไปกับตา!
เหลยหมิงเวยสะดุ้ง
“ข้าอยู่นี่”
เสียงผู้หญิงใสแจ๋วลอยมาคล้ายกับว่ายังแฝงด้วยน้ำเสียงหยอกล้ออยู่หลายส่วน
เหลยหมิงเวยหันหน้าไปทันที แต่กลับพบว่าฉู่หลิวเยว่ย้ายไปที่อื่นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่!
หัวเขางงงวยไปชั่วครู่
เมื่อครู่นี้ เมื่อครู่นี้ฉู่หลิวเยว่ไปที่นั่นได้อย่างไร?
นางเคลื่อนไหวไวจนเกินไป เขามองไม่ชัดเลย!
ทว่า…
“เจ้าคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งมิใช่หรือไร!?”
เหลยหมิงเวยตกใจมากจนอดไม่ได้ที่เอ่ยขึ้นมา
“ใช่แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ายอมรับโดยไม่สะทกสะท้าน
ในใจเหลยหมิงเวยกลับเกิดความคลางแคลงใจอยู่หลายส่วน
ยามที่เขาก้าวเข้ามาลานประลองก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายรอบตัวฉู่หลิวเยว่เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตา
อย่างไรก็ตามผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร?
“เจ้าหลอกลวง!”
ฉู่หลิวเยว่แบมือ!
“มีอะไรให้หลอกลวงกันเล่า? ไม่เชื่อเจ้าก็ลองไปถามสหายเรียนกับอาจารย์ในสำนักดูสิ ดูซิว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งหรือไม่”
ทุกคน “…”
ดูเหมือนว่าจะใช่จริงๆ…
เพียงแต่ว่าฉู่หลิวเยว่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งที่สามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามได้
เมื่อเห็นผู้คนยอมรับไปโดยปริยาย เหลยหมิงเวยก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ
เขาก็สัมผัสได้ว่าฉู่หลิวเยว่พูดความจริง
แต่ความไวของนางนั้น…
เหลยหมิงเวยกัดฟัน โคจรพลังภายใน ลมปราณรอบตัวพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง!
ก่อนหน้านี้เขาใช้พลังภายในไปเพียงห้าส่วน ดูเหมือนว่าเวลานี้…
“เฮอะ!”
เหลยหมิงเวยร้องเสียงเฮอะแล้วพุ่งตัวไปทางฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง!
ครานี้ความเร็วและพละกำลังของเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมขึ้นมาก!
แต่ก็ไม่เห็นว่าฉู่หลิวเยว่จะเคลื่อนไหวแต่อย่างใด นางหลบเลี่ยงอีกครั้งอย่างเบามือ
หมัดที่สองของเหลยหมิงเวยคว้าน้ำเหลวอีกครั้ง!
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้ว
“หมัดนี้ของเจ้า ออกตัวช้าไปหน่อยใช่หรือไม่?”
ประโยคนี้จุดไฟโทสะในใจเหลยหมิงเวยได้สำเร็จ!
ผู้คนที่ล้อมรอบที่กำลังชมการต่อสู้ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
โดยเฉพาะทางฝั่งสำนักไท่เหยี่ยน เดิมทีก็เตรียมพร้อมเฉลิมฉลองกันเรียบร้อยแล้ว แต่ยามนี้เห็นแล้วว่าฉู่หลิวเยว่รับมือได้ไม่ง่าย!
เช่นนี้จึงทำให้พวกเขาอดกระดากอายไม่ได้เล็กน้อย
ใบหน้าเฉิงหานแปรเปลี่ยนเป็นแข็งเกร็งหน่อยๆ
“ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ใช้ท่าร่างใดกัน ดูไม่ออกเลยจริงๆ…”
ซือถูซิงเฉินได้ยินดังนั้นก็มองเขาด้วยความตกใจ
“อาจารย์ แม้แต่ท่านก็ดูไม่ออก?”
นางรู้ว่าฉู่หลิวเยว่สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีจากเหลยหมิงเวยได้เพราะท่าร่าง แต่กลับไม่คิดว่าอาจารย์ที่มีความรู้กว้างขวางก็ไม่รู้เหมือนกัน?
เฉิงหานส่ายหน้า
“ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร แต่จังหวะฝีเท้าเบาดั่งเมฆเหินน้ำไหล เห็นได้ว่าเป็นท่าร่างขั้นสูงยิ่ง…”
ถึงขนาดที่ว่าวิจิตรงดงามยิ่งกว่าที่เขาเคยพบเห็นมา!
และที่สำคัญไปกว่านั้นคือการฝึกท่าร่างใดๆ ล้วนต้องใช้เวลายาวนานหลายปีในการฝึกฝน ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้อายุน่าจะไม่ถึงสิบสี่สิบห้าด้วยซ้ำ แต่กลับดูคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติจนน่าทึ่ง!
สำนักเทียนลู่รับศิษย์เช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน?
ซือถูซิงเฉิงขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววสงสัยเล็กน้อย
เฉิงหานเห็นแบบนี้ก็หัวเราะฮ่าพลางกล่าวด้วยความโล่งอก
“เจ้าวางใจได้ นางมีพรสวรรค์ในด้านผู้ฝึกยุทธ์ เช่นนั้นทางด้านปรมาจารย์กับหมอเทวดาคงไม่เอาไหนแน่ๆ เจ้าเป็นหมอเทวดา ไม่จำเป็นต้องเก็บคนเช่นนี้มาใส่ใจ”
ซือถูซิงเฉิงผงกหัวเบาๆ
…
บนลานประลอง เมื่อเหลยหมิงเวยคว้าน้ำเหลวหลังจากออกกระบวนท่าถึงสองครั้งติดต่อกัน ก็ไม่มีสีหน้ากระหยิ่มใจอย่างที่เผยออกไปก่อนหน้าแล้ว
สายตาจับจ้องฉู่หลิวเยว่พลางครุ่นคิด
“ดูไม่ออกเลยว่าเจ้ายังมีไหวพริบอีกด้วย! แต่ว่านี่คือการประลอง หรือว่าเจ้าจะหลบหลีกอยู่ร่ำไป!?”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะคิกคักแล้วเอ่ยว่า
“ที่เจ้าว่ามาก็มีเหตุผล ในเมื่อเจ้าลงมือมาสองหนแล้ว เช่นนั้นครั้งนี้ก็ควรจะเป็นตาข้า”
เหลยหมิงเวยผงะ
“เช่นใดนะ?”
ฉู่หลิวเยว่ซ้อนมือทั้งสองข้าง ขยับข้อมือครู่หนึ่ง ได้ยินเพียงเสียงคมชัด
“ใช้ไวพริบเพื่อรับมือเจ้า…ก็พอแล้ว!”
เสียงพูดหายไปได้ไม่นานนางก็กระดกปลายเท้า ร่างเพรียวบางอันแสนปราดเปรียวเหาะขึ้นไปในชั่วพริบตา!
ครู่ต่อมา มือของนางก็คว้าข้อมือเหลยหมิงเวยอย่างชาญฉลาด!
มือเด็กสาวทั้งบางและอ่อนนุ่ม รู้สึกละมุนเมื่อได้สัมผัส
กระนั้นเหลยหมิงเวยกลับเกิดอาการตื่นตระหนก
เขาพลิกมือหมายจะถอยออกไป!
ฉู่หลิวเยว่ตามไปด้วยความว่องไว! ในเวลาเดียวกันก็ลงมือหักมือเขา!
กรอบ!
ข้อมือเหลยหมิงเวยหักโดยพลัน!