ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 200 กริช
บนลานประลอง เด็กสาวร่างบางยืนไม่ประสีประสา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
สายลมพัดผ่าน อาภรณ์ปลิดปลิว
ดูเหมือนภาพวาดโดยแท้จริง พร่างพราวกินใจผู้คน
หากไม่มองเหลยหมิงเวยที่สลบไสลไปด้วยใบหน้าจมเลือดคงเป็นฉากที่สุขตาสุขใจแท้ๆ
ภายในลานประลองเงียบสงัด
คล้ายว่าผู้คนจะไร้สุ้มเสียงไปชั่วขณะ ยามมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งยวด
ฉู่ ฉู่หลิวเยว่นาง…เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ! ?
“หือ?”
ฉู่หลิวเยว่ส่งเสียงถามเบาๆ
ในที่สุดอาจารย์ผู้รับผิดชอบเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดก็รู้สึกตัว เขาเหลือบมองเหลยหมิงเวยที่หมดสติโดยหมดปัญญาที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งอย่างอึ้งทึ่ง กลืนน้ำลายก่อนจะหาเสียงตัวเองกลับมา :
“การประลองรอบที่หนึ่ง ผู้ชนะได้แก่…ฉู่หลิวเยว่จากสำนักเทียนลู่!”
เสียงฉะฉานและมีพลังกึกก้องไปในชั่วขณะ!
ผู้ชนะ!
สำนักเทียนลู่!
ฉู่หลิวเยว่!
เสียงกระทบเข้าไปในหูทุกคนอย่างชัดถ้อยชัดคำ!
ผู้ที่ยังสับสนไม่อยากจะเชื่อก่อนหน้านี้ราวกับตื่นจากฝันในที่สุด
การประลองงานสมาคมเยาวชนรอบแรก คาดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะสู้เหลยหมิงเวยจนชนะ!
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่!
แม้พวกเขาจะเห็นเรื่องราวทั้งหมดด้วยตาตัวเองจนถึงขนาดที่ว่าเหลยหมิงเวยยังนอนหมดสติอยู่บนพื้นในขณะนี้ แต่ทว่าข้อเท็จจริงเป็นที่น่าตกใจเกินไป หลังจากผ่านไปได้ไม่นาน ผู้คนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความเงียบ
“ชนะแล้ว! หลิวเยว่! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นคนเก่ง!”
เสียงกรีดร้องแห่งความตื่นเต้นดีใจดังขึ้นมาในบัดดล!
มู่หงอวี๋กระโดดลุกจากที่นั่ง เต็มไปด้วยความปีติยินดีจนเกือบกระดอนออกมา!
“ทำได้ดีมาก!”
เสียงนี้ทำเอาคนของสำนักเทียนลู่มีปฏิกิริยาขึ้นมา
…ชนะแล้ว! ฉู่หลิวเยว่ชนะแล้ว! นั่นไม่เท่ากับว่าสำนักเทียนลู่ของพวกเขาชนะแล้วหรอกหรือ ! ?
เสียงรื่นเริงปลาบปลื้มยินดีราวกับน้ำทะลักมา!
“พวกเราชนะแล้ว! พวกเราชนะแล้ว!”
“รอบแรก ชนะได้อย่างสวยงามอีกด้วย!”
“สวรรค์ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นด้วยตาตนเอง ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ได้?”
“ฮ่าๆๆ! ตอนนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ชนะฉู่เซียนหมิ่นที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามได้ พอมาตอนนี้ชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ มันก็ปกติอยู่แล้วนี่นา! ฮ่าๆๆ!”
“ก่อนหน้าข้ายังคิดว่าที่นางได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งเป็นเหตุบังเอิญ ตอนนี้…ข้าน้อมรับ!”
แม้ทุกคนจะไม่ค่อยรู้จักฉู่หลิวเยว่เท่าใดนักไปจนถึงมีอคติอยู่บ้าง แต่เวลานี้นางคว้าชัยชนะแล้ว ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับสำนัก พวกเขาก็พลอยเกาะแสงไปด้วย แน่นอนว่าย่อมยินดีเสียเต็มประดา
นับตั้งแต่ฉู่หลิวเยว่เข้ามาในสำนัก ความสงสัยที่ซ่อนอยู่ในตัวนางก็มลายหายไปในที่สุดหลังจากที่การประลองรอบแรกจบลงอย่างสวยงาม!
บางทีอาจเป็นเหตุบังเอิญที่สามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามได้ แต่ทว่าการเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่และพ่วงด้วยระดับกลาง นี่ก็เป็นการพิสูจน์ฝีมือนางได้อย่างดี!
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนอันดุเดือด ฉู่เซียนหมิ่นก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเอาเป็นเอาตาย วาดหวังว่าคนผู้นั้นที่ยืนอยู่บนลานประลองในตอนนี้คือตัวนาง
มือของนางลูบคอตัวเองโดยไม่รู้ตัว รอยแผลเป็นหยาบกร้านยังคงคอยย้ำเตือนนาง ฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมที่นางจะข่มเหงได้เหมือนแต่ก่อน
จู่ๆก็ เกิดรู้สึกไร้พลังซาซัดเข้ามาในใจ
นางไม่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่ตามนางทันตั้งแต่เมื่อใด อีกทั้งยังทิ้งนางให้อยู่ข้างหลังไปไกลโข
สำนักเทียนลู่กำลังเฉลิมฉลองกันทั้งสำนัก มีเพียงพื้นที่เล็กๆ บริเวณหน้าสุดที่ต่างออกไปเล็กน้อย
…หรงจิ้นอยู่ตรงนั้น
ผู้คนที่นั่งรอบข้างเขาไม่กี่คนนั้นต่างก้มหน้าก้มตาด้วยความละอายแก่ใจ หวังลดความมีตัวตนของตัวเองให้ได้น้อยที่สุด
ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าฉู่หลิวเยว่เคยเป็นว่าที่พระชายาของหรงจิ้นมาก่อน ท้ายที่สุดเขายังเป็นฝ่ายเอ่ยปากยกเลิกสัญญาอภิเษกสมรสก่อน
เพียงชั่วพริบตา ฉู่หลิวเยว่ไม่เพียงแต่ไม่ใช่คนไม่เอาถ่าน ในทางกลับกันยังกลายเป็นยอดอัจฉริยะที่เฉิดฉายที่สุด
ใครจะมีความสุขได้เมื่อพบเจอเรื่องเช่นนี้?
หรงจิ้นมองไปยังเด็กสาวที่อยู่บนลานประลองผู้นั้นด้วยความว้าวุ่นใจ
นางเงยหน้ามองมาทางนี้ด้วยรอยยิ้มอันสดใสราวกับได้ยินเสียงยินดีทางด้านนี้
งดงามหยาดเยิ้ม สว่างเจิดจ้าดุจดวงสุริยา เป็นดั่งเช่นนี้เอง
ในใจหรงจิ้นราวกับโดนของหนักกระแทก
เขาได้ยินเหมือนมีข้าศึกกำลังบุกยึดอยู่ในส่วนลึกของหัวใจอย่างไรอย่างนั้น
คล้ายกับว่าเป็นสัญญาณอันตรายบางอย่าง แต่เขากลับไม่มีกำลังพอจะสู้
ถ้าหาก…สัญญาการอภิเษกสมรสของพวกเขายังอยู่ เช่นนั้น รอยยิ้มของนางก็ย่อมเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว…
เมื่อตระหนักได้ว่าตนกำลังคิดสิ่งใดอยู่ หรงจิ้นจึงกลับมาได้สติทันที เขาส่ายหัวแล้วขจัดความคิดนี้ออกไป
แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ความคิดนั้นก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ…
…
ผู้อาวุโสซุนลูบเคราด้วยความโล่งอก หินก้อนใหญ่ในใจวางลงได้ในท้ายที่สุด
หลิวเยว่ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ!
มิน่าล่ะถึงไม่รับอาจารย์อาเป็นศิษย์ตั้งแต่แรก ที่แท้ก็หวงพรสวรรค์นี่เอง
มีลูกศิษย์เช่นนี้ มิใช่ว่าเป็นความโชคดีของผู้เป็นอาจารย์หรอกหรือ?
เขาหัวเราะ “หลิวเยว่ การประลองรอบแรกได้สิ้นสุดลงแล้ว เจ้าลงไปพักก่อนเถอะ ชื่อของเจ้าต้องนำกลับไปวางในหีบอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจมีการประลองครั้งที่สองที่สามหรือมากกว่านั้น เตรียมพร้อมให้ดี!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มจนตาโค้ง
“เจ้าค่ะ ขอบคุณผู้อาวุโสซุน”
หลังจากพูดจบ นางก็สาวเท้าไปหากริชของตัวเอง
เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็หันกลับมาคุยกับคนสำนักไท่เหยี่ยน:
“จริงสิ เมื่อครู่ข้ายั้งแรงเตะไปหลายส่วน ไม่ถึงแก่ชีวิตหรอก พวกเจ้าแค่พาเขาลงไปพักสักครึ่งเดือนก็ดีขึ้นแล้ว งานสมาคมเยาวชนรู้หนักเบา มิตรภาพเป็นหนึ่ง การประลองเป็นสอง! ข้าจำได้!”
คำพูดนี้ทำเอาคนสำนักไท่เหยี่ยนแทบกระอักเลือด
ยั้งแรงไปหลายส่วน!?
เจ้าทำคนจนมีสภาพเช่นนี้ เจ้ายังถ่อมตัวบอกว่ารู้หนักเบา?
มิตรภาพเป็นหนึ่ง การประลองเป็นสองอะไรกัน เหลวไหลทั้งนั้น!
ทุกคนต่างมีสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้ ช่างน่าสนใจนัก!
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างบอกว่าพวกเขาจะต้องชนะการประลองรอบนี้ แต่ผลออกมากลับเป็นเสียอย่างนี้! เหมือนกับตบหน้าพวกเขาดังเพี๊ยะ!
ใบหน้าเฉิงหานไม่ได้มีอารมณ์พิลึกเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เขาโมโหยิ่งกว่าเดิม
“ยังไม่รีบไปพาเหลยหมิงเวยกลับมาอีก!”
“ขอ ขอรับ!”
คนที่อยู่ด้านข้างกุลีกุจอรีบไปยกเหลยหมิงเวยลงมา
ทางฝั่งสำนักไท่เหยี่ยนเงียบด้วยความอับอายไปทั้งแถบ
ซุนจ้งเหยียนประสานมือคำนับให้เฉิงหานพลางหัวเราะ
“สหายเฉิงหาน ขอบคุณที่ออมมือ! แค่เปิดประลองก็มีสีสันถึงเพียงนี้แล้ว คาดว่างานสมาคมเยาวชนปีนี้จะต้องมีสีสันเพิ่มไปอีกแน่ๆ! ท่านว่าใช่หรือไม่?”
เฉิงหานรู้สึกเหมือนกินแมลงวัน สะอิดสะเอียนไปทั้งเนื้อทั้งตัวจนแทบทนไม่ไหว
เห็นได้ชัดว่าซุนจ้งเหยี่ยนคุยโวโอ้อวด!
แต่เขากลับตอบโต้ไม่ได้สักกะอย่าง…ผู้ใดให้พวกเขาแพ้เล่า!
“หึๆๆ สหายจ้งเหยียนพูดก็ถูก การแสดงดีดียังมีช่วงท้าย!”
อย่างไรเสียเฉิงหานก็คุ้นชินกับการประลองใหญ่มาแล้ว เวลานี้เขาได้เผยรอยยิ้มไปหลายส่วน ตอบอย่างมีมารยาท
ซุนจ้งเหยียนฟังออกว่าในคำพูดเขาแฝงไปด้วยคำเหยียดหยามแกมยกตนข่ม แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกรู้สา
การประลองแรกก็แพ้เสียไม่น่ามองเช่นนี้ ช่วงท้ายจะต้องส่งผลต่อขวัญกำลังใจเป็นแน่
สำนักไท่เหยี่ยนคิดภาพไว้สวยงามเหมือนปีก่อนย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว!
…
ฉู่หลิวเยว่เดินไปแล้วก้มตัวดึงกริชออกมา
เมื่อเห็นรอยแตกที่ถูกแทงบนพื้น นางก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
กริชที่หรงซิวฝนด้วยตัวเองช่างดีเสียจริง แก่กล้ายิ่งกว่าที่นางคาดไว้เสียอีกแน่ะ…
นางพลิกมือเก็บกริชไว้แล้วเดินลงลานประลอง
อีกด้านหนึ่ง ซือถูซิงเฉินกลับถลึงตาขึ้นทันทีเมื่อเห็นลวดลายที่ปรากฏบนตัวกริชเล่มนั้น
กริชนั่นคือ…