ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 201 แพ้อีกครั้ง!
ซือถูซิงเฉินแทบทนไม่ไหวที่จะลุกขึ้น สายตาจับจ้องไปยังกริชในมือฉู่หลิวเยว่
“ซิงเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป?”
เฉิงหานที่อยู่ด้านข้างมองนางด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่ค่อยเห็นซือถูซิงเฉินมีสีหน้าเช่นนี้บ่อยนัก
“เอ๊ะ? อะไรนะ?”
ซือถูซิงเฉินรู้สึกตัวอย่างแรง นางมองเฉิงหานปราดหนึ่งก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองเสียอาการเล็กน้อย จึงกลับไปนั่ง
“เปล่า เปล่าเจ้าค่ะ…”
เฉิงหานเป็นอาจารย์ของนาง และเป็นผู้ที่รู้จักนางเป็นที่สุด ด้วยกิริยาเช่นนี้เขาจะไม่เข้าใจได้เยี่ยงไร?
“เจ้ากำลังมองสิ่งใดอยู่น่ะ?”
เฉิงหานทอดมองไปตามสายตานาง กลับเห็นเพียงแผ่นหลังฉู่หลิวเยว่ที่ลงเวทีประลอง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฉู่หลิวเยว่นั่นพิลึกไปหน่อย เจ้าเห็นสิ่งใดหรือ?”
ซือถูซิงเฉินรู้ว่าอาจารย์ไม่ได้คุยเรื่องเดียวกับตน ทว่าตอนนี้นางเองก็อธิบายไม่ได้ จึงได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน
“…ไม่มีนี่เจ้าคะ ข้าเพียงแต่ตกใจเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อครู่กริชเล่มนั้นเหมือนจะตอกอยู่บนพื้น…ศิลาหยกขาวที่แข็งมากและยังเป็นวัตถุที่ไม่เคยทิ้งร่องรอยบนพื้นผิว ไม่นึกเลยว่าฉู่หลิวเยว่จะมีกริชที่คมกริบเช่นนี้ บางที…อาจจะไม่ใช่ของธรรมดา”
เฉิงหานก็คิดว่าพอมีเหตุผลอยู่บ้างหลังจากที่ได้ยิน ลูบเคราตัวเอง :
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก ฉู่หลิวเยว่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง แต่เมื่อครู่ที่ผ่านมานางกลับขัดขวางการโจมตีของเหลยหมิงเวยได้ทันท่วงที กริชของนางเล่มนั้นคงช่วยได้ไม่น้อย เพียงแต่ว่าเมื่อครู่นางลงมือเร็วเกินไป พวกเราอยู่ไกลไปหน่อยจึงดูอะไรไม่ออกเลย”
หากมีโอกาสตั้งใจดูอีกสักรอบ บางทีอาจจะเห็นความเป็นมาเป็นไปได้บ้าง
เมื่อเห็นว่าซือถูซิงเฉินจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เฉิงหานก็นึกสงสัย
“ซิงเฉิน เจ้าเป็นหมอเทวดา นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แม้จะเป็นการประลอง แต่พวกเจ้าก็ไม่เจอกันหรอก เหตุใดอาจารย์ถึงเห็นว่าเจ้าสนใจเจ้ากริชเล่มนั้น?”
ซือถูซิงเฉินยิ้มเกร็ง
“ข้าก็แค่สงสัยนิดหน่อย อาจารย์ไม่ต้องกังวล”
เฉิงหานจึงผงกหัว
ศิษย์ของเขามีภูมิหลังสูงส่ง พรสวรรค์ล้ำเลิศ ไม่มีสิ่งใดไม่ดี
เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้อาจจะแค่นึกสงสัยเพียงเท่านั้น
……
ฉู่หลิวเยว่ลงจากลานประลองก็ได้รับการต้อนรับจากคนของสำนักเทียนลู่อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมานั่งที่นั่งตัวเอง ถอนหายใจเบาๆ
“เฮ้อ…ทุกคนก็ตื่นเต้นเกินไป!”
“แหะแหะ หลิวเยว่ ตอนนี้เจ้าเป็นถึงคนสำคัญของสำนักพวกเราแล้วนะ!” ซือหยางมาข้างหน้าด้วยใบหน้าเลื่อมใส “เหลยหมิงเวยนั่นเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางขั้นสี่ คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเอาชนะเขาได้! ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
เดิมทีพวกเขาต่างก็คิดว่าการประลองรอบนี้จะต้องแพ้แน่ๆ แต่ใครจะคิดเล่าว่าฉู่หลิวเยว่จะชนะ! ชิงศักดิ์ศรีของสำนักเทียนลู่กลับมาได้โดยไม่ทันตั้งตัว!
ฉู่หลิวเยว่หลุดหัวเราะ
“เจ้ากล่าวเกินจริงไปหรือไม่?”
“จริงแท้แน่นอน! ไม่เชื่อเจ้าก็ถามพี่…”
ซือหยางกล่าวได้เพียงครึ่งก็รีบหุบปากทันที เขามองพี่ใหญ่ที่ทำหน้าเงียบขรึมอยู่ข้างๆตน แทบทนไม่ไหวที่จะกัดลิ้นตัวเอง
ในทางกลับกันซือถิงกลับเป็นตัวของตัวเอง พยักหน้าให้ฉู่หลิวเยว่
“ยินดีด้วย”
ฉู่หลิวเยว่ก็หัวเราะเบาๆ :
“ขอบใจ”
ถึงกระนั้นก็ได้พูดออกไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีอะไร
ซือหยางเห็นคนทั้งสองไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใดจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบเปลี่ยนหัวข้อ
“เจ้าไม่รู้หรือไร? ผลแพ้ชนะการประลองแรกของงานสมาคมยาวชนส่งผลต่อการประลองของเหล่าศิษย์สำนักในเวลาต่อมาอย่างยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็นับว่าเปิดตัวได้ดีและค่อนข้างยอดเยี่ยม ทุกคนยอมรับในตัวเจ้าแน่นอน!”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ นางเพียงยิ้มมุมปาก
“นี่แค่เริ่มต้น การประลองหลังจากนี้จะยิ่งดุเดือดขึ้น”
และนาง ก็มีโอกาสถูกสุ่มจับเป็นคนต่อไปมากที่สุด
ทว่าถ้าหากต้องการคว้าอันดับหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ากระบวนการนี้ก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่น้อย
นางยังต้องฟื้นฟูพลังภายในเสียก่อน
การประลองครั้งต่อไปเป็นการประลองระหว่างสำนักไท่เหยี่ยนและสำนักหนานเฟิง
คนสำนักไท่เหยี่ยนที่ถูกจับขึ้นมาได้เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงคนหนึ่ง ‘จย่าอี่หมิง’
ส่วนคู่ต่อสู้จากสำนักหนานเฟิงที่ถูกจับขึ้นมาได้คือเด็กสาวรูปร่างผอมเพรียว หน้าตาสะสวยเย็นชา ‘หลิ่วอินอิน’
ทั้งสองล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ฝีไม้ลายมือสูสีกัน
คนของสำนักไท่เหยี่ยนยิ่งนานก็ยิ่งประหม่าขึ้นเรื่อยๆ หวังแค่ว่าครั้งนี้จะต้องชนะ!
การประลองรอบแรกก็แพ้อย่างน่าอนาถพออยู่แล้ว ถ้าหากการประลองรอบสองยังแพ้อยู่ล่ะก็ ศักดิ์ศรีพวกเขาคงหายเกลี้ยงไปแล้วจริงๆ!
อย่างไรก็ตามสำนักหนานเฟิงกลับมองสำนักไท่เหยี่ยนอย่างตลกขบขัน กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเอาชนะการประลองรอบนี้เพื่อเหยียบหน้าสำนักไท่เหยี่ยนแรงๆสักครา
ทั้งสองฝ่ายขึ้นลานประลองด้วยบรรยากาศเคร่งเครียด พร้อมที่จะปะทุได้ทุกเมื่อ!
ในที่สุดสำนักเทียนลู่ก็ค่อยๆสงบลง ย้ายความสนใจมองไปที่บนลานประลอง
ฉู่หลิวเยว่ผ่อนคลายเล็กน้อย
นางย้ายสายตามองไปทางสำนักไท่เหยี่ยนพลางหรี่ตาลง
ตอนที่นางลงจากเวทีประลองเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา นางรู้สึกถึงการจ้องมองที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
หากเดาไม่ผิด ดูเหมือนว่า…จะเป็นซือถูซิงเฉินผู้นั้น?
ฉู่หลิวเยว่หลุบตาลงแล้วมองกริชในมือ
สว่างเจิดจ้า คมกริบอย่างหาที่เปรียบมิได้
ด้ามจับมีลายดอกท้อสลักไว้สองสามช่อ
เหมือนว่าหรงซิวจะชื่นชอบดอกท้อมาก ปิ่นปักผมที่มอบให้นางก่อนหน้าก็เป็นดอกท้อ
และข้างบนก็สลักลวดลายเช่นเดียวกัน
อันที่จริงลายนี้ก็มองไม่ค่อยชัดถ้าไม่ได้ดูอย่างละเอียด
แต่เมื่อสักครู่นี้ ซือถูซิงเฉินเหมือนกำลังมองกริชเล่มนี้อยู่…
ใช่แล้ว
ชายเสื้อซือถูซิงเฉินก็ปักลายเมฆเหมือนกันนี่นา
ฉู่หลิวเยว่คิดอยู่ชั่วครู่ก็ยิ้ม
ช่างน่าสนใจ
นางจัดการกับความคิดแล้วมองไปทางลานประลองอีกครั้ง
การประลองรอบสองกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น
แน่นอน ความจริงแล้วในความคิดนางไม่ได้คิดจะอ้างอิงถึงสิ่งใด เพียงมองชั่วครู่ก็หลับตาไปในทันที กำหนดลมหายใจตั้งสมาธิ เริ่มปรับลมหายใจ
“เอ๊ะ หลิวเยว่ เจ้าเห็นไหมว่าเมื่อกี้หลิ่วอินอินผู้นั้นใช้กระบวนท่าอะไร?”
ระหว่างที่พูด ซือหยางก็ไม่ได้ยินคำตอบจากฉู่หลิวเยว่ เขาเงยหน้าไปมองและเห็นว่านางยังอยู่จริงๆ
“ไม่ใช่หรอกกระมัง? เวลานี้ก็ยังฝึกปราณได้!?”
ซือหยางหางตากระตุก
บริเวณโดยรอบเสียงดังอึกทึกครึกโครม ฉู่หลิวเยว่เพิ่งประลองรอบแรกเสร็จสิ้นแล้วยังฝึกปราณเนี่ยนะ?!
ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็เห็นว่าซือถิงดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก หุบปากอยู่อย่างเงียบๆ
แท้ที่จริงแล้วอัจฉริยะต่างจากปุถุชน
คาดว่าฉู่หลิวเยว่ประลองกับเหลยหมิงเวยรอบแรกหนักไปหน่อย รอบสองจึงสงบเสงี่ยมไปมาก
สองคนนี้พละกำลังสูสีกันจึงยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ หลังจากสู้กันมานานมากแล้ว จย่าอี่หมิงจวนจะหมดแรง หลิ่วอินอินจึงฉวยโอกาสผลักเขาออกลานประลองในคราวเดียวกัน
การประลองรอบสอง หลิ่วอินอินเป็นผู้ชนะ!
สำนักไท่เหยี่ยนแพ้อีกครั้งแล้ว!