ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 211 ขอโทษ
อวี๋ฉิงถอยหลังไปเรื่อยๆ นางไม่ทันระวังล้มลงไปกับพื้น มองดูเงาดำที่พุ่งเข้ามาหาตนด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด นางเห็นได้อย่างชัดเจนว่าที่แท้แล้วมันคือลูกหมีวัยแบเบาะที่มีแผงคอเป็นสีน้ำตาลอ่อน รอบๆคอมีเพียงวงกลมสีเทาจางๆและแสงทองสลัวคลุมไว้เพียงเลือนราง
สัตว์อสูรระดับสี่…หมีแผงคอทองคำ!
อวี๋ฉิงตื่นตกใจอย่างมาก นี่คือสัตว์อสูรของมู่หงอวี๋หรือนี่!?
ไม่ง่ายเลยที่คนทั่วไปจะสามารถล่าสัตว์อสูรขั้นสามมาได้ กระทั่งเชื้อพระวงศ์ก็หาใช่เรื่องแน่นอนที่จะครอบครองสัตว์อสูรระดับสี่
มู่หงอวี๋ไม่เพียงแต่มีมันเท่านั้น แต่ยังเป็นวัยแบเบาะอีกด้วย!
วัยแบเบาะไม่ค่อยต่อต้านมนุษย์ ว่านอนสอนง่าย
ยามนี้เห็นแล้วว่าหมีแผงคอทองคำน้อยตัวนี้ยังเชื่อฟังมู่หงอวี๋เป็นอย่างมาก!
ระหว่างที่นางตกใจจนลืมตัว ฉงฉงก็กระโจนเข้ามากัดคออวี๋ฉิง!
สัตว์อสูรโตไว ครั้งที่พวกเขาพบเจ้าหมีแผงคอทองคำน้อยตัวนี้มันยังเป็นก้อนปุกปุย เมื่อเวลาล่วงโหยไปไม่ถึงเดือน มันก็โตขึ้นมาอีกหนึ่งช่วงตัว กรงเล็บและฟันก็เปลี่ยนเป็นแหลมคมขึ้นมา
หมีแผงคอทองคำน้อยมีโลหิตของสัตว์อสูรขั้นสี่ไหลเวียนอยู่ในตัว เกิดมาพร้อมกับกับพลังโจมตีที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด
ขณะนี้เมื่อมันตระหนักได้ว่ามู่หงอวี๋ตกอยู่ในอันตราย ก็เริ่มมีโทสะในใจ แน่นอนว่ามันย่อมกระโจนออกไปโดยไม่กลัวภยันตรายใดๆ!
ฟันแหลมคมที่เพิ่งงอกสะท้อนแสงอันน่าครั่นคร้าม!
อวี๋ฉิงเครียดเกร็งไปทั้งตัว!
ถ้าหากปากนี้กัดไปที่ต้นคอของนางจริง เกรงว่าจะเกิดอันตราย!
นางยกแขนขึ้นมาบังโดยแทบจะไม่ต้องคิด คิดจะเหวี่ยงหมีแผงคอทองคำน้อยตัวนี้ออกไป!
แต่การกระทำนี้กลับไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้บนตัวหมีแผงคอทองคำน้อย
มันเพียงแค่เอียงตัวเล็กน้อยแล้วกัดแขนนางทันที!
“ไม่…อ๊า!”
เมื่ออวี๋ฉิงเห็นหมีแผงคอทองคำน้อยเคลื่อนไหวก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางกำลังคิดจะล่าถอยแต่กลับสายไปเสียแล้ว!
หมีแผงคอทองคำน้อยกัดแขนนางอย่างดุเดือด!
ฟันที่แหลมคมแทงทะลุเข้าเนื้อโดยตรง!
เลือดพวยพุ่ง!
ความเจ็บปวดรุนแรงแผ่ซ่านมาอย่างรวดเร็วจนอวี๋ฉิงหน้าซีดเซียว!
นางสะบัดอย่างแรงโดยไม่รู้ตัว เตะหมีแผงคอทองคำน้อยออกไป!
แขวก…
แขนเสื้อของนางถูกฉีกออก เผยให้เห็นลำแขนขาวเป็นยองใย กระนั้นเนื้อบนแขนนั้นกลับฉีกขาดแหว่งไปทั้งชิ้น!
แผลลึกจนมองเห็นไปถึงกระดูก!
อวี๋ฉิงแทบเป็นลมเมื่อเห็นบาดแผลที่เปื้อนเลือดสด สั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ!
บาดแผลเช่นนี้จะต้องทิ้งรอยแผลเป็นไว้แน่!
มู่หงอวี๋รีบเข้าไปรับหมีแผงคอทองคำน้อยที่ถูกเตะปลิวออกไป รับมันเข้าสู่อ้อมกอด
เมื่อกลับมาสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย หมีแผงคอทองคำน้อยก็พ่นชิ้นเนื้อนั้นออกมา แต่ยังคงจับจ้องอวี๋ฉิงอย่างดุร้ายและพร้อมจะพุ่งตัวออกไปได้ทุกเมื่อ!
เมื่ออวี๋ฉิงถูกมองด้วยสายที่น่ากลัวเช่นนั้นตัวก็สั่นเทา ความยโสโอหังและกระหยิ่มได้ใจที่มีอยู่แต่เดิมได้มลายหายไปในท้ายที่สุด เหลือไว้เพียงความเคียดแค้นและไม่พอใจ!
นางกอดแขนตัวเอง หยดน้ำตามารวมตัวที่ดวงตาอย่างรวดเร็วราวกับสายฝนโปรยปรายลงมา
“มู่หงอวี๋ ข้ากับเจ้าหาได้มีความแค้นต่อกัน เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้?”
ด้วยท่าทางอันน่าเวทนาเช่นนี้ทำให้คนปวดใจไม่น้อย
มู่หงอวี๋กลับไม่หลงกลนาง ยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า :
“ในการประลอง ยอมเดิมพันก็ย่อมยอมรับความพ่ายแพ้ เมื่อกี้เจ้าปฏิบัติกับข้าเช่นไร ข้าก็ย่อมปฏิบัติกับเจ้าเช่นนั้น เจ้าใช้เล่ห์กล พยายามเอาชนะข้าโดยไม่สนว่าจะใช้วิธีใด มันจะง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!?
นางลูบหูหมีแผงคอทองคำน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดพลางหัวเราะ
“หรืองานสมาคมเยาวชนนี้มีกฎว่ามิอาจเรียกใช้สัตว์อสูรของตัวเองได้?”
อวี๋ฉิงถึงกับสำลัก สีหน้าสุดจะทน
มู่หงอวี๋พูดถูก ไม่มีกฎเช่นนี้อยู่จริงๆ บางครั้งการมีสัตว์อสูรชั้นสูงที่มีพลังแข็งแกร่งยังกลายเป็นเป้าหมายให้ผู้คนได้อิจฉา
เช่นนั้นการที่นางเรียกใช้หมีแผงคอทองคำน้อยตนนี้ ผู้ใดก็มิอาจกล่าวหานางได้
ทว่า…แขนของนาง!
“เจ้าไม่มีพลังต่อสู้แล้ว ยังจะต่ออีกหรือ?”
มู่หงอวี๋มองนางอย่างดูถูก
“ฉงฉงไม่ได้เล่นสนุกมาสักพักหนึ่งแล้ว ไม่สู้ให้มันเล่นกับเจ้าสักหน่อยเป็นไง?”
“ไม่! ไม่!”
อวี๋ฉิงเบิกตาโพลงด้วยความหวาดผวา กรีดร้องปฏิเสธ
หากยังสู้ต่อไป ใครจะรู้เล่าว่าเจ้าสัตว์เดียรัจฉานนี่ยังจะสร้างความเสียหายให้นางเช่นไร?
หากกัดหน้านางจนเป็นแผล…
ความคิดมากมายผุดเข้ามาในใจ อวี๋ฉิงระงับอารมณ์โทสะภายในใจ ทำหน้าตาน่าสงสารพร้อมทั้งสะอึกร่ำไห้ “ข้า ข้อยอมแพ้!”
เดิมทีนางเตรียมตัวมาดีพร้อมเพื่อที่จะคว้าอันดับดีๆ จากงานสมาคมเยาวชนครั้งนี้
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจลดการใช้พลังภายในให้ได้มากที่สุดในการประลองรอบแรกๆ และเหลือพละกำลังไว้ช่วงท้าย
แต่กลับคาดไม่ถึงว่าระหว่างจัดการกับมู่หงอวี๋กลางทางจะเป็นการขัดลู่ทางของตนไปโดยปริยาย!
หากรู้แต่แรกนางควรรีบสู้รีบจบการประลอง ตัดโอกาสมู่หงอวี๋ทุกทาง!
ทว่าเวลานี้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็สายไปเสียแล้ว!
มู่หงอวี๋ฮัมเสียฮึเบาๆ
หญิงนางนี้ยืดได้หดได้ รู้ว่าตนไม่มีโอกาสชนะแล้วก็ยอมแพ้มาเสียดื้อๆ
คนเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้ นางมองทีไรก็รู้สึกดวงตาแปดเปื้อน
“ฉงฉง เราไปกันเถอะ!”
ระหว่างที่พูด มู่หงอวี๋ก็อุ้มฉงฉงหันกลับไป
เพิ่งเดินไปได้สองก้าว ฉับพลันก็มีเสียงอ่อนละมุนของผู้หญิงลอยมา
“คุณหนูมู่ ถึงอย่างไรเสียการประลองนี้ก็มีเพื่อให้ทุกคนได้แลกเปลี่ยนฝีมือและพัฒนาฝีมือของทั้งสองฝ่าย ท่านลงมือกับอวี๋ฉิงโหดเหี้ยมเช่นนี้ มันไม่มากเกินไปหรือ?”
มู่หงอวี๋มองไปตามเสียง
ไม่รู้ว่าซือถูซิงเฉินลุกขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ท่าทางสงบนิ่งแต่คำพูดกลับมีความหมายล้ำลึก
การเคลื่อนไหวของนางทำเอาคนในลานประลองเงียบโดยพลัน
เกือบทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่นาง
มู่หงอวี๋ขมวดคิ้ว
“ข้าทำเกินไป? ท่านเข้าใจผิดไปหรือไม่ เมื่อครู่คนที่เริ่มเล่นอุบายก่อนคือนาง! ข้าก็แค่สู้กลับ! หรือว่านี่ก็มิได้?”
ซือถูซิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน
“คุณหนูมู่อย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงว่าไปตามเรื่อง เมื่อครู่อวี๋ฉิงนางกระหายชัยชนะ เช่นนั้นนางจึงใช้เล่ห์กลเล็กน้อย แท้จริงก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด ถึงอย่างไรท่านก็ไม่ได้บาดเจ็บมิใช่หรือ? ทว่านางกลับ…อย่างไรเสียก็เป็นผู้หญิง บนแขนทิ้งรอยแผลเป็นเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี”
มู่หงอวี๋รู้สึกประหลาดใจยากที่จะบรรยาย
“นางมีรอยแผลเป็นแล้วเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า? ในสนามประลองเป็นการประลองพละกำลัง หรือเวลาที่ข้าต่อสู้ยังต้องระวังไม่ทำให้นางบาดเจ็บ? นั่นจะเรียกว่าการประลองได้เยี่ยงไร!? เวลานี้ทุกท่านกำลังกล่าวว่านี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเช่นนั้นหรือ?”
มู่หงอวี๋เป็นคนง่ายๆ พูดตรงไปตรงมา ซือถูซิงเฉินถึงกับไปไม่ถูกหลังจากนางถ่ายทอดคำพูดออกไป
แต่เนื่องจากนางมีความสัมพันธ์อันดีกับอวี๋ฉิง ถ้าหากยอมไปเสียแบบนี้ นั่นไม่เท่ากับว่าอวี๋ฉิงเสียเปรียบโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?
ซือถูซิงเฉินยิ้มบางๆ
“แต่ว่าเมื่อสักครู่นี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะอวี๋ฉิงเป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน คล้ายว่าคุณหนูมู่ก็ยังตั้งใจปล่อยหมีแผงคอทองคำน้อยเอาชีวิตอวี๋ฉิง? ข้าเชื่อว่าทุกท่านล้วนเห็นเป็นประจักษ์ว่าเมื่อสักครู่นี้ท่านไม่คิดจะห้าม ดังนั้น คุณหนูมู่ อย่างน้อยท่านต้องกล่าวขอโทษ?”
มู่หงอวี๋โมโหจนหน้าแดงไปหมดแล้ว
เหตุใดซือถูซิงเฉินพูดราวกับเป็นความผิดนาง?!
“องค์หญิงใหญ่ซือถูกล่าวเช่นนี้เห็นทีจะลำเอียง”
จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็ลุกขึ้นคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“เมื่อครู่หงอวี๋นางก็กระหายชัยชนะเช่นกันจึงได้เรียกใช้สัตว์อสูรของตน แม้ต่อมานางจะไม่ได้ห้ามทว่านั้นก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด แท้จริงอวี๋ฉิงก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน อีกทั้งยังไม่ได้ส่งผลร้ายแรงไปมากกว่านั้น? หมีแผงคอทองคำนิสัยดุร้าย เมื่อเห็นว่านายมันถูกทำร้าย สัญชาตญาณของมันคือสู้อย่างสุดชีวิต แต่มันจำต้องอดกลั้น ข้าเห็นว่ามันดูจะไม่ค่อยดีต่อการเจริญเติบโตของมันสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นอวี๋ฉิงก็ควรกล่าวคำขอโทษกับหงอวี๋และหมีแผงคอทองคำน้อยด้วยมิใช่หรือ?”