ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 214 การเชิญ
ฉู่หลิวเยว่นางไม่ได้ลดระดับเสียงขณะที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่ ไม่เพียงแต่ซือหยางที่ได้ยินเท่านั้น แม้แต่องค์รัชทายาทและคนอื่นๆ ก็ได้ยินอย่างชัดเจนเช่นกัน
ทุกคนกลั้นหายใจในทันที ฉู่หลิวเยว่…ช่างกล้าหาญนักที่กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าองค์รัชทายาท!
อย่างไรก็ตามเมื่อองค์รัชทายาทได้ยินประโยคนี้ เขาก็เพียงแค่ขมวดคิ้วแต่ยังไม่ได้โกรธ เขามองเข้าไปที่ของฉู่หลิวเยว่แล้วหันหน้ากลับมา
ทุกคนต่างมีใบหน้าที่งงงวย องค์รัชทายาทไม่ได้ตั้งใจมาหาเรื่องฉู่หลิวเยว่? สิ่งที่นางพูดมันช่างน่าเกลียดนัก แต่องค์รัชทายาทกลับทนได้
องค์รัชทายาทสามารถทนได้จริงๆ หรือ? ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแล้วที่จะเอาฉู่หลิวเยว่กลับมา ดังนั้นสิ่งเล็กน้อยนี้แน่นอนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉู่หลิวเย่วได้รับความเดือดร้อนมากมายจากเขาในอดีต และเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกขุ่นเคืองต่อเขานั่นไม่ได้หมายความว่านางยังห่วงใยเขาอยู่หรือ?
เมื่อคิดเช่นนี้องค์รัชทายาทเลยไม่ได้รู้สึกโกรธนางแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้ามเขากลับมีความคาดหวังแม้เพียงเล็กน้อย ฉู่หลิวเยว่นางชอบเขามาหลายปีแล้วเรื่องนี้เขารู้ดี!
ในตอนแรกเขารู้สึกสับสนกับฉู่เซียนหมิ่น ก่อนที่เขาจะยกเลิกสัญญาการหมั้นหมายกับนาง แต่ก่อนก็ยังบอกรักนานนับปี จะพูดได้อย่างไรว่าตอนนี้ไม่?
ถ้าหากเขาลดตัวลงมา ฉู่หลิวเยว่จะหันกลับมามองเขาอย่างแน่นอน!
ตอนนี้เสด็จพ่อค่อนข้างไม่พอใจในตัวเขา ถ้าเขาสามารถนำฉู่หลิวเยว่กลับคืนมาได้ เขาเชื่อว่ามันจะสามารถเปลี่ยนทัศนคติของเสด็จพ่อได้อย่างดีทีเดียว
แม้ว่าเขาจะเสียใจที่ยกเลิกการหมั้นหมายกับฉู่หลิวเยว่ก่อนหน้านี้ แต่เนื่องจากตัวตนของนางและใบหน้านั้นที่ก่อนหน้านี้ไม่มีความคิดที่จะเคียงคู่กัน
แต่ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ที่มีชื่อเสียง และกลายเป็นอัจฉริยะที่ทุกคนชื่นชม ถึงเขาจะกลับมาคืนดีกับนาง อย่างน้อยเขาก็จะไม่สูญเสียตัวตนของเขา
สำหรับแผนนี้ เขาควรจะหาโอกาสที่จะอธิบายความตั้งใจของเขาต่อฉู่หลิวเยว่…
…
โดยปกติแล้วฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าในช่วงเวลาอันสั้นเช่นนี้องค์รัชทายาทคิดไปถึงไหนแล้ว
นางรู้สึกเบื่อหน่ายกับหรงจิ้นเหลือเกิน ชายผู้นี้ช่างโหดเหี้ยมและเห็นแก่ตัวยิ่งนัก
ในตอนแรก เขาคิดว่านางนั้นเป็นคนไร้ประโยชน์ ทำให้สถานะองค์รัชทายาทอันมีเกียรติของเขาต้องมลทิน จึงยกเลิกสัญญาหมั้นกับนาง
ต่อมาฉู่เซียนหมิ่นนางเสียโฉมกลับกลายเป็นว่านางไร้ค่า เขาก็ทิ้งนางเหมือนกับทิ้งรองเท้า
คนเช่นนี้เมื่อลองมองไปที่หรงจิ้นอีกครั้ง นางก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน
“นี่ หลิวเยว่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อเจ้า…มีบางอย่างแปลกไป?”
ซือหยางมองไปที่องค์รัชทายาทจากนั้นก็มองไปที่ฉู่หลิวเยว่แล้วถามเสียงเบา
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองนางเล็กน้อย ซือหยางตีปากของตนเบาๆ และปิดปากของนางอย่างเชื่อฟัง ซือถิงผู้ที่หลับตาอยู่อย่างเงียบๆ ก็ได้ลืมตาขึ้นมาเหลือบมององค์รัชทายาทจากนั้นนางก็หลับตาลง
อันที่จริงนางกำลังตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ และนางได้ยินคำพูดรอบตัวนางอย่างชัดเจน หรงจิ้นเป็นคนใจแคบ ตอนนี้เขาดูแปลกไปเช่นนั้นเขาต้องคิดที่จะทำอะไรกับฉู่หลิวเยว่เป็นแน่
นางต้องการที่จะเตือนฉู่หลิวเยว่ให้ระมัดระวังองค์รัชทายาท หากแต่ยังไม่ได้พูดออกไปเพราะนางคิดว่าฉู่หลิวเยว่นางฉลาดมาก นางต้องรับมือได้เขาเองไม่ควรคิดมากขนาดนั้น
ซือถิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลับตาลง และปล่อยวางความคิดวุ่นวายในใจ
…
เมื่อเวลาผ่านไปการประลองก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น ก่อนที่รายชื่อของนักประลองในกล่องทั้งสามสำนักจะค่อยๆ ลดลง
ในช่วงบ่าย ชื่อของฉู่หลิวเยว่ถูกจับขึ้นมาอีกครั้งโดยหญิงสาวจากสำนักหนานเฟิง แต่หญิงสาวเองก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สาม และนางรู้ว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉู่หลิวเยว่ ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะยอมแพ้
นี่คือบุคคลแรกที่เลือกจะยอมแพ้หลังจากเริ่มงานสมาคมเยาวชนนี้
ก่อนหน้านั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามที่จับได้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่หนึ่งแล้วเลือกยอมแพ้!
แต่ผู้นี้คือฉู่หลิวเยว่ มันดูสมเหตุสมผลดี นางเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สองคนติดต่อกัน ซึ่งนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของนาง!
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม มันไม่เพียงพอที่จะเห็นหน้าของให้ฉู่หลิวเยว่หรือเข้าร่วมการประลอง
หากคิดให้ดี การยอมแพ้ก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน ถึงอย่างไรก็ตาม ฉู่หลิวเยว่นางมีฝีมือที่เด็ดขาด และการเคลื่อนไหวที่ดุเดือด จะทำอย่างไรถ้าในกรณีที่นางโดนเตะจนหมดสติเหมือนกับเหลยหมิงเวย?
แม้ว่าทุกคนที่สำนักหนานเฟิงจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าหากเป็นพวกเขาเองก็ไม่กล้าที่จะต่อสู้กับฉู่หลิวเยว่ ดังนั้นฉู่หลิวเยว่นางจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง!
…
เมื่อการแข่งขันวันที่สองสิ้นสุดลง มีเพียงสิบคนสุดท้ายของผู้เข้าแข่งขันในงานสมาคมเยาวชนเท่านั้นที่ยังคงอยู่!
ซุนจ้งเหยียนหยิบลูกบอลกระดาษสองสามลูกสุดท้ายในกล่องสามกล่องออกมาแล้วอ่านชื่อคนทั้งสิบคน ในจำนวนนั้นมีสามคนจากสำนักเทียนลู่ สามคนจากสำนักไท่เหยี่ยน และสี่คนจากสำนักหนานเฟิง
แต่ทว่าฉู่หลิวเยว่อยู่ในรายชื่อนั้น ทั้งนางยังเป็นน้องใหม่คนเดียวในสิบคนเหล่านี้ด้วย!
เมื่อได้ยินชื่อของฉู่หลิวเยว่ ก็เกิดความโกลาหลขึ้นในลานประลอง ทุกคนต่างรู้สึกตกใจ ซึ่งนั้นมันก็สมเหตุสมผล แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะประสองเพียงแค่สองครั้ง แต่ไม่มีผู้ใดสงสัยในความแข็งแกร่งของนาง
นางมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในสิบอันดับแรกจริงๆ!
ซุนจ้งเหยียนมองไปรอบๆ
“พรุ่งนี้จะเป็นการประลองครั้งสุดท้ายของทั้งสิบคน! ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของงานสมาคมเยาวชนครั้งนี้จะมาจากคนสิบคนเหล่านี้เท่านั้น หลังจากกลับไปวันนี้โปรดบำรุงและสะสมกำลังของทุกท่าน พยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อก้าวไปสู่จุดสูงสุดในวันพรุ่งนี้!”
ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะนึกภาพออกแล้วว่าการแข่งขันจะเข้มข้นแค่ไหนในวันพรุ่งนี้ และพวกเขาอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
ฉู่หลิวเยว่ลุกขึ้นพร้อมกับทุกคนแล้วตั้งใจกลับไปที่สำนัก แต่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวกลับถูกใครบางคนขวางไว้เสียก่อน เป็นองค์รัชทายาทนี่เอง
เมื่อคนรอบข้างเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ต่างหลีกทางให้ทีละคนแต่สายตากลับมองมาทางนี้ เพราะกลัวว่าจะพลาดสิ่งใดไป ฉู่เซียนหมิ่นซึ่งกําลังเดินอยู่ในฝูงชนก็เห็นฉากนี้เช่นกัน หัวใจของนางแทบหยุดเต้น นางอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อต้องการจะได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังพูดกัน
องค์รัชทายาทมองมาที่ฉู่หลิวเยว่ เสียงของเขาอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“หลิวเยว่ ข้าอยากจะคุยกับเจ้าสักสองสามคํา”
ฉู่หลิวเยว่สีหน้าดูซีดเซียว แสดงออกว่าจะเป็นลม
“ระหว่างองค์ชายและหม่อมฉัน คงไม่มีอะไรจะพูดแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”
องค์รัชทายาทไม่ได้สนกับสิ่งที่นางแสดงออกมา เขาแค่คิดว่านางแสดงบทบาทเล็กๆ เขายิ้มพลางเอ่ยต่อว่า “ข้าขอพูดคุยด้วยสักประเดี๋ยวคงไม่ได้กินเวลาการพักผ่อนของเจ้านัก”
ฉู๋หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นอย่างเกียจคร้าน “องค์รัชทายาท เวลาของหม่อมฉันมีค่านัก หม่อมฉันไม่อยากเสียมันไปกับท่าน” เป็นถ้อยคำเพียงเล็กน้อยที่ไม่ไพเราะและยากนักที่จะได้ยิน
องค์รัชทายาทรู้สึกอับอายเล็กน้อย หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่พูดจบ นางก็ก้าวเท้าเพื่อเดินเลี่ยงผ่านเขาไป หรงจิ้นรีบขยับไปยืนขวางหน้านางอีกครั้งโดยไม่สนใจอะไรไปมากกว่านี้และเอ่ยออกมา
“เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าจะพูดตามตรง หลังจากจบงานสมาคมเยาวชนนี้ ดอกกุ้ยฮวา[1]ที่มีกลิ่นหอมหวานในสวนจินกุ้ยกำลังบานสะพรั่ง เจ้าจะไปที่นั่นเพื่อเพลิดเพลินกับดอกไม้ดีหรือไม่?”
สวนจินกุ้ย เป็นสวนภายใต้ชื่อขององค์รัชทายาท เมื่อถึงวันเกิดปีที่สิบหกของเขา จักรพรรดิจยาเหวินพระราชทานแก่เขามีต้นกุ้ยฮวาปลูกไว้นับไม่ถ้วน ทุกๆ ฤดูกาลนี้ ดอกกุ้ยฮวาจะบานสะพรั่ง และส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วลานบ้าน นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงอีกด้วย
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
สวนจินกุ้ย?
นั่นไม่ใช่สถานที่ที่นางไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดขององค์ชาย แต่กลับถูกเยาะเย้ยเพราะเสื้อผ้าที่โทรม และในที่สุดก็ถูกไล่ออกจากงานหรอกหรือ องค์รัชทายาทผู้นี้คิดอะไรอยู่ เขากล้าดียังไงถึงยังเชิญนางไปสถานที่ที่นางได้รับความอัปยศอดสูนั้น?
“ไม่ไป” ฉู่หลิวเยว่ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
“เพราะเหตุใด?”
องค์รัชทายาทแสดงสีหน้างงงวย
“แต่ก่อนไม่ใช่ว่าเจ้าชอบที่นั้นมากหรอกหรือ? เจ้าบอกเองว่าดอกกุ้ยฮวากลิ่นช่างหอมหวานเหมาะแก่การดูพระจันทร์…”
“มันเป็นเรื่องยากมากนะเจ้าคะ สําหรับองค์รัชทายาทที่จะจําสิ่งนี้ได้ แต่หม่อมฉันไม่รู้ว่าองค์ชายยังจําสิ่งที่ท่านพูดในตอนนั้นได้หรือไม่?”
เสียงขององค์รัชทายาทหยุดกะทันหันและสีหน้าของเขานั้นแย่เล็กน้อย
“ท่านบอกว่า จินกุ้ย หมายถึง ‘ทองคำล้ำค่า’ และขอทานที่น่าสงสารอย่างหม่อมฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไป” ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่มีรอยยิ้มในดวงตาของนาง
แน่นอนว่าองค์รัชทายาทผู้นี้จำได้ ในตอนนั้น เขารู้สึกว่าฉู่หลิวเยว่นางช่างต่ำต้อย นับประสาอะไรที่จะให้เข้าไปในสวนจินกุ้ย หากเขาต้องรู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นนาง หลังจากนั้นเขาไม่แม้แต่จะเชิญฉู่หลิวเยว่อีกเลย
“นั่น…นั่นเป็นเพียงเรื่องในอดีต มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงในตอนนี้ หลิวเย่ในวันนี้มันแตกต่างจากอดีตที่เคย ข้าขอเชิญเจ้าอย่างจริงใจ”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวคำต่อคำ
“องค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่อยากไปจริงๆ การปฏิเสธนี้ต้องบอกอีกกี่ครั้งท่านถึงจะเข้าใจ”
องค์รัชทายาทรู้สึกอับอาย ราวกับว่าเขาถูกตบในที่สาธารณะ
“องค์รัชทายาทและหม่อมฉันได้ยกเลิกสัญญาการหมั้นหมาย นับตั้งแต่ตอนนั้นเราสองก็ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน และตอนนี้ไม่ใช่เมื่อก่อน และไม่มีวันจะเป็นเช่นนั้น ดังนั้นในกรณีนี้ท่านควรไปหาคนอื่น” สายตาของฉู่หมิงเยว่กวาดสายตาไปทั่ว ซึ่งฉู่เซียนหมิ่นนางก็อยู่ไม่ไกล
“ถึงอย่างไรท่านก็ยังมีคนที่รอคอยท่านอยู่” หลังจากที่เอ่ยจบฉู่หลิวเยว่ก็ไม่แม้แต่จะมองหน้าองค์รัชทายาท นางยกเท้าขึ้นแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า
ครานี้องค์รัชทายาทไม่ได้รั้งนางไว้ พูดเช่นนี้ต่อหน้าคนมากมายนี่มันถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว!
แต่ตอนนี้ถูกฉู่หลิวเย่ปฏิเสธอย่างไร้ความปราณี ยิ่งน่าอายสำหรับเขามากขึ้นไปอีก!
ฉู่เซียนหมิ่นกัดริมฝีปากของนางแน่น พยายามระงับความริษยาและความขุ่นเคืองในใจของนาง แล้วก้าวไปข้างหน้าพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงแผ่วเบา
“องค์ชาย เรากลับกันก่อนดีหรือไม่?”
องค์รัชทายาทเหลือบมองที่ฉู่เซียนหมิ่นเห็นผ้าคลุมบนใบหน้าของนางก็เกิดความรังเกียจขึ้นอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะการยั่วยุของฉู่เซียนหมิ่น เขาและฉู่หลิวเยว่จะไม่มีวันนี้เป็นแบบนี้!
เขาโบกแขนเสื้อทันทีเพื่อสะบัดมือของฉู่เซียนหมิ่น หันหลังกลับและเดินจากไปโดยไม่มีแม้แต่จะสนใจนาง ฉู่เซียนหมิ่นนางเสียหลักแล้วล้มลงกับพื้นทันที
“โอ้ย!”
แขนของนางกระแทกลงที่พื้น ซึ่งทำให้นางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
การประลองของนางในวันนี้ นางโชคร้ายที่ได้เผชิญกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ไม่ต้องพูดถึงผลที่แพ้ในการประลองนี้ ทั้งนางยังได้รับบาดเจ็บด้วย
ที่ล้มเมื่อครู่นี้ มันไปถูกกับแผลเดิมที่นางได้รับจากการประลอง ผู้คนรอบข้างมองอย่างเฉยเมยด้วยสีหน้าที่ต่างออกไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนเห็นฉู่เซียนหมิ่นเป็นเช่นนี้ หลายคนคงรีบเข้าไปช่วยในทันที แต่ในตอนนี้ใบหน้าของนางเสียโฉม นางเป็นนางสนมขององค์รัชทายาท และกลายเป็นนางสนมที่องค์รัชทายาททรงไม่โปรดปราน ทำให้พ่อแม่ของนางยิ่งลำบากมากขึ้น…ใครจะกล้าเสี่ยงที่จะขัดใจฉู่หลิวเยว่และองค์รัชทายาทแล้วหาเรื่องให้ตัวเองเพื่อช่วยฉู่เซียนหมิ่นกันล่ะ?
[1] ดอกกุ้ยฮวา หรือดอกหอมหมื่นลี้ มีชื่อในเรื่องกลิ่นหอมที่กระจายไปได้ไกล ที่เมืองกุ้ยหลินช่วงที่ดอกกุ้ยฮัวบาน จะหอมกลิ่นดอกนี้ไปทั่วเมือง