ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 220 ระดับของนาง?
ฉู่หลิวเยว่ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติในตำแหน่งตันเถียนของนาง หลังจากที่ซือถูจื่อเยว่ใช้ดาบหลิงเซียวเพื่อแยกค่ายกล
นางไม่รู้สึกอะไรเลยในขณะนั้น แต่หลังจากถูกกลืนกินด้วยพลังของค่ายกลผลึกดำ หยดน้ำในตันเถียนของนางดูเหมือนจะถูกกระตุ้นโดยบางสิ่งบางอย่าง และมันก็หมุนอย่างรวดเร็ว!
ในชั่วพริบตา พลังดั้งเดิมที่เก็บไว้ในตันเถียนก็ถูกกลืนหายไป!
และดูทีท่าว่ามันจะไม่หยุด จากนั้นนางก็ตระหนักว่า…นางกำลังจะก้าวข้าม!
ในช่วงเวลาตึงเครียดของการประลองกับซือถูจื่อเยว่ ก่อนหน้านี้ นางรออย่างใจจดใจจ่อ พยายามอย่างหนักเพื่อก้าวข้ามไปเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสอง แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ใครเล่าจะรู้ว่าจะเป็นในเวลานี้…
ฉู่หลิวเยว่เองรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่พูดยาก โอกาสเช่นนี้ช่างหายากเสียจริง…
แต่โชคยังดีที่มีพรมแดนไวฑูรยะเหลืออยู่จากหรงซิว สามารถช่วยสนับสนุนนางได้ชั่วขณะหนึ่ง
มิฉะนั้นนางจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้นั้นจริงๆ
หลังจากกำจัดความคิดที่ฟุ้งซ่านในหัวของนางแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็หลับตาและเริ่มดูดซับพลังงานของสวรรค์และโลกโดยรอบ นางพยายามเจาะข่ายพลัง!
ในไม่ช้า พลังต้นกำเนิดอันอุดมสมบูรณ์ของสวรรค์และโลกก็พุ่งเข้าหานาง เทเข้าในร่างของนางผ่านอาณาเขตพรมแดนไวฑูรยะ
…
เมื่อมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก่อให้เกิดความสงบทั้งภายในและภายนอกของสนามประลอง
บางคนถึงกับขยี้ตาอย่างแรงเพื่อให้แน่ใจว่าตาสิ่งที่มองเห็นตรงหน้าคือเรื่องจริง
ฉู่หลิวเยว่…นางพยายามก้าวข้ามผ่านตันเถียนกลางการประลองงานสมาคมเยาวชน!
นี่…นี่มันเรื่องอันใดกันเนี่ย?
ซือถูจื่อเยว่ทั้งรู้สึกอับอายและโกรธ การเคลื่อนไหวของฉู่หลิวเยว่ราวกับว่าไม่สนใจเขาเลยสักนิด
เขาสะบัดดาบอีกครั้งเพื่อโจมตี แต่พรมแดนไวฑูรยะนี้แข็งแรงนัก จนไม่สามารถทำลายได้เลย และฉู่หลิวเยว่ที่นั่งอยู่ภายใน นิ่งเฉยราวกับหินที่จดจ่อกับการเตรียมพร้อมที่จะก้าวข้ามเท่านั้น
ซือถูจื่อเยว่รู้สึกว่าเขาอับอายอย่างมาก!
เขากำด้ามดาบแน่น เพียงแค่แยกพรมแดนไวฑูรยะออกก็สามารถกำจัดฉู่หลิวเยว่ได้แล้ว แต่เผอิญว่าการแก้สถานการณ์ของฉู่หลิวเยว่นั้นสมบูรณ์แบบ!
…
เฉิงหันที่ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกทนไม่ได้
“ท่านซุนจ้งเหยียน ฉู่หลิวเยว่นางทำเช่นนี้มันมากเกินไปหรือไม่ สิ่งที่นางทำนั่นหมายถึงการดูหมิ่นจื่อเยว่และงานสมาคมเยาวชน!”
ซุนจ้งเหยียนเองก็ตกตะลึกกับท่าทีของฉู่หลิวเยว่
แต่สุดท้ายแล้วฉู่หลิวเยว่นางเป็นคนของเขา จึงหันไปหาเฉิงหันพลางกล่าวว่า
“หลิวเยว่เพียงแค่พยายามก้าวข้ามระดับของนาง มันไม่ใช่การโกงหรือการกระทำที่ผิดต่อการประลอง คำกล่าวของท่านมิเกินไปหน่อยหรือ”
“ข้ามิได้คิดเกินไป!”
เฉิงหันยกมือขึ้นชี้ไปที่ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ในสนามนั้น ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
“งานสมาคมเยาวชนเป็นสถานที่สำหรับการประลองไม่ใช่ที่สำหรับฝึกซ้อม หากนางไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่น เหตุใดจึงไม่ทำก่อนหน้า แต่กลับเลือกทำเวลานี้ ใครจะไปรู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่านางจะก้าวข้ามผ่าน ข้าคิดว่าการประลองนี้มิจำเป็นต้องทำต่อ!”
“ทุกสถานการณ์ต่างเกิดกระบวนการฝึกฝน มิต้องพูดถึงแม่นางผู้นี้ แม้แต่ชายชราอย่างข้าก็ไม่สามารถควบคุมเวลาของความก้าวหน้าของตนเองได้ เช่นนั้นจะถือว่าผิดได้อย่างไร นอกจากนี้ หลิวเยว่ยังสามารถใช้โอกาสนี้ในการบำรุง มิใช่การสูญเสียใช่หรือไม่ หากจบการประลองนี้ลง แล้วการชนะหรือแพ้นั้นจะนับอย่างไร”
“แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่นั้นแพ้!”
“นี่…นางไม่เคยแพ้มาก่อน เหตุใดนางต้องยอมรับความพ่ายแพ้นี้ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากก้าวข้ามผ่านไปแล้ว ผลลัพธ์ของเกมนี้จะเป็นอย่างไร บางทีมันอาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลย! อย่างน้อยก็ต้องเป็นการเสมอกัน!”
เฉิงหันกัดฟันกรอด ทำได้เพียงกร่นด่าภายในใจ ซุนจ้งเหยียนชายชราผู้นี้ไร้ยางอาย!
เสมอหรอกหรือ แค่พลังก้าวข้ามผ่านของฉู่หลิวเยว่ก็สมควรที่จะเสมอกับซือถูจื่อเยว่งั้นหรือ
ซุนจ้งเหยียนถามด้วยรอยยิ้มว่า
“เหตุใดท่านเฉิงหันถึงกังวลว่าหลังจากหลิวเยว่ก้าวข้ามผ่านไปได้ แล้วนางจะชนะเกมนี้”
เฉิงหันแสดงท่าทีเย้ยหยัน “เจ้าเป็นคนมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับนางเสียจริง!”
ชนะงั้นหรือ ฉู่หลิวเยว่นางยังต้องมีทักษะมากกว่านั้น
ทันใดนั้นซือถูจื่อเยว่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เนื่องจากการประลองนี้ยังไม่จบ ข้าจะรอ!”
เขาต้องการที่จะดูว่าพลังของฉู่หลิวเยว่ว่าสามารถพัฒนาได้มากเพียงไหนหลังจากการก้าวข้ามครั้งใหญ่นี้!
ยิ่งซือถูจื่อเยว่กล่าวมาเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็ไม่คัดค้านอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงเงียบลง
…
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ
เฉิงหันค่อยๆ หมดความอดทน เขาเหลือบมองพรมแดนไวฑูรยะที่ปกคลุมตัวของฉู่หลิวเยว่อีกครั้ง
“ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้ซ่อนอะไรไว้เยอะเสียจริง ทั้งยังมีของล้ำค่าแบบนี้อยู่ข้างตัว ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้นางช่างหยิ่งผยองนัก หากลองคิดดูที่นางสามารถหลีกเลี่ยงดัชนีเปลวเพลิงน้ำแข็งของซือถูจื่อเยว่ได้อย่างปลอดภัยก็ด้วยเหตุนี้เอง”
ในประโยคที่เอ่ยออกมานั้นที่แสดงถึงอาการที่ค่อนข้างไม่พอใจเพราะพรมแดนไวฑูรยะนี้ล้ำค่ามาก แม้กระทั่งเขาก็ยังหาที่ไหนไม่ได้ ตัวตนของฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สูงส่ง แต่กลับมีของดีมากมายในตัวนาง
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้สิ่งนี้มาจากไหน หรือเจ้าใช้วิธีการใดในการเก็บมันไว้…”
ซือถูซิงเฉินที่ฟังอยู่ข้างๆ โดยไม่ได้พูด แต่นางรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก นี่คือสิ่งที่นางเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ถ้านางจำไม่ผิดพรมแดนไวฑูรยะนี้ ชัดเจนว่าต้องเป็นของคนผู้นั้น มิฉะนั้นแม้แต่ลายเส้นเล็กๆ ที่สลักไว้บนนั้นก็คงไม่เหมือนกันทุกประการเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่มีสิ่งล้ำค่าเช่นนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าคนผู้นั้นต้องให้นางมา
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างคนผู้นั้นกับฉู่หลิวเยว่คืออันใดกัน เหตุใดเขาถึงมอบพรมแดนไวฑูรยะให้นาง ซือถูซิงเฉินคิดไม่ออกว่าในตัวของฉู่หลิวเยว่มีสิ่งใดที่สามารถแลกเปลี่ยนกับสิ่งนั้นได้ ถ้าตามลักษณะนิสัยของคนผู้นั้น ถ้าเขาไม่ยอม ใครเล่าจะสามารถเอาของของเขาไปได้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ภายในใจของซือถูซิงเฉินเหมือนกับถูกขีดข่วนโดยบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจ นางอยู่ในเมืองหลวงมาเป็นเวลาหลายวันแล้วยังไม่เคยได้เห็นแม้แต่เงาของคนผู้นั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัยของตนเอง นางจึงไม่ได้ส่งใครไปถามถึงเรื่องนี้
แต่ตอนนี้นางจะนั่งนิ่งเฉยเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
…
ฉู่หลิวเยว่นางขจัดเสียงทั้งหมดรอบๆ ตัวของนาง ตั้งสมาธิ และเริ่มเตรียมการสำหรับการก้าวข้ามตันเถียน
แต่นางกลับค้นพบว่านางไม่ต้องทำอะไรมาก หยดน้ำในจุดตันเถียนหมุนอย่างรวดเร็ว คลื่นลูกหนึ่งกระจายไปข้างบนโดยมีเส้นที่ลากอยู่บนนั้นที่ลอยไปพร้อมกับมันด้วย
พลังแห่งสวรรค์และโลกที่ล้อมรอบยังคงหลั่งไหลเข้ามา ไหลเข้าสู่ตันเถียนตามแขนขาและกระดูก และในที่สุดก็กลืนกินโดยหยดน้ำนั้น
การเคลื่อนไหวของคลื่นเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของฉู่หลิวเยว่เกิดความประหม่าโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือการเคลื่อนไหวนี้ กระแสน้ำวนได้ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของนาง
ฝูงชนที่เฝ้าดูยังรู้สึกถึงความผันผวนของพลังรอบตัวนางได้อย่างชัดเจน บางคนถึงกับเริ่มกระซิบ
‘ฉู่หลิวเยว่เคยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งมาก่อนไม่ใช่หรือ? แม้ว่ามันจะเป็นการก้าวข้าม แต่ก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสองใช่หรือไม่ แต่ความผันผวนนี้…เหตุใดมันถึงใหญ่ขนาดนี้’
‘เจ้าก็รู้สึกเช่นกันหรอกหรือ ข้ายังคิดว่าเมื่อตอนข้าฝ่าฟันเพื่อก้าวข้ามผู้ฝึกยุทธ์ระดับสามก็ไม่มีการเคลื่อนไหวดังเช่นนั้น อย่างไรก็ตามนางแข็งแกร่งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงดูเหมือนเป็นเรื่องปกติใช่หรือไม่…’
ไป๋เชินเหลือบมองซุนจ้งเหยียนแล้วถามด้วยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโสซุน ท่านคิดเห็นอย่างไร?”
สีหน้าของซุนจ้งเหยียนเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“การเคลื่อนไหวนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ผู้ฝึกทั่วไปจะสร้างกระแสน้ำวนนั้นได้ก็ต่อเมื่อจะก้าวข้ามเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่…”
ไป๋เชินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ท่านหมายถึง…นางอาจจะสามารถก้าวข้ามอย่างต่อเนื่องไประดับสี่หรอกหรือ” ซุนจ้งเหยียนส่ายหัว
“มิน่าจะเป็นไปได้ การก้าวข้ามอย่างต่อเนื่องยังไม่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่เคยได้ยินก็เป็นเพียงข่าวลือ ซึ่งในความเป็นจริงผู้ฝึกทั่วไปไม่สามารถทําได้ อย่างไรก็ตามที่นางเป็นแบบนี้อาจจะด้วยเหตุผลอื่น…”
“มันคืออันใดกัน?”
ซุนจ้งเหยียนเม้มริมฝีปากของเขา
เมื่อมองไปที่ฉู่หลิวเยว่ในสนาม ความคิดที่คลุมเครือก็แวบเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว แต่เพราะความคิดนั้นช่างน่าตกใจมากเสียจนเขาไม่แน่ใจในชั่วขณะหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเขาก็มองไปที่ไป๋เชินอย่างจริงจัง
“เมื่อครั้งแม่นางผู้นี้เข้าเรียนในสำนักคราแรก ระดับชีพจรดั้งเดิมที่ทดสอบคืออันใด?”
ไป๋เชินตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น
“ระดับชีพจรดั้งเดิม? นางไม่ได้ทดสอบมัน เนื่องจากเป็นการรับเข้าเรียนครึ่งทาง และการเตรียมตัวสำหรับการสอบไม่เพียงพอ การทดสอบนั้นจึงไม่ได้ดำเนินการ”
เมื่อได้รับฟังประโยคหลัง เขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
อันที่จริงไม่ใช่เพราะเขาไม่เตรียมการเพียงพอ แต่ในตอนนั้นเขาคิดว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่สามารถผ่านการทดสอบได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เตรียมการสำหรับสิ่งนี้เลย
ซุนจ้งเหยียนรับรู้ผ่านความคิดของเขาได้อย่างรวดเร็ว แม้เขาจะไม่ได้เปิดเผยมันก็ตาม
ในความเป็นจริงแล้วไม่เพียงแต่ไป๋เชิน แต่ทุกคนต่างก็คิดเช่นนั้น ใครจะเดาได้ว่าเพียงไม่กี่เดือนต่อมา ฉู่หลิวเยว่ก็กลายเป็นบุคคลดีเด่นในสำนักของพวกเขา
“เช่นนั้นท่านคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติที่ชีพจรดั้งเดิมของนาง…”
ไป๋เฉินกล่าวขึ้น ทันใดนั้นก็ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง และดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“รอสักครู่”
ผู้อาวุโสซุนเพียงแค่ถามถึงระดับชีพจรดั้งเดิมของฉู่หลิวเยว่ เป็นไปได้หรือไม่ ว่าผู้อาวุโสซุนกำลังสงสัยว่าชีพจรของฉู่หลิวเยว่คือ…ชีพจรตี้จิง!
“เป็นไปไม่ได้!” ไป๋เชินอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา แคว้นเย่าเฉินในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาไม่มีชีพจรตี้จิงแม้แต่เส้นเดียว!
แววตาของซุนจ้งเหยียนที่สื่อออกมานิ่งงัน แต่หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วอย่างควบคุมไม่ได้
“หากไม่มีการทดสอบก็ไม่มีใครสามารถบอกได้” เขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็ไม่สามารถระงับได้ ด้วยเหตุนี้เท่านั้นที่สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดฉู่หลิวเยว่ฟื้นชีพจรดั้งเดิมของนาง และก้าวเข้าสู่การฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้!
มิฉะนั้น นางคงไม่สามารถพึ่งพาระดับของผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนึ่งแล้วชนะการประลองแบบก้าวกระโดดได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความคิดของเขาอยู่ในความโกลาหล ความผันผวนในสนามประลองก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ฉู่หลิวเยว่ก้าวข้าม!