ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 223 คนที่ชอบ
ฉู่หลิวเยว่ประสบความสำเร็จในการท้าดวล!
เสียงของซุนจ้งเหยียนราวกับฟ้าร้อง ปลุกผู้คนด้วยยิ่งใหญ่ทันที!
ใช่แล้ว!
นางท้าดวลซือถูจื่อเยว่ผู้ที่เป็นอันดับที่หนึ่ง ตอนนี้ซือถูจื่อเยว่ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ฉู่หลิวเยว่จะกลายเป็นอันดับหนึ่งโดยสมบูรณ์
แม้จะได้เห็นการประลองด้วยตาตัวเองก็ตาม ความจริงนี้ก็ยังไม่น่าเชื่อ ฉู่หลิวเยว่ไม่เพียงชนะเท่านั้น แต่นางยังก้าวข้ามผ่าน
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องจินตนาการ แต่มันเกิดขึ้นจริงต่อหน้า และพวกเขาไม่เชื่อมันไม่ได้ แม้แต่ผู้คนในสำนักเทียนลู่ก็ต่างตกตะลึงเป็นเวลานาน
มุมปากของฉู่หลิวเยว่โค้งขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวลงมา
นางไม่ได้กลับไปที่ตำแหน่งของนางทันที แต่นางเดินไปทางฉู่หนิง
“ท่านพ่อ!” เมื่อเห็นนางลงมา ฉู่หนิงก็รีบเดินขึ้นไปหานาง คว้าแขนของนางไว้ มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยถามอย่างประหม่า
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
การประลองเมื่อครู่นี้เข้มข้นมาก เขาที่มองเห็นจากด้านข้างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ฉู่หลิวเยว่กางมือออก มุมปากของนางยกยิ้มขึ้นไปดวงตาที่เป็นเส้นโค้ง
“ท่านเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับห้าเห็นข้าด้วยดวงตาก็บอกไม่ได้ว่าลูกสาวของท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่หรือท่านพ่อ”
ฉู่หนิงสำรวจด้วยตัวเอง พบว่านางนอกจากการสูญเสียพลังที่มากเกินไป ไม่มีปัญหาใดร้ายแรง มันทำให้เขาโล่งใจ แต่เมื่อได้ยินที่นางพูด เขาก็อดหัวเราะไม่ได้
“ผู้ฝึกยุทธ์ระดับห้าแล้วอย่างไร ตอนนี้ครอบครัวของเราเยว่เอ๋อร์เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สามารถเอาชนะคนที่เป็นจุดสูงสุดอันดับสี่ได้ เกรงว่าคงอีกไม่นาน พ่อก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอีกต่อไป!”
ถึงเขาจะเป็นห่วง แต่ก็ภูมิใจและยินดีด้วยกับนางเช่นกัน การประลองเมื่อครู่นี้ ถือได้ว่าเป็นสถานการณ์อันตราย เขารู้ดีว่าถ้าเยว่เอ๋อร์ทะลวงไม่สำเร็จในนาทีสุดท้าย คิดว่าการประลองนี้ว่าแพ้แน่นอน แต่โชคดีที่สุดท้ายไม่มีอันตราย
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาถี่แล้วเอ่ยอย่างสนุกสนาน
“จะเหมือนเดิมได้อย่างไร พ่อแข็งแกร่งที่สุดในใจลูกเสมอ อย่างไรก็ตามครานี้ท่านก็สบายใจได้แล้วใช่หรือไม่”
หลังจากเหตุการณ์ที่บรรพตวั่นหลิง ด้านฉู่หนิงไม่ได้พูดอันใด แต่นางรู้อยู่ในใจว่าจริงๆ แล้วเขามีการสะเทือนทางจิตใจอยู่มากมาย แม้ว่าจะอยู่ที่บ้านกันสองคน เขามักจะเรียกชื่อนาง หากไม่ได้เจอนางสักระยะหนึ่งเขาก็จะประหม่าและวิตกกังวล หลังจากประสบกับความรู้สึกสูญเสียลูกสาวของเขาครั้งหนึ่ง เขาก็กลายเป็นวิตกกังวลกับมีความทุกข์ทรมานจากการสูญเสีย
ฉู่หลิวเยว่จงใจทำให้เขามั่นใจ ดังนั้นการลงสนามประลองในวันนี้ นางไม่ได้เล่นกลอุบายใดๆ เลย และยังคงโจมตีด้วยพลังทั้งหมดที่มี ตอนนี้นางชนะซือถูจื่อเยว่แล้วเห็นได้ชัดว่าฉู่หนิงสบายใจขึ้นมาก ฉู่หนิงจะไม่รู้ถึงความคิดของลูกสาวได้อย่างไร อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่านแม้แต่ดวงตาของเขาก็ยังร้อนอยู่เล็กน้อย
เขาเขย่าไหล่ของฉู่หลิวเยว่ ริมฝีปากของเขาขยับ แต่ลำคอของเขาแห้งผาก หลังจากนั้นไม่นาน
“เยว่เอ๋อร์ดีที่สุดแน่นอน!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มอย่างเชื่อฟัง
“งั้นลูกกลับก่อนนะ บางทีอาจจะมีใครท้าดวลข้าในภายหลัง ท่านก็กลับไปนั่งที่อย่างผ่อนคลายเถิด” ฉู่หนิงตอบตกลง เขาขอให้นางไปพักผ่อนโดยเร็ว ทั้งสองแยกจากกัน และต่างคนต่างกลับไปยังที่ของตน
แต่ดวงตาของฉู่หนิงไม่แม้แต่จะเคลื่อนห่างจากร่างของฉู่หลิวเยว่เลยเขามองดูนางเดินกลับไปยังที่ของนาง มองดูผู้คนในสำนักเทียนลู่ให้กำลังใจด้วยการตะโกนโห่ร้องดีใจอย่างอบอุ่น และมองดูผู้คนนับไม่ถ้วนรอบตัวนางที่มองนางด้วยสายตาที่อิจฉาและประหลาดใจ…
ฉู่หนิงถอนหายใจยาว ดวงตาของคลอไปด้วยหยาดน้ำตาเล็กน้อย แต่เขาอดหัวเราะไม่ได้เช่นกัน เยว่เอ๋อร์ของเขาไม่ใช่หญิงสาวขี้ขลาดที่ถูกคนอื่นรังแกอีกต่อไป!
นางในตอนนี้ สดใสราวกับดวงอาทิตย์เหนือเมฆ!
…
การกลับมาของฉู่หลิวเยว่ ได้รับการต้อนรับจากทุกคนในสำนักอีกครั้ง อย่างไรก็ตามนางรู้สึกได้อย่างสุดซึ้งว่าบรรยากาศดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเมื่อวาน
จะพูดอย่างไรดี ทุกคนดูเหมือนจะมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ต่อนาง…เกรงกลัวงั้นหรือ
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือพฤติกรรม หรืออันใดก็ตาม พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนว่าจะระมัดระวังมากกว่าเดิมเล็กน้อย และสายตาที่พวกเขามองมาที่นางนั้นก็อธิบายไม่ถูกเช่นกัน ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของนาง
“มีอันใดติดอยู่ที่หน้าของข้างั้นหรือ”
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง ซือหยางยกนิ้วให้ฉู่หลิวเยว่ แล้วเอ่ยขึ้น
“มีแสงสว่างของอัจฉริยะ”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ซือหยางนี่กะล่อนนัก เหมือนสุนัขคายงาช้างออกจากปากไม่ได้
นางเพียงแค่มองไปที่มู่หงอวี่ “มีอันใดผิดปกติกับพวกเขาหรือ”
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งขึ้นไปประลอง เหตุใดนางรู้สึกได้ถึงความผิดปกติเมื่อนางกลับมา มู่หงอวี่กอดหมีแผงคอทองคำตัวน้อย มองไปที่ฉู่หลิวเยว่ และกลืนน้ำลายด้วยความยากลําบาก
“หลิวเยว่ เจ้า…เจ้าจงใจซ่อนพลังของเจ้ามาก่อนใช่หรือไม่”
นั่นคือซือถูจื่อเยว่ นึกไม่ถึงเลยว่านางจะชนะ ทั้งยังเอาชนะคู่ต่อสู้จนอาเจียนเป็นเลือด ลองคิดดูว่าก่อนหน้านี้เขาหยิ่งยโสแค่ไหน แต่กลับเป็นว่าฉู่หลิวเยว่ก็กำราบเขาได้ในพริบตา!
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าบอกตอนไหนว่าซ่อน”
มู่หงอวี่ “…” ตอนไหนกัน
นางหลับตาลง กล่าวว่า “ตอนที่ข้าไม่ได้ถาม” นางสมองช้าจริงๆ ที่ถามคำถามนี้ออกมา
ตั้งแต่ฉู่หลิวเยว่เข้าศึกษาในสำนักจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ได้แสดงความสามารถและความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของฉู่หลิวเยว่เลย โชคดีที่มู่หงอวี่ยังรู้สึกว่านางเองก็สนิทกับฉู่หลิวเยว่อยู่บ้างจึงกล้าเอ่ยออกไป
“ต่อไปข้าจะฝึกซ้อมให้หนัก!”
เฉิงหู่พยักหน้าอย่างจริงจัง กล่าวว่า “ข้าก็ด้วย!”
กู้หมิงเฟิงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ฉู่หลิวเยว่ว่านางก็คิดเช่นเดียวกัน
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นางกลับไปนั่งที่ของตนเอง บริเวณโดยรอบค่อยๆ เงียบลง แต่สายตาที่อยากรู้อยากเห็น และประหลาดใจนั้นยังไม่น้อยลงนางไม่สนใจเช่นกัน นางตั้งใจที่จะหลับตาและพักผ่อน
ซือถิงก็เปิดปากขึ้นเพื่อเอ่ยว่า “พรมแดนไวฑูรยะ…คนผู้นั้นให้มางั้นหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้นมองซือถิงอย่างสงสัย เอ่ยถามกลับ “ใคร?”
ซือถิงหรี่ตาลง “คนที่เจ้าชอบ”
ฉู่หลิวเยว่หยุดชะงักแล้วพยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว”
ซือถิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ดูเหมือนเจ้าจะชอบเขามาก”
เมื่อพูดจบเขาก็หันหน้าหนี ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง ซือถิงพูดแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร
นางเพียงแค่ใช้พรมแดนไวฑูรยะไม่ใช่หรือ
แต่ดูเหมือนซือถิงจะไม่ได้สนใจเอ่ยถึงมันแล้ว นางจึงไม่ถามอีก นางพลิกมือแล้วหยิบลูกแก้วสีเงินลูกเล็กๆ ออกมาแล้วเล่นกับมัน
ซือถิงถอนหายใจอย่างเงียบๆ ในที่สุดตอนนี้นางก็สามารถปล่อยวางได้อย่างสมบูรณ์
เดิมทีนางคิดว่ามันเป็นเพียงคําพูดของฉู่หลิวเยว่ แต่นางไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นจริง
บางทีแม้แต่นางเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ารอยยิ้มบนริมฝีปากของนาง ขยับอย่างไรเมื่อนางเอ่ยถึงชายคนนั้น
ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่มีโชคเช่นนี้ สามารถเอาชนะใจนางได้